นักพรตสองคนหนึ่งแก่หนึ่งหนุ่มกำลังเดินอยู่ริมหนองน้ำใหญ่ของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ลมฤดูใบไม้ร่วงเยือกเย็น นักพรตเฒ่าบอกกับลูกศิษย์ว่าต้องการไปพบกับสหายเก่าคนหนึ่ง
คนหนุ่มผู้เป็นลูกศิษย์ก็ไม่ได้ถามว่าคนที่อีกฝ่ายจะไปพบเป็นใครกันแน่ ขอบเขตสูงหรือไม่ เพราะไม่มีความจำเป็น
ปีนั้นตอนที่ไปเยือนเกาะโดดเดี่ยวนอกมหาสมุทรแล้วถูกบัณฑิตคนหนึ่งปฏิเสธไม่ให้เข้าพบ
นักพรตหนุ่มก็อดปลงอนิจจังกับตบะของอาจารย์ตัวเองไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออาจารย์บอกว่าบัณฑิตคนนั้นไม่ใช่เทพเซียนพสุธาอะไร ยิ่งไม่ใช่ขอบเขตหยกดิบ ขอบเขตเซียนเหรินหรือขอบเขตบินทะยาน เดิมทีนักพรตหนุ่มก็คิดจะปลอบใจอาจารย์สักคำสองคำ เพียงแต่พอเห็นท่าทีไม่ยี่หระของอาจารย์ นักพรตหนุ่มจึงล้มเลิกความคิด เป็นแบบนี้ย่อมดีกว่า ความสามารถในการกำจัดปีศาจปราบมารของอาจารย์ไม่ได้เรื่อง เขาที่เป็นลูกศิษย์ก็มีมรรคกถาที่ไม่ได้ความเช่นกัน นี่ก็ดูเหมือนว่าพอมีเหตุผลน่าอภัยไม่ใช่หรือ?
ภายหลังอาจารย์ก็พาเขามาขึ้นฝั่งที่ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ไปเยือนภูเขามังกรพยัคฆ์อันเป็นสำนักเบื้องบนของพวกเขา ผลคือจางซานเฟิงถูกอาจารย์สั่งให้รออยู่ที่ตีนเขา นักพรตหนุ่มรู้สึกเสียดายเล็กน้อย แต่เขารู้สึกว่าอาจเป็นเพราะหน้าตาของอาจารย์ไม่ใหญ่พอ จึงไม่อาจพาคนขึ้นเขาไปด้วยกันได้ เลยไม่ได้พูดอะไร อาจารย์บอกเพียงว่าการขึ้นเขาครั้งนี้ก็เพราะต้องการขอร้องเรื่องหนึ่งจากพวกผู้สูงศักดิ์หวงจื่อเหล่านั้น หากทำสำเร็จ จางซานเฟิงก็สามารถขึ้นไปบนภูเขาได้ จางซานเฟิงจึงบอกให้อาจารย์ตั้งใจให้มากๆ หน่อย พูดคุยกับเหล่าผู้สูงศักดิ์หวงจื่อดีๆ อย่าทำตัวไม่แยแสสิ่งใดเหมือนตอนอยู่บนภูเขาบ้านตัวเองอีก เพราะถึงอย่างไรตนจะได้ขึ้นเขาไปเที่ยวชมจวนเทียนซือหรือไม่ก็ล้วนต้องพึ่งอาจารย์แล้ว
นักพรตเฒ่าบอกว่าอาจารย์เคยทำเรื่องอะไรให้คนไม่วางใจด้วยหรือ
สายตาของนักพรตหนุ่มฉายแววตำหนิ ตลอดหลายปีที่ตนฝึกตนอยู่บนยอดเขาพาตี้นั้น อาจารย์ท่านเคยทำเรื่องอะไรสำเร็จบ้างดีกว่า? บางครั้งเวลาที่นักพรตของสายอื่นหวังจะมาคุยธุระกับท่านผู้อาวุโส หากไม่ท่านไม่นอนหลับกรนครอกๆ ก็ต้องให้ตนหรือไม่ก็พวกศิษย์พี่ที่อายุมากหน่อยช่วยออกหน้าปฏิเสธให้ นานวันเข้า นักพรตสำนักเดียวกันสามสายอย่างไท่เสีย ป๋ายอวิ๋นและจื่อเสวียนยังไม่ทันได้พูดอะไร แค่เห็นหน้าตนก็ถอนหายใจ หมุนตัวกลับได้ก็จากไปทันที ไม่มีความลังเลเลยสักนิด แม้จะบอกว่าศิษย์ช่วยอาจารย์แบ่งเบาภาระเป็นเรื่องที่ถูกต้องตามหลักฟ้าดิน แต่ศิษย์ช่วยอาจารย์ต้านหายนะครั้งแล้วครั้งเล่า จะไม่เกินไปหน่อยหรือ?
