ยังดีที่เฉินผิงอันได้พูดพร้อมรอยยิ้มขึ้นมาก่อนแล้วว่า “เหตุผลเหล่านั้นของท่านหลิว อันที่จริงเป็นการพูดให้กับคนทั้งสายไท่เสียฟัง หรือถึงขั้นสามารถพูดให้ฮว่อหลิงเจินเหริน เทพเซียนผู้เฒ่าท่านนั้นฟังได้ด้วย”
สุยจิ่งเฉิงเงยหน้าขึ้น คำอธิบายนี้ นางยังพอจะฟังเข้าใจอยู่บ้าง “ดังนั้นพอหรงช่างบอกว่าอาจารย์ของเขาจะมา ท่านหลิวจึงพูดถึงสำนักกระบี่ไท่ฮุยของตัวเอง อันที่จริงก็เป็นการพูดให้เซียนกระบี่ของทะเลสาบกระบี่ฝูผิงผู้นั้นฟัง? หรงช่างจะได้นำความนี้ไปบอกต่อ ทำให้เซียนกระบี่ท่านนั้นเกิดใจกริ่งเกรง?”
ครู่หนึ่งต่อมา สุยจิ่งเฉิงก็ถามหยั่งเชิงว่า “นั่นก็แสดงว่า คำว่ากฎเกณฑ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่ท่านหลิวเอ่ยถึง ก็คือต่อให้จะเป็นช่วงเวลาที่สามารถฆ่าคนได้ แต่กฎเกณฑ์นั้นก็ยังสามารถทำให้คนที่หมัดแข็งเกิดใจกริ่งเกรงได้? ดังนั้นนี่จึงทำให้คนที่หมัดไม่แข็งพอ สามารถพูดได้มากขึ้น? หรืออาจถึงขั้นที่ว่า ต่อให้จะไม่ต้องพูดอะไร ก็ถือว่าเป็นเหตุผลแล้ว? เพียงแต่ว่าหากศักยภาพต่างกันมากเกินไป จะลงมือหรือไม่ สุดท้ายแล้วก็ยังอยู่ในมือของฝ่ายตรงข้ามอยู่ดี?”
ดวงตาของสุยจิ่งเฉิงเป็นประกาย พูดต่อไปว่า “แล้วนี่ก็เท่ากับเป็นการพิสูจน์คำกล่าวของผู้อาวุโสที่บอกว่า ‘อย่างน้อยๆ ที่สุดก็มีความเป็นไปได้อย่างหนึ่งเพิ่มขึ้นมา’ ด้วยใช่หรือไม่?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ
ฉีจิ่งหลงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ไม่พูดถึงกรณีเดี่ยวๆ พูดถึงแค่สถานการณ์ส่วนใหญ่ ในตรอกซอกซอยของหมู่ชาวบ้านร้านตลาด เหตุใดพวกคนที่เรือนกายแข็งแกร่งเปี่ยมพละกำลังถึงได้ไม่กล้าบุกไปปล้นชิงผู้อื่น? พวกลูกหลานคนรวยที่นิสัยเสเพลในราชวงศ์โลกมนุษย์ก็ยังต้องแอบทำความเลวอย่างหลบๆ ซ่อนๆ? เหตุใดผู้ฝึกตนลงจากภูเขามาแล้วสามารถทำตามใจปรารถนา กวาดเอาทรัพย์สินเงินทองของเศรษฐีในเมืองแห่งหนึ่งไปจนเกลี้ยง แล้วยังฆ่าคนทั้งตระกูล? เหตุใดข้าที่มีตบะของก่อกำเนิดถึงได้กล้าลากท่านเฉินของเจ้าให้มารอคอยต้อนรับการมาถึงของผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบคนหนึ่งด้วยกัน? เพราะฉะนั้นถึงได้บอกว่า หมัดแข็งนั้นร้ายกาจมาก คำกล่าวนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับความหมายที่ดีหรือเลว แต่หากสามารถพันธนาการหมัดได้ แน่นอนว่าย่อมร้ายกาจยิ่งกว่า”
