ทุกครั้งที่มีเซียนกระบี่ตายไปหนึ่งคนก็มีความเป็นไปได้อย่างถึงที่สุดว่าจะมีคนมาเพิ่มบนสนามรบอีกสองคน
นี่ก็คือเหตุผลที่ว่าทำไมทั้งๆ ที่อุตรกุรุทวีปตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียง แต่กลับแย่งเอาคำว่า ‘อุตร’ มาจากทางธวัลทวีปได้
ไม่ยอมหรือ?
ปีนั้นหลังจากที่บุญคุณความแค้นครั้งใหญ่ผ่านพ้นไป คนทั้งอุตรธวัลทวีปที่เดือดดาลพากันขู่อาฆาตกุรุทวีป และยังมีผู้ฝึกตนใหญ่ของธวัลทวีปที่ด่ากราดใส่พวกผู้ฝึกกระบี่ของกุรุทวีปหลายท่านที่รบตายอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่อย่างกำเริบเสิบสาน ไม่เพียงเท่านี้ ยังป่าวประกาศว่าจะขับไล่ผู้ฝึกตนของกุรุทวีปทุกคนออกไปจากอาณาเขตอีกด้วย
จากนั้นผู้ฝึกกระบี่ของกุรุทวีปที่ตอนนั้นยังเป็นอิสานกุรุทวีปจำนวนสองร้อยกว่าคนก็เตรียมพร้อมสำหรับการขี่กระบี่เดินทางไกลไปเยือนธวัลทวีป ในบรรดานั้นมีผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตบนอยู่ถึงสิบท่าน
ก่อนจะออกเดินทาง ผู้ฝึกกระบี่กลุ่มนี้ไม่ได้ทิ้งถ้อยคำอาฆาตใดๆ ให้กับธวัลทวีป แค่จับมือกันเดินทางไกลข้ามทวีปไปโดยตรง
ซึ่งผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตบนครึ่งหนึ่งในนั้นล้วนเป็นคนที่เคยผ่านการลับคมกระบี่จากกำแพงเมืองปราณกระบี่มาก่อน
เมื่อธวัลทวีปรู้ว่าผู้ฝึกกระบี่สองร้อยกว่าท่านจากกุรุทวีปอยู่ห่างจากชายหาดอีกแค่สามพันลี้เท่านั้น ตระกูลเซียนที่มีอักษรจงในชื่อแทบทุกแห่งล้วนรู้สึกเหมือนใกล้จะแหลกสลายกันเต็มที
เพราะอีกฝ่ายป่าวประกาศแล้วว่าจะใช้กระบี่ตวัดธวัลทวีปขึ้นมา ใครก็ไม่ต้องรีบร้อน ตั้งแต่ตะวันออกจรดตะวันตก ทุกหนทุกแห่ง ทุกคนล้วนมีส่วนแบ่ง ส่วนคำว่าอุตรของธวัลทวีปนั้น พวกเจ้าเสียดายกันนักไม่ใช่หรือ งั้นก็เก็บเอาไว้แล้วกัน
นอกจากผู้ฝึกกระบี่ที่ ‘บุกเบิกแคว้น’ กลุ่มนี้แล้ว ยังมีผู้ฝึกกระบี่ที่ทยอยกันเดินทางไกลไปยังแถบตะวันตกเพิ่มอีกอย่างต่อเนื่อง
สุดท้ายเป็นซิ่วไฉเฒ่าคนหนึ่งที่ขัดขวางทางไปของผู้ฝึกกระบี่กลุ่มนั้น
ไม่รู้ว่าซิ่วไฉเฒ่าคนนั้นที่เผชิญหน้ากับผู้ฝึกกระบี่สองร้อยกว่าคนพูดคุยกันว่าอะไร
แต่สุดท้ายแล้วผู้ฝึกกระบี่ของกุรุทวีปก็ไม่ได้ยกขบวนขึ้นชายฝั่ง เลือกที่จะย้อนกลับคืนไปยังทวีปของตัวเอง
แต่หลังจากนั้นมาอุตรธวัลทวีปก็ไม่มีคำว่าอุตรอยู่อีก
ฉีจิ่งหลงหวนนึกถึงเรื่องราวในอดีตเหล่านี้ ต่อให้จะไม่ได้ประสบพบเจอกับตัวเอง ได้แต่ฟังมาจากเหล่าผู้อาวุโสในสำนัก แต่ก็ยังเกิดจิตเลื่อมใสอย่างเลี่ยงไม่ได้