นักพรตเฒ่าขึ้นเขาไปได้ไม่นานก็ลงมา บอกว่าคุยไม่สำเร็จ คงต้องเดือดร้อนให้ศิษย์ไม่สามารถขึ้นไปเปิดโลกกว้างบนจวนเทียนซือได้แล้ว
นักพรตหนุ่มจึงบอกว่าไม่เป็นไร กลับกันยังเป็นฝ่ายเอ่ยปลอบใจนักพรตเฒ่าด้วย
นักพรตเฒ่าซาบซึ้งใจน้ำหูน้ำตาไหล ทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจัง บอกว่าซานเฟิงเอ๋ย ลูกศิษย์อย่างเจ้าช่างเป็นเสื้อนวมตัวเล็ก (เสื้อนวมเปรียบเปรยถึงคนที่เอาใจใส่ผู้อื่น โดยทั่วไปจะใช้กับลูกสาว โดยกล่าวว่าลูกสาวคือเสื้อนวมตัวเล็กของพ่อแม่) ของอาจารย์จริงๆ
นักพรตหนุ่มแหงนหน้ามองภูเขามังกรพยัคฆ์ที่อยู่ห่างไปไกลแวบหนึ่ง บนนั้นมีปราณเซียนล้อมวน เสียงนกกระเรียนเซียนแผดร้องแหลมยาว อาบทอด้วยรัศมีเรืองรอง เขารู้สึกผิดหวังเล็กน้อย เพียงแต่ว่าความผิดหวังนี้ไม่ใช่ความผิดหวังที่มีต่ออาจารย์ แต่เป็นความผิดหวังที่มีต่อตนเอง ปีนั้นเขาออกจากภูเขามาตามคำสั่งของอาจารย์ อาจารย์บอกว่าอย่ามัวเตร็ดเตร่อยู่แถวภูเขาบ้านตัวเองเลย ไปดูทัศนียภาพของสถานที่ที่ห่างไปไกลสักหน่อย ดังนั้นจางซานเฟิงจึงนั่งเรือข้ามฟากมุ่งหน้าไปยังทิศไกล หลังจากผ่านประสบการณ์การท่องเที่ยวมารอบหนึ่ง เขาที่ผิดหวังห่อเหี่ยวก็ไม่อยากจะกลับสำนักทั้งอย่างนั้น จึงกัดฟันควักเงินเทพเซียนแทบทั้งหมดที่มีมานั่งเรือข้ามฟากของภูเขาต่าเจี้ยวข้ามทวีปไปถึงแจกันสมบัติทวีป ภายหลังได้รู้จักกับสหายคนหนึ่ง และจากนั้นต่อมาก็ได้รู้จักกับสหายอีกคนหนึ่ง คนทั้งสามต้องจากลากัน แต่ก็ได้กลับมาพบกันอีกครั้ง แล้วการจากลาก็เกิดขึ้นอีก
หลังจากฝึกประสบการณ์ เรื่องราวบางอย่างนั้น นักพรตหนุ่มเข้าใจได้อย่างกระจ่างแจ้ง
ดังนั้นยิ่งนานวันจางซานเฟิงก็ยิ่งรู้สึกซาบซึ้งในพระคุณของอาจารย์
นักพรตเฒ่ามาหยุดเท้าอยู่ในมุมหนึ่งริมหนองน้ำใหญ่ บอกว่ารอสักเดี๋ยว
จางซานเฟิงที่สะพายหีบไม้ไผ่ยืนอยู่ด้านข้าง ถามเสียงเบาว่า “อาจารย์ มาเยี่ยมเยียนคนอื่นถึงบ้าน ไม่ได้พกของขวัญมาด้วยหรือ?”