เฉินผิงอันเอ่ยเตือน “ระวังการเลือกใช้คำสักหน่อย”
สุยจิ่งเฉิงยิ้มบางๆ
ฉีจิ่งหลงลังเลเล็กน้อย ก่อนมองไปทางสระดอกบัว “แต่จะว่าไปแล้ว นี่ก็คือกฎเกณฑ์ของสถานที่ที่มีกฎเกณฑ์ ในสถานที่ที่ไร้กฎหมายกลับใช้ไม่ได้ผล แต่ว่าวิถีทางโลกมักจะต้องเดินไปข้างหน้าเสมอ กวาดตามองประวัติศาสตร์ที่ผ่านๆ มา รวมไปถึงดูจากสถานการณ์ในปัจจุบัน ยังจำเป็นต้องเปลี่ยนจากไร้กฎเกณฑ์เดินไปจนมีกฎเกณฑ์ จากนั้นทุกคนก็ร่วมแรงร่วมใจกัน ทำภายนอกที่อาจจะไม่ถูกต้องทุกจุดเสมอไปให้กลายมามีกฎเกณฑ์ กลายมาเป็นขั้นตอนที่ดีบนภูเขา เป็นกฎหมายที่ดีตอนลงจากภูเขา โลกมนุษย์ค่อยๆ เปลี่ยนจากการใช้เหตุผลไปเป็นมีเหตุผลในขอบเขตกว้างๆ พยายามทำให้คนจำนวนมากกว่าเดิมได้รับผลประโยชน์ บางทีอาจไม่ต้องถูกพันธนาการอยู่กับสามลัทธิร้อยสำนัก ค้นหาสภาพการณ์และขอบเขตที่สมดุลอย่างหนึ่ง สุดท้ายทุกคนก็พากันเดินออกมาจาก…”
เฉินผิงอันเอ่ยเบาๆ “ยังไม่ต้องพูดเรื่องพวกนี้”
ฉีจิ่งหลงจึงหยุดพูด
เฉินผิงอันพลันเอ่ยว่า “สภาพจิตใจของกู้โม่ผู้นั้น นับว่าหาได้ยากและล้ำค่านัก”
ฉีจิ่งหลงอืมรับหนึ่งที “วิถีทางโลกต้องการผู้ฝึกตนบนภูเขาที่เป็นเช่นนี้จำนวนมาก แต่ก็ไม่อาจมีแค่ผู้ฝึกตนที่เป็นแบบนี้ได้เท่านั้น ดังนั้นได้พบเจอกับกู้โม่ พวกเราไม่ต้องรีบร้อน ยิ่งไม่ต้องไปเรียกร้องอะไรนาง”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ถูกต้อง”
สุยจิ่งเฉิงมองบุรุษทั้งสองแล้วแค่นเสียงดังหึในลำคอ ก่อนจะถือใบบัวลุกเดินขึ้นไปฝึกตนในห้อง
ข้าขวางหูขวางตาพวกเจ้านักใช่ไหม งั้นข้าไปเองก็ได้
เฉินผิงอันถาม “นี่คือ?”
ฉีจิ่งหลงกล่าวอย่างจนใจ “เจ้าเป็นยอดฝีมือ อย่ามาถามข้า”
เฉินผิงอันมึนงง “ยอดฝีมืออะไรกัน?”
ฉีจิ่งหลงกลับเปลี่ยนหัวข้อพูดคุยแล้ว “จะพูดเรื่องที่ต้องระวังเกี่ยวกับการฝึกตนของขอบเขตสามให้เจ้าฟังดีไหม?”
เฉินผิงอันชำเลืองตามองกาเหล้าในมือของเขา “ไม่กินก็เสียเปล่า คืนข้ามา นั่นมันเหล้าหมักของเซียนที่ต้องจ่ายตั้งหลายเหรียญเงินเกล็ดหิมะเชียวนะ”
ฉีจิ่งหลงพูดอย่างฉุนๆ ปนขำ “เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้หรือว่ามันเป็นเหล้าหมักข้าวเหนียว? ลืมไปแล้วหรือว่าข้ามีชาติกำเนิดมาจากหมู่ชาวบ้าน? ต่อให้ไม่เคยดื่ม แต่จะไม่เคยเห็นด้วยหรือ?”
