สุยจิ่งเฉิงรู้สึกปรับตัวไม่ค่อยทันอยู่บ้าง
ผู้อาวุโสหวังตุ้นในความทรงจำของนาง คือบุคคลอันดับหนึ่งด้านวรยุทธนับตั้งแต่แคว้นอู่หลิงก่อตั้งมา ได้ฉายาว่าเป็นปรมาจารย์ที่ใช้เพียงแค่มือข้างเดียวก็สามารถเอาชนะคนทั่วทั้งยุทธภพแคว้นอู่หลิง ชื่อเสียงของเขาในราชสำนักล้วนดีงามมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกยุทธในยุทธภพหรือปัญญาชนในวงการนักประพันธ์ หรือแม้แต่พ่อค้าหาบเร่ก็ยังพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าผู้อาวุโสหวังตุ้นคือผู้เฒ่าสวมชุดเขียวคนหนึ่งที่มีบุคลิกสุภาพสง่างาม เชี่ยวชาญศาสตร์ทั้งสี่อย่างพิณ หมากล้อม พู่กันและวาดภาพ นอกจากทักษะของทั้งร่างที่เชี่ยวชาญและชำนาญแล้ว ยังช่วยบำบัดทุกข์บำรุงสุขให้แก่แคว้นและชาวประชา เคยเป็นหนึ่งบุรุษที่ทำหน้าที่เป็นหน้าด่านสกัดขวางกองทัพทหารม้าของแคว้นศัตรูที่มาโจมตีทางชายแดนทิศใต้ เพื่อช่วงชิงเวลาที่มากพอในการจัดขบวนทัพให้แก่กองทัพชายแดนของแคว้นอู่หลิง…
เฉินผิงอันทรุดตัวนั่งลงไปก่อน สุยจิ่งเฉิงจึงนั่งตาม
หวังตุ้นลุกขึ้นยืนอีกครั้ง เดินไปหยิบเหล้าสามกามาจากทางโต๊ะคิดเงิน แจกจ่ายคนละหนึ่งกาแล้วพูดอย่างใจกว้างว่า “ข้าเลี้ยงเอง”
ตอนที่หวังตุ้นวางกาเหล้าไว้ตรงหน้าสุยจิ่งเฉิงได้พูดเบาๆ ว่า “บุตรสาวของรองเจ้ากรมเฒ่าสุยซินอวี่สินะ? หน้าตางดงามจริงๆ สาวงามทั้งสี่คนทัดเทียมกัน ต่างคนต่างก็มีความงามไปคนและแบบ ไม่มีใครสูงหรือต่ำกว่าใคร ช่วยเพิ่มความมีหน้ามีตาให้แก่สตรีแคว้นอู่หลิงของพวกเรา เทียบกับตาเฒ่าที่อยู่อันดับล่างสุดในยุทธภพอย่างข้าแล้วคู่ควรจะได้รับกรอบป้ายจากตาเฒ่าฮ่องเต้มากกว่าเสียอีก แต่ข้าก็ต้องเอ่ยประโยคที่เป็นธรรมสักหน่อย เซียนกระบี่ผู้นี้ของเจ้า ไม่ว่าเขาจะเป็นอาจารย์หรือสามีของเจ้า ก็ค่อนข้างจะขี้เหนียวไปหน่อย ถึงได้ยอมแบ่งเหล้าให้เจ้าแค่ถ้วยเดียว”
สุยจิ่งเฉิงมองเฉินผิงอันที่อยู่ฝั่งตรงข้ามซึ่งเอาแต่ก้มหน้าก้มตาเปิดผนึกดิน แล้วเทเหล้าลงในถ้วยขาวใบใหญ่ ก่อนที่จะหันมาพูดกับผู้เฒ่าที่บอกว่าตัวเองสวมหน้ากากด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้าหมู่บ้านผู้เฒ่าหวัง…”