เจินเหรินผู้เฒ่าที่บนชุดคลุมเต๋าปักลายมังกรเพลิงสองตัวขมวดคิ้วมุ่น “มัวแต่เร่งรีบเดินทางก็เลยลืมไป”
จางซานเฟิงถอนหายใจ “ต่อให้เป็นของขวัญที่มีราคาแค่ไม่กี่เหรียญเงินเกล็ดหิมะ นั่นก็ถือเป็นของขวัญเบาน้ำใจหนัก อาจารย์ พวกเราไม่ละเอียดรอบคอบกันเลยใช่ไหม? ครั้งหน้าหากท่านต้องไปพบเพื่อนรักอีก ท่านก็บอกข้าก่อนเถอะ ข้าจะเป็นคนเตรียมของขวัญให้ท่านเอง”
เจินเหรินผู้เฒ่าคิดแล้วก็พยักหน้าตอบตกลง ยังคงข่มกลั้นเอาไว้ไม่บอกความจริงแก่ลูกศิษย์ว่า หากพวกเราสองอาจารย์และศิษย์พกของขวัญมาเยี่ยมเยียนคนเขาจริงๆ เกรงว่าเทพวารีหนองน้ำใหญ่คงเข้าใจผิดคิดว่าตนจะเอาของขวัญมาก่อนแล้วค่อยตามด้วยกองทัพ หมายถลกหนังดึงเส้นเอ็น เกรงว่าเข่าคงอ่อนจนยืนไม่อยู่ แม้จะบอกว่าเทพวารีแห่งหนองน้ำใหญ่ผู้นี้เป็นเทพอันดับหนึ่งของศาลเทพวารีประจำราชวงศ์ใหญ่แห่งที่สามของใต้หล้าไพศาล แต่ปีนั้นเขาไม่รู้จักวางตัวเป็นคน…เป็นเทพสักเท่าไร ส่วนนิสัยของตัวผู้เฒ่าเองก็ไม่ค่อยดี ดังนั้นจึงเริ่มโคจรวิชาอภินิหาร ทำให้น้ำในหนองน้ำใหญ่เดือดพล่าน จนกระทั่งระดับน้ำของตลอดทั้งหนองน้ำใหญ่ลดลงไปจั้งกว่าแล้ว ในที่สุดเจ้าหมอนั่นจึงเริ่มคุกเข่าโขกหัวคำนับ ขอร้องให้เขาช่วยมีเมตตา
เวลานี้ เจินเหรินผู้เฒ่าที่ร่ายเวทอำพรางตาเริ่มเปิดเผยร่องรอยบางอย่าง
และไม่นานก็มีผู้เฒ่าสวมชุดสีทองคนหนึ่งแหวกผิวน้ำเดินออกมา พอขึ้นมาบนฝั่งแล้วก็ไม่ได้พูดอะไร เป็นเพราะว่าไม่กล้า ในใจของเขาเต้นระรัวเหมือนตีกลอง รู้สึกกล้าๆ กลัวๆ พยายามตีหน้าให้นิ่ง เพราะกลัวว่าหากทนไม่ไหวตนจะลงไปนั่งคุกเข่าร้องไห้น้ำมูกน้ำตาไหล เอ่ยถ้อยคำชวนขนลุกเพื่อให้อีกฝ่ายเวทนาสงสาร ถึงเวลานั้นหากกลับกลายเป็นว่าทำให้เทพเซียนผู้เฒ่าไม่สบอารมณ์ จะไม่ยิ่งกลายเป็นหายนะใหญ่หรอกหรือ? หากจะพูดถึงราชสำนักใหญ่แห่งนี้กับทั้งบนและล่างภูเขา