บนหัวกำแพง เนื่องจากอาจารย์ปรากฏตัว หรงช่างจึงไม่กล้าลุกขึ้นยืน ได้แต่นั่งอยู่ตรงนั้น
กู้โม่ก็นั่งตามเขาไปด้วย เวลานี้นางพูดเหมือนราดน้ำมันลงบนกองไฟว่า “เซียนกระบี่หรง อะไรคือพลิกผ้าห่มหรือ”
หรงช่างกลับอารมณ์ไม่เลวนัก เขาแสร้งทำเป็นพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน”
กู้โม่กับหรงช่างพากันจากไป
หลิวจิ่งหลงออกไปจากริมสระดอกบัว ไปเริ่มฝึกตนในห้องแห่งหนึ่งเป็นครั้งแรก
เฉินผิงอันเคาะประตูห้อง หลังจากที่สุยจิ่งเฉิงออกมาจากห้องแล้ว
คนทั้งสองก็มานั่งบนม้านั่งตัวยาว
สุยจิ่งเฉิงถามเบาๆ ว่า “สรุปแล้วข้าก็ยังคงสร้างปัญหาให้ท่านผู้อาวุโสอยู่ดี ใช่ไหม?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “จะพูดความในใจบางอย่างกับเจ้าแล้วกัน?”
สุยจิ่งเฉิงอืมรับหนึ่งที
ก่อนหันหน้ามามองเขา
เฉินผิงอันพูดเนิบช้าว่า “หากเจ้าชอบใครสักคน ไม่ว่าขอบเขตของเขาจะสูงเท่าไร หรือจะเป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง อันที่จริงก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่หากคนที่เจ้าชอบได้ชอบคนอื่นอยู่ก่อนแล้ว นั่นจะไม่ใช่เรื่องที่ต้องเสียใจมากหรอกหรือ? เจ้าอาจจะพูดได้ว่า ไม่เป็นไร ชอบคนคนหนึ่งเป็นเรื่องของตัวข้าเอง ข้าอีกฝ่ายไม่ชอบข้า ขอแค่ได้มองดูเขาอยู่ไกลๆ ก็พอ แต่ในความจริงแล้ว ปีนั้นข้าเองก็เคยคิดแบบนี้เหมือนกัน ดังนั้นใช่ว่าข้าจะไม่เข้าใจ นี่ไม่เกี่ยวอะไรกับถูกผิด ดังนั้นจึงยากที่จะใช้เหตุผลมาอธิบาย หลังจากได้เดินทางอย่างยาวไกล ข้าเฉินผิงอันไม่ใช่คนตาบอด ยิ่งไม่ใช่เงาใต้โคมไฟ สำหรับความรู้สึกฉันท์ชายหญิงที่เกี่ยวข้องกับตัวเอง ต่อให้จะแค่กำลังแตกหน่อหรือแค่มีสัญญาณเล็กๆ น้อยๆ ข้าก็ล้วนมองเห็นอยู่ในสายตา”
“สำหรับข้าแล้ว การที่ข้าบอกกับเจ้าว่าข้าไม่มีทางชอบเจ้า ไม่ใช่เป็นเพราะข้ากลัวว่าหากไม่บอกตัวเองอย่างนี้แล้วจะควบคิดจิตใจที่แล่นเตลิดของตัวเองเอาไว้ไม่อยู่ ยิ่งไม่ได้จงใจจะให้เจ้ารู้สึกว่าข้าเป็นคนรักเดียวใจเดียว ในความเป็นจริงแล้ว ในเรื่องของความรู้สึกชายหญิง จิตใจของข้ามั่นคงมากที่สุด เพราะนี่ไม่ใช่สิ่งที่ข้าเพิ่งจะเรียนรู้หลังจากฝึกวิชาหมัด ยิ่งไม่ใช่หลังจากฝึกบำเพ็ญตน แต่เป็นเพราะข้ารู้สึกมานานมากๆ แล้วว่า นี่เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลตามหลักฟ้าดิน เจ้าต้องรู้ว่า หลักการเหตุผลหลายอย่างที่เดิมทีข้านึกว่าสมเหตุสมผลดีแล้ว ตอนนี้กลับกลายเป็นว่ามันเปลี่ยนไปเยอะมากโดยที่ข้าก็ไม่รู้ตัว มีเพียงเรื่องนี้เท่านั้นที่ไม่เคยเปลี่ยน ชอบคนคนหนึ่ง ก็จะชอบแค่นาง เท่านี้ก็เพียงพอมากๆ แล้ว”
สุยจิ่งเฉิงไม่ได้เอ่ยคำใด เพียงแค่มองเขาเงียบๆ
คนหนุ่มชุดเขียวผู้นั้นพูดเบาๆ ว่า “ขอโทษด้วย”
สุยจิ่งเฉิงเช็ดน้ำตา แล้วยิ้มเอ่ยว่า “ไม่เป็นไร สามารถชอบผู้อาวุโสที่ไม่มีทางชอบตน เมื่อเทียบกับชอบให้คนอื่นมาชอบตน ดูเหมือนว่าจะทำให้มีความสุขได้มากยิ่งกว่า”
เฉินผิงอันส่ายหน้า แล้วก็ไม่ได้เอ่ยอะไรอีก
สุยจิ่งเฉิงยิ้มถามว่า “ผู้อาวุโสเพิ่งจะเป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสามหรือ?”