หวังตุ้นได้ยินแล้วก็ไม่ใคร่จะสบอารมณ์นัก เขาโบกมือทันที “ไม่เฒ่าๆ คนแก่แต่ใจไม่แก่ เรียกข้าว่าเจ้าหมู่บ้านหวังก็พอ หรือจะเรียกชื่อข้าตรงๆ ว่าหวังตุ้นก็ยังได้”
สุยจิ่งเฉิงพยักหน้ารับ “เจ้าหมู่บ้านหวัง ตอนนี้เซียวซูเย่มือดาบแห่งแคว้นชิงสือได้ตายไปแล้ว”
หวังตุ้นถอนหายใจ ฟังออกถึงความนัยในถ้อยคำของ ‘สาวงามตระกูลสุย’ ผู้นี้ เขายกเหล้าขึ้นจิบหนึ่งคำ “แต่ข้าก็ยังเป็นอันดับสุดท้ายอยู่ดีไม่ใช่หรือ? ราชวงศ์ต้าจ้วนเลือกตาเฒ่าสักคนมา ฝีมือก็ยังสูงกว่าข้าอยู่ดี”
สุยจิ่งเฉิงรู้สึกว่าตนไม่มีอะไรให้พูดอีกแล้ว
หวังตุ้นหัวเราะร่าหันไปมองคนหนุ่มชุดเขียว อีกฝ่ายคือเซียนกระบี่แซ่เฉินที่มีเรื่องราวปรากฎอยู่ในรายงานภูเขาแม่น้ำติดต่อกันหลายฉบับ บันทึกช่วงแรกเริ่มสุดน่าจะเป็นบนเรือข้ามฟากลำหนึ่งที่มุ่งหน้าไปยังสวนน้ำค้างวสันต์ ไม่ยอมเอากระบี่บินออกมาใช้ ใช้เพียงหมัดปะทะหมัดก็สามารถต่อให้ผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองแซ่เลี่ยวของจวนเถี่ยชางราชวงศ์ต้ากวานหล่นร่วงลงไปจากเรือข้ามฟาก ภายหลังหลิ่วจื้อชิงเซียนกระบี่แห่งตำหนักจินอูขี่กระบี่ผ่านมา บอกว่าเขาใช้หนึ่งกระบี่ฟันผ่าเมฆสายฟ้าที่พิทักษ์ตำหนักจินอู่ ภายหลังคนบนเส้นทางเดียวกันที่เดิมทีควรกลายเป็นศัตรูคู่อาฆาตที่เปิดฉากสังหารกันคู่นี้ กลับไปดื่มชาร่วมกันที่หน้าผาอวี้อิ๋งแห่งสวนน้ำค้างวสันต์ เล่าลือกันว่าพวกเขายังกลายมาเป็นสหายกันด้วย ส่วนตอนนี้เขาก็มาตัดหัวของเซียวซูเย่อยู่ในอาณาเขตของแคว้นอู่หลิง
หวังตุ้นเอ่ยถาม “เซียนกระบี่ต่างถิ่นเช่นเจ้าคงจะไม่ฟันข้าให้ตายด้วยหนึ่งกระบี่เพียงเพราะข้าพูดว่าเจ้าไม่ใจกว้างมากพอหรอกกระมัง?”
เฉินผิงอันยิ้มอย่างระอาใจ “แน่นอนว่าไม่”
หวังตุ้นยกถ้วยเหล้าขึ้น เฉินผิงอันก็ยกตาม คนทั้งสองชนถ้วยกันเบาๆ หวังตุ้นดื่มเหล้าไปแล้วก็ถามเบาๆ ว่า “อายุเท่าไรแล้ว?”