เทพวารีที่ทั้งระดับขั้นและตบะล้วนไม่ถือว่าต่ำอย่างเขาก็ถือว่าเป็นกระดูกแข็งที่มีชื่อเสียงคนหนึ่ง อีกทั้งยังเคยผ่านการต่อสู้ตัดสินเป็นตายกับผู้ฝึกตนใหญ่หลายท่านที่ขอบเขตเหนือกว่ามาแล้ว ทว่ามีเพียงต้องเผชิญหน้ากับฮว่อหลงเจินเหรินเท่านั้นที่เป็นข้อยกเว้น
ผู้ฝึกตนใหญ่ทั่วไป อย่างมากสุดก็ได้แค่ใช้เวทคาถาและสมบัติอาคมทำให้ร่างทองของเขาเกิดรอยปริร้าว เสียพลังต้นกำเนิดไปมาก ทว่าแค่นำควันธูปและโชคชะตาน้ำมาซ่อมแซม ร่างทองก็สามารถกลับคืนมาเป็นปกติได้แล้ว
แต่ฮว่อหลงเจินเหรินที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้กลับสามารถทำให้ร่างทองของเขาเละเป็นผุยผงได้ อีกทั้งเขายังไม่มีกำลังเหลือพอให้ตอบโต้อีกฝ่ายด้วย
ส่วนเรื่องที่ว่าเหตุใดฮว่อหลงเจินเหรินถึงได้สามารถลงมือกับองค์เทพแห่งภูเขาแม่น้ำได้ง่ายดายเพียงนี้ อีกทั้งกฎเกณฑ์ของสำนักศึกษาแผ่นดินกลางที่พันธนาการเทพเซียนผู้เฒ่าท่านนี้ก็มีน้อยมาก นี่เป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะแปลกประหลาดไปสักหน่อย
นักพรตหนุ่มมองยอดฝีมือนอกโลกที่เหมือนคนมาสร้างกระท่อมฝึกตนตรงหน้าผู้นี้ ยิ่งเห็นสีหน้าเย็นชาหน้าตาบึ้งตึงไม่เอ่ยคำใดของอีกฝ่ายก็อดตำหนิอาจารย์ในใจไม่ได้ เห็นไหม นี่มีบรรยากาศแช่มชื้นน่าเฉลิมฉลองของการที่สหายเก่ากลับมาพบเจอกันเสียที่ไหน? หรืออาจารย์รู้สึกว่าต้องไปเสียหน้าอยู่บนภูเขามังกรพยัคฆ์ ก็เลยคิดว่ามาที่น่านน้ำของหนองน้ำเซิ่นเจ๋อแห่งนี้ หาสหายสักคนที่ความสัมพันธ์ธรรมดาไม่สนิทสนมกันมาก จะได้โอ้อวดตนที่เป็นลูกศิษย์ได้ว่าตัวเองมีสหายกว้างขวางอยู่ในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง? อันที่จริงอาจารย์ท่านไม่ต้องทำแบบนี้เลย นักพรตหนุ่มเริ่มรู้สึกสงสารอาจารย์ขึ้นมาบ้างแล้ว
จางซานเฟิงกระแอมหนึ่งที “อาจารย์?”