เฉินผิงอันหันหน้ามาเอ่ย “แต่ข้าอายุน้อยกว่าเจ้านะ”
สุยจิ่งเฉิงใช้มือสองข้างยันไว้บนม้านั่งตัวยาว เหยียดขาสองข้างออกมาด้านหน้า โคลงศีรษะไปมา ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “ข้าไม่โกรธหรอก”
ฉีจิ่งหลงบอกว่าจะไปฝึกตน และอันที่จริงเขาก็กำลังฝึกตน แต่สำหรับบทสนทนาตรงริมสระดอกบัวนั้น กลับยังคงดังเข้าหูเขาไม่ขาดหายไปแม้แต่คำเดียว
ขอบเขตสูงก็ยุ่งยากอย่างนี้เอง
ฉีจิ่งหลงคิดแล้วก็รู้สึกว่าควรจะต้องขอความรู้จากเฉินผิงอันดีๆ สักครั้ง ต่อให้ต้องถูกอีกฝ่ายยุให้ดื่มเหล้าก็ได้แต่ต้องอดทน
สุยจิ่งเฉิงนั่งอยู่อีกครู่หนึ่งก็กลับเข้าห้องไปพักผ่อน
เฉินผิงอันที่อยู่ริมสระดอกบัวเริ่มสูดลมหายใจทำสมาธิ ตอนที่ฟ้าเริ่มสว่าง เขาก็ออกจากเรือนไปหากู้โม่ หลังจากที่เรื่องราวจบลงแล้ว เรื่องบางเรื่องถึงจะสามารถเปิดปากเอ่ยได้
หลังจากที่กู้โม่เปิดประตู คนทั้งสองก็นั่งลงบนโต๊ะหินในลานตรงข้ามกัน
เฉินผิงอันพูดเข้าประเด็นทันทีว่า “จางซานเฟิงเป็นเพื่อนของข้า เทพธิดากู้รู้จักหรือไม่?”
กู้โม่พยักหน้ารับ “รู้จัก แต่ไม่สนิทเลย แค่ได้พบหน้ากันไม่มกี่ครั้ง หากนับตามลำดับศักดิ์แล้ว เขาถือว่าเป็นอาจารย์อาของข้า”
เฉินผิงอันผงกศีรษะ นี่ก็แสดงว่านักพรตเฒ่าที่ปรากฎตัวในตรอกของแถบแคว้นชิงหลวนก็น่าจะเป็นอาจารย์ของจางซานเฟิง ฮว่อหลงเจินเหรินไม่ผิดแล้ว
เพราะลักษณะคร่าวๆ ของชุดคลุมลัทธิเต๋าที่คนทั้งสามซึ่งมีสามลำดับศักดิ์สวมใส่นั้นเหมือนกัน
แต่เฉินผิงอันกลับไม่ได้เอ่ยอะไรมาก หลังจากรู้ว่าตอนนี้ทั้งจางซานเฟิงและฮว่อหลิงเจินเหรินต่างก็ไม่อยู่บนยอดเขาพาตี้ จึงได้แต่ถามว่าวันหน้าหากผ่านไป สามารถขึ้นเขาไปเยี่ยมเยือนได้หรือไม่
กู้โม่ยิ้มกล่าว “ในเมื่อเจ้ารู้จักกับอาจารย์อาน้อยท่านนั้น แล้วจะมีอะไรที่ไม่ได้เล่า”
จากนั้นกู้โม่ก็เอ่ยเสริมอีกหนึ่งประโยคว่า “เจ้าเมื่อเจ้าขึ้นไปบนภูเขาแล้วก็ไม่ต้องมาทักทายข้า ข้าไม่สนิทกับเจ้ามากยิ่งกว่า”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ไว้ค่อยว่ากัน”
กู้โม่ถลึงตาใส่ “พวกศิษย์พี่ศิษย์น้องหญิงชอบเรื่องซุบซิบนินทา หากเจ้าทำแบบนี้ พวกนางคงเอาไปพูดกันได้หลายปี เจ้าห้ามทำร้ายข้าเด็ดขาด!”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม แล้วจึงเอ่ยขอตัวลา
กู้โม่พลันเอ่ยว่า “เจ้ารู้จักอาจารย์อาน้อยของข้า แล้วทำไมไม่พูดตั้งแต่แรก บางทีอาจไม่มีเรื่องเข้าใจผิดพวกนั้นแล้วก็ได้”
เฉินผิงอันส่ายหน้า ไม่ได้อธิบายอะไร
ปัญหาของสภาพจิตใจกู้โม่นั้น ฉีจิ่งหลงมองออก อันที่จริงเขาเฉินผิงอันก็พอจะมองเห็นเบาะแสได้อย่างเลือนราง
น้ำที่ติดขัดไม่สู้น้ำไหล
สำหรับเรื่องนี้เฉินผิงอันเข้าใจอย่างลึกซึ้ง
ตอนนั้นที่อยู่บนทะเลเมฆ จู๋เฉวียนแห่งสำนักพีหมาทำได้ดีอย่างมาก
หลังจากที่เฉินผิงอันจากไป กู้โม่ที่แน่ใจว่าเจ้าหมอนั่นจากไปไกลแล้วจริงๆ
นางถึงได้ยกมือขึ้นมาลูบหน้า
อาจารย์อาน้อยที่ชื่อว่าจางซานเฟิงผู้นั้น
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!