ทว่าผู้ฝึกกระบี่สองท่านของสำนักกระบี่ไท่ฮุยที่อยู่ในขบวนเดินทางไกลข้ามทวีปครั้งนั้นด้วยกลับไม่เคยยินดีจะพูดอะไรมากเกี่ยวกับเรื่องนี้
ฉีจิ่งหลงแค่เคยได้ยินพวกคนเฒ่าคนแก่บางคนในสำนักคุยกัน บอกว่าเซียนกระบี่ทั้งสองท่านเคยทะเลาะกันว่าใครจะเป็นคนอยู่เฝ้าสำนัก ใครจะเป็นคนข้ามทวีปไปออกกระบี่ ความหมายคร่าวๆ ก็ประมาณว่า คนหนึ่งบอกว่าเจ้าเป็นเจ้าสำนัก เจ้าก็ควรอยู่ต่อ อีกคนหนึ่งบอกว่าวิชากระบี่เจ้าสู้ข้าไม่ได้ ก็อย่าออกไปให้ขายหน้าคนอื่น
ฉีจิ่งหลงเริ่มทบทวนความเป็นไปได้ของการขัดเกลาแต่ละอย่างซ้ำอีกรอบ
ความเป็นไปได้ที่ดีที่สุดและเลวร้ายที่สุด รวมไปถึงสิ่งต่างๆ มากมายที่ซุกซ่อนอยู่ในเรื่องนี้
นี่เป็นเส้นสายความคิดที่เหมือนกับการปฏิบัติต่อสถานการณ์ทางตันน้อยใหญ่ของเฉินผิงอันอย่างไม่มีผิดเพี้ยน
เพียงแต่ว่าฉีจิ่งหลงคิดไปคิดมาก็ยังรู้สึกว่านี่อาจเป็นสถานการณ์ซับซ้อนที่มีความเป็นไปได้สูงว่าอาจชักนำทุกฝ่ายให้มาเกี่ยวข้อง
ดังนั้นฉีจิ่งหลงจึงคิดว่ารอให้รวบรวมข้อมูลได้มากกว่านี้ก่อนค่อยว่ากัน
ช่วยเหลือด้วยความหวังดี มีข้อหนึ่งที่สำคัญอย่างมาก นั่นก็คืออย่าได้เพิ่มปัญหาให้กับผู้อื่น
ฉีจิ่งหลงเดินกลับมานั่งที่
สำนักฉงหลินจะเป็นจุดเริ่มต้นในการคลี่คลายปัญหาที่ค่อนข้างดีแห่งหนึ่ง
เพราะสำนักที่มีเงินทองไหลมาเทมาแห่งนี้มีปลาและมังกรปะปนกันยุ่งเหยิง คิดจะสืบข่าวมาจากพวกเขา ไม่มีทางเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น
และยังมีสำนักอีกแห่งหนึ่งที่สนิทสนมกับสำนักกระบี่ไท่ฮุยมาหลายรุ่นหลายสมัย ได้ยินมาว่าเคยทำการค้าเครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิตกับถ้ำสวรรค์หลีจู ซึ่งสามารถลองหยั่งเชิงสืบข่าวดูได้
นอกจากนี้ฉีจิ่งหลงยังมีความคิดบางอย่าง
ซึ่งก็หนีไม่พ้นทำไปตามลำดับขั้นตอน แสวงหาในคำว่าช้าแต่ไร้ความผิดพลาด มั่นคงเพื่อช่วงชิงชัยชนะ
ฉีจิ่งหลงเรียบเรียงเส้นสายหนึ่งได้พอประมาณแล้วก็รินชาให้ตัวเองหนึ่งถ้วย
ในบรรดาคนรุ่นเยาว์สิบคนของอุตรกุรุทวีปตอนนี้
คู่พี่น้องหยางหนิงเจิน หยางหนิงซิ่งที่ต่างก็เป็นตัวอ่อนเต๋ามาตั้งแต่กำเนิดของหน่วยฉงเสวียน ฉีจิ่งหลงย่อมรู้จักคุ้นเคยเป็นอย่างดี
หยางหนิงเจินที่หันไปฝึกวรยุทธนั้นเป็นคนที่นิสัยดึงดันมากกว่า
หยางหนิงซิ่งอยู่ในอันดับเก้า หยางหนิงเจินผู้เป็นพี่ชายอยู่อันดับท้ายสุด แต่ในความเป็นจริงแล้ว ลำดับของหยางหนิงเจินยังสามารถเลื่อนขั้นขึ้นไปได้อีกสองสามลำดับ
คนที่อยู่อันดับที่สี่ ซึ่งก็คือคนที่อยู่ด้านหลังฉีจิ่งหลง มีชื่อว่าหวงซี