เฉินผิงอันตอบ “ประมาณสามร้อยปี”
หวังตุ้นวางถ้วยเหล้าลง ยกมือลูบคลำหัวใจ “คราวนี้ค่อยรู้สึกดีขึ้นมาหน่อย ไม่อย่างนั้นคงต้องรู้สึกว่าตัวเองอายุมากปูนนี้ล้วนเอาเวลาไปใช้บนร่างสุนัขหมดแล้ว”
สุยจิ่งเฉิงยิ้มบางๆ
แม้จะบอกว่าไม่คล้ายคลึงกับผู้อาวุโสหวังตุ้นในความทรงจำของตนเลยแม้แต่น้อย แต่ดูเหมือนว่าเจ้าหมู่บ้านผู้เฒ่าของหมู่บ้านภูเขาส่าส่าวที่นั่งอยู่บนโต๊ะสุราคนนี้จะให้ความรู้สึกที่ดียิ่งกว่า
หวังตุ้นกดเสียงลงถามเบาๆ “ใช้หมัดปะทะหมัดต่อยให้เจ้าคนแซ่เลี่ยวผู้นั้นร่วงลงจากเรือข้ามฟากจริงๆ หรือ?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ประมาทไปหน่อย อันตรายอย่างมากเลยล่ะ”
หวังตุ้นยิ้มถาม “ถ้าอย่างนั้นพวกเราสองคนมาประลองฝีมือกันหน่อยดีไหม? เอาแบบที่ว่าหยุดเมื่อพอสมควร วางใจเถอะ ล้วนเป็นเพราะข้าดื่มเหล้าเข้าไป เห็นยอดฝีมือนอกโลกที่แท้จริงก็เลยเกิดคันไม้คันมือขึ้นมาเท่านั้น”
เฉินผิงอันส่ายหน้า
หวังตุ้นกล่าว “กินเหล้าสองกาของคนอื่นเขาเปล่าๆ เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ก็ไม่ยินดีจะทำหรือ?”
หวังตุ้นเห็นว่าคนผู้นั้นไม่มีแววจะเปลี่ยนใจก็เอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ถือว่าข้าขอร้องเจ้า?”
เฉินผิงอันคิดแล้วก็พยักหน้ารับ “เอาตามคำบอกของผู้อาวุโสหวัง ใช้หมัดปะทะหมัด หยุดเมื่อพอสมควร”
หวังตุ้นลุกขึ้นยืน กวาดตามองไปรอบด้าน แล้วก็คล้ายจะเลือกโต๊ะตัวหนึ่งที่อยู่ด้านข้างได้ เขาจึงยื่นฝ่ามือออกไปกดลงเบาๆ ขาโต๊ะทั้งสี่ก็แหลกสลายกลายเป็นผุยผง แต่กลับเงียบเชียบไร้เสียง ผิวหน้าโต๊ะร่วงลงบนพื้นเบาๆ
เฉินผิงอันเอ่ยว่า “หากรู้สึกว่าสองคนกระโดดขึ้นไปประมือกันบนโต๊ะจะดูเหมือนเล่นกายกรรมในสายตาของคนอื่นมากเกินไป ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็แค่ย้ายโต๊ะตัวนี้ออกไปก็ได้แล้วไม่ใช่หรือ”
หวังตุ้นอึ้งตะลึง “ข้าก็อยากจะทำแบบนั้นอยู่เหมือนกัน แต่ที่ทำแบบนี้ก็ไม่ใช่เพราะกลัวว่าจะเป็นการลดสถานะของเซียนกระบี่อย่างเจ้าหรอกหรือ?”
คนทั้งสองเดินขึ้นไปบนหน้าโต๊ะแทบจะเวลาเดียวกัน
สุยจิ่งเฉิงอยากจะลุกขึ้นเดินออกไปจากร้าน แต่เฉินผิงอันผายมือออกมาบอกเป็นนัยแก่นางว่าไม่ต้องลุกขึ้น
หวังตุ้นยืนได้มั่นคงแล้วก็กุมหมัดกล่าวว่า “หวังตุ้นแห่งหมู่บ้านภูเขาส่าส่าวแคว้นอู่หลิง ฝึกวิชาหมัดจนพอจะประสบความสำเร็จ หวังขอคำชี้แนะ”
เฉินผิงอันกุมหมัดคารวะกลับคืน แต่กลับไม่ได้เอ่ยอะไร เพียงผายฝ่ามือข้างหนึ่งออกมา “เชิญ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!