ฮว่อหลงเจินเหรินที่ใจลอยไปไกลร้องอ้อรับหนึ่งที แล้วยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ”
ผู้เฒ่าชุดคลุมสีทองกลืนน้ำลาย ยิ้มอย่างฝืดเฝื่อนเอ่ยว่า “นานมากแล้วจริงๆ”
ฮว่อหลงเจินเหรินคร้านจะพูดจาไร้สาระกับเทพวารีของหนองน้ำใหญ่ผู้นี้ให้มากความ จึงเอ่ยเข้าประเด็นว่า “ข้าต้องการโอสถวารีขวดหนึ่งจากเจ้า”
ผู้เฒ่าร่างทองเกือบจะกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่
ก็แค่โอสถวารีแห่งชะตาชีวิตของตำหนักเทพวารีหนองน้ำเซิ่นเจ๋อเท่านั้น แค่เรื่องเล็กๆ ที่ให้คนนำความมาแจ้งก็ได้ ไหนเลยจะต้องให้เจินเหรินผู้เฒ่าเดินทางมาด้วยตัวเอง? แม้จะมาเดินอยู่บนทางเล็กๆ กลางป่ากลางเขาแค่ไม่กี่ก้าว แต่นั่นก็ยังถ่วงเวลาการฝึกตนของเทพเซียนผู้เฒ่าอยู่ดีไม่ใช่หรือ? ท่านเทพเซียนผู้เฒ่าท่านรู้หรือไม่ว่า พอท่านปรากฎตัวแบบนี้ก็เกือบจะทำให้จิตใจของเทพน้อยๆ อย่างข้าแหลกสลายแล้ว?
ผู้เฒ่าชุดคลุมสีทองรู้สึกถึงเพียงความโชคดีที่รอดชีวิตมาได้ วันหน้าจะต้องจัดงานเลี้ยงฉลองในตำหนักเทพวารีสักครั้ง เพราะถึงอย่างไรตลอดหนึ่งพันปีกว่าที่ผ่านมานี้เขาก็ใช้ชีวิตอยู่อย่างกังวลใจมาโดยตลอด ด้วยกังวลว่าคราวหน้าที่ได้พบเจอฮว่อหลงเจินเหริน หากตนไม่ตายก็คงต้องหนังหลุดไปหนึ่งชั้น ไหนเลยจะคิดได้ว่าแค่โอสถวารีขวดเดียวก็สามารถยุติเรื่องราวได้แล้ว แน่นอนว่าคำว่าโอสถวารีแค่ขวดเดียวนี้ สามารถเอามาใช้ได้กับเทพเซียนผู้เฒ่าที่เป็นขอบเขตบินทะยานขั้นสูงสุดอย่างฮว่อหลงเจินเหรินได้เท่านั้น ผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนเหรินทั่วไปที่เชี่ยวชาญวิชาธาตุไฟล้วนไม่กล้าเอ่ยเช่นนี้ เทพวารีแห่งแผ่นดินกลางที่มีระดับขั้นสูงอย่างถึงที่สุดอย่างเขาหากสู้ไม่ได้แล้วก็หนีไม่รอด แค่หนีไปหลบอยู่ในน้ำ แล้วเจ้าจะทำอะไรข้าได้? ถึงอย่างไรหากอีกฝ่ายใช้อำนาจมารังแกคนอื่นแล้วสร้างความครึกโครมที่ใหญ่โตขึ้นมาจริงๆ ราชวงศ์และสำนักศึกษาย่อมไม่มีทางนิ่งดูดายอยู่เฉยๆ แน่นอน
ดังนั้นในมือของผู้เฒ่าชุดทองจึงมีขวดกระเบื้องใบหนึ่งโผล่ขึ้นมาทันที เขาถามอย่างระมัดระวังว่า “ขวดเดียวก็พอหรือ?”
ฮว่อหลงเจินเหรินคลี่ยิ้ม “เจ้าคิดว่าไงล่ะ”
ผู้เฒ่าชุดทองไม่พูดไม่จา ในมือก็มีโอสถวารีที่รวมรวบมาจากแก่นชะตาน้ำของหนองน้ำเซิ่นเจ๋อเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งขวด
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!