คือผู้ฝึกตนอิสระคนหนึ่ง เป็นก่อกำเนิดอิสระที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ของอุตรกุรุทวีป ถือเป็นผู้ฝึกตนน่าหวาดกลัวที่สามารถทรมานคู่ต่อสู้ให้ตายไปทีละนิดได้เก่งเป็นพิเศษ ขนาดผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบก็ยังยากที่จะฆ่าเขาได้ ทั้งอาศัยวิชาอภินิหาร แล้วก็อาศัยอาวุธกึ่งเซียนชิ้นหนึ่งที่ต้องบุกสังหารผ่านเส้นทางเลือดกว่าจะได้มาครอง รวมไปถึงอาวุธกึ่งเซียนอีกชิ้นที่ในอดีตอาศัยโชควาสนาจึง ‘เก็บมา’ ได้ หนึ่งป้องกันหนึ่งโจมตี อีกทั้งนิสัยของคนผู้นี้ยังหนักแน่น กลอุบายลึกล้ำอย่างถึงที่สุด มีแค้นต้องชำระ ถูกขนานนามให้เป็นเจียงซ่างเจินแห่งอุตรกุรุทวีป
การแก้แค้นครั้งหนึ่ง เขาคนเดียวบุกไปสังหารสำนักตระกูลเซียนลำดับสองทั้งตระกูล ไม่เหลือคนรอดชีวิตแม้แต่คนเดียว
จุดที่น่ากลัวก็คือเขาไม่ได้เลือกที่จะบุกขึ้นภูเขาของสำนักไปอย่างโจ่งแจ้ง แต่แฝงตัวเข้าไปสามครั้ง วางแผนเล่นงานใจคน ถึงขั้นที่สามารถเรียกได้ว่าน่าพรั่นพรึง
รอจนเซียนกระบี่ขอบเขตหยกดิบคนหนึ่งพาคนไปถึง เขาก็จากมาไกลแล้ว และบรรพจารย์ของสำนักตระกูลเซียนแห่งนั้นก็เพิ่งจะกลืนลมหายใจเฮือกสุดท้ายลงไป โอสถทองถูกกรีดออกจากร่าง ก่อกำเนิดแห่งชะตาชีวิตถูกนำมาจุดเป็นตะเกียง แล้ววางเอาไว้บนหลังคาเรือนของศาลบรรพจารย์ แสงไฟลุกสว่างโชติช่วง
ไม่ว่าจะบนหรือล่างภูเขา ตะเกียงแห่งชะตาชีวิตของผู้ฝึกตนแต่ละดวงล้วนเผาผลาญจิตวิญญาณอย่างไม่หยุดพัก บ้างก็มอดดับ สลายกลายเป็นผุยผง แต่บางส่วนก็ยังมีจิตวิญญาณหลงเหลืออยู่
ภูเขาตระกูลเซียนแห่งหนึ่งที่เดิมทีควรเปี่ยมไปด้วยปราณวิญญาณ กลับกลายเป็นว่ามีแต่กลิ่นอายของความอึมครึมวังเวง ประดุจเมืองผี
ฉีจิ่งหลงเคยประมือกับเขาหนึ่งครั้ง
และฉีจิ่งหลงก็ออกกระบี่ด้วย
แต่คนผู้นั้นกลับทั้งรบทั้งถอย ถึงขั้นที่ว่าเขายังเอ่ยถ้อยคำจากใจจริงบางอย่าง รวมไปถึงเรื่องวงในบนภูเขาที่ฉีจิ่งหลงไม่เคยได้ยินมาก่อน
หนึ่งในนั้นเป็นเรื่องของการวอกแวกเบนความสนใจไปทำเรื่องอื่น นี่ก็คือคำเตือนของคนผู้นี้
ผู้ฝึกตนอิสระคนนี้มีนามว่าหวงซี
และหวงซีเองก็เคยสร้างวีรกรรมยิ่งใหญ่น่าประหลาดใจบางอย่าง สรุปคือแต่ไหนแต่ไรมาเขามักจะมีการกระทำที่ยากจะแยกแยะได้ว่าเป็นฝ่ายธรรมะหรืออธรรมอยู่เสมอ
สองคนที่อยู่เบื้องหน้าฉีจิ่งหลง
อันดับหนึ่งนั้นไม่ต้องไปคิดให้มากความแล้ว
ขอแค่เขายินดีลงมือ อีกฝ่ายก็ย่อมต้องแพ้อย่างแน่นอน ต่อให้จะมีขอบเขตสูงกว่าเขาหนึ่งระดับก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!