เฉินผิงอันคิดแล้วก็เอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าคงหยิบผิดอัน”
ทางฝั่งของห้องแห่งนั้น สุยจิ่งเฉิงที่จงใจชะลอฝีเท้าให้ช้าลงรีบก้าวเร็วๆ ข้ามธรณีประตู สุดท้ายก็กระแทกประตูปิดหนักๆ เสียงดังสนั่นสะเทือนฟ้า
ฉีจิ่งหลงเกิดความสงสัยขึ้นมาอีกครั้ง
เฉินผิงอันกล่าว “ความคิดของสตรี เจ้าเดาไม่ถูกหรอก”
ฉีจิ่งหลงอืมรับหนึ่งที “ถ้อยคำจากประสบการณ์ มีค่าดุจทองดุจหยก”
การพูดคุยกันหลังจากนั้น เฉินผิงอันก็ไม่เรียกอีกฝ่ายว่าท่านหลิวอีกแล้ว แต่ใช้ชื่อ ‘ฉีจิ่งหลง’ แทน
“ฉีจิ่งหลง เจ้ามีสตรีที่ชื่นชอบหรือไม่?”
“ไม่มี”
“น่าสงสารนัก”
“…”
“ขนาดนี้แล้วยังไม่ดื่มเหล้าอีกหรือ? เจ้าเป็นคนที่อายุเกือบจะร้อยปีแล้ว ยังไม่มีสตรีที่ชอบอีกหรือ”
“หุบปาก”
“ข้าจะเปลี่ยนเป็นเหล้าหมักตระกูลเซียนจริงๆ ให้เจ้าดีไหม?”
“เฉินผิงอัน หากข้าดื่ม เจ้าจะช่วยเปลี่ยนหัวข้อคุยได้ไหม?”
“…”
ฉีจิ่งหลงเริ่มกระดกเหล้าดื่มอึกใหญ่โดยไม่ต้องให้เฉินผิงอันพูดโน้มน้าว
“ฉีจิ่งหลง พวกเราดื่มไปคุยไปดีไหม? เจ้าเองก็หน้าตาไม่เลว อีกทั้งตบะยังสูง แม่นางที่ชอบเจ้าต้องมีไม่น้อยแน่นอน”
“ไสหัวไป!”
……
หลายวันมานี้โรงเตี๊ยมของท่าเรือหัวมังกรยังคงอยู่เป็นสุขปลอดภัยดี
ก็แค่แขกที่เข้ามาพักเริ่มมีมากขึ้นเรื่อยๆ คล้ายคำว่าคนเยอะก็วุ่นวาย
เพราะได้ยินมาว่านักพรตหญิงของฝ่ายฮว่อหลิงเจินเหรินปรากฏตัว อีกทั้งยังมีเซียนกระบี่ที่ไม่รู้ที่มาคนหนึ่งติดตามมาด้วย
พลังอำนาจที่บุกมาดุดันน่าครั่นคร้าม สุดท้ายก็มาคุมเชิงอยู่กับคนอีกกลุ่มหนึ่ง
แต่น่าเสียดายที่ไม่ได้ต่อสู้กัน แล้วก็โชคดีที่ไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น
และนี่ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้ฝึกตนของแต่ละฝ่ายกล้ามาชมความครึกครื้นที่โรงเตี๊ยม ไม่อย่างนั้นจะไม่เท่ากับว่าตัวเองรนหาที่ตายหรือไร?
เฉินผิงอันขอความรู้เรื่องกุญแจสำคัญเกี่ยวกับการฝึกตนของห้าขอบเขตล่างจากฉีจิ่งหลงหลายเรื่อง
แน่นอนว่าฉีจิ่งหลงย่อมพูดทุกอย่างที่รู้โดยไม่มีปิดบัง
ส่วนเรื่องของสายยันต์นั้น คนทั้งสองต่างก็มีคำกล่าวที่คล้ายคลึงกันไม่น้อย
แต่ว่าทั้งสองฝ่ายก็ไม่ได้ถ่ายทอดวิชาลับการวาดยันต์ของแต่ละคน
หาใช่ว่าไม่ยินดี
แต่เป็นเพราะไม่อาจทำได้
ยกตัวอย่างเช่นยันต์รอยหิมะของตำหนักขวานผีที่เฉินผิงอันวาดไว้บนผนังก่อนหน้านี้ และยันต์ค่ายกลพันธนาการที่ฉีจิ่งหลงสร้างขึ้นอย่างง่ายๆ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!