พื้นที่มงคลอยู่ที่พื้นอยู่ที่คน อยู่ที่วัตถุดิบวิเศษแห่งฟ้าดิน ถ้ำสวรรค์อยู่ที่การฝึกตนได้บรรลุมรรคา
นี่ก็คือ ‘ความต่างราวฟ้ากับดิน’ ตามความหมายของตัวอักษร
แน่นอนว่าสถานการณ์ที่ดีที่สุดก็คือสำนักแห่งหนึ่งได้ครอบครองถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลในเวลาเดียวกัน ยกตัวอย่างเช่นสำนักโองการเทพที่ได้ครอบครองพื้นที่มงคลชิงถาน ขณะเดียวกันก็ยังมีถ้ำสวรรค์ขนาดเล็กอีกแห่งหนึ่ง เพียงแต่ว่าไม่ได้อยู่ในอันดับสามสิบหกแห่งอย่างถ้ำสวรรค์หลีจู ถ้ำสวรรค์วังมังกร เพราะระดับขั้นไม่สูงมากพอ แต่ถึงอย่างไรถ้ำสวรรค์ขนาดเล็กก็ยังคงเป็นถ้ำสวรรค์ขนาดเล็ก เทียบกับสถานที่วิเศษฮวงจุ้ยดีเยี่ยมที่มีปราณวิญญาณอุดมสมบูรณ์แล้ว นอกจากปราณวิญญาณจะมีมากยิ่งกว่า กุญแจสำคัญก็คือยังมีความลี้ลับอีกหลายอย่าง ยกตัวอย่างเช่นลมปราณแห่งมหามรรคา และยังมีวัตถุสีทองบางอย่างที่ถูกแม่น้ำแห่งกาลเวลาที่ไหลรินผ่านชะล้างให้กลายเป็นตะกอนทับถม ลักษณะของมันจะเป็นเม็ดเล็กๆ ส่องแสงสว่างเรืองรอง
ถ้ำสวรรค์นาข้าวแห่งนี้ยังมีความลี้ลับมหัศจรรย์คล้ายกับบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำด้วย ดังนั้นจึงเหมาะให้หลิวเสี้ยนหยางนำมาใช้ฝึกกระบี่ได้ในระดับหนึ่ง
อันที่จริงผู้เฒ่ายังมีถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลที่เหมาะสมกับคัมภีร์กระบี่เล่มนั้นมากกว่านี้อยู่อีก
แต่ยังไม่เหมาะให้เอาออกมาในเวลานี้
ทำการค้ากับคนอื่น อย่าได้เอาแต่เสนอตัวทุ่มของดีมากเกินไป เพราะจะทำให้ขายได้ราคาไม่สูง
หร่วนซิ่วขมวดคิ้ว เอ่ยถาม “ไม่มีเศษซากพื้นที่ลับที่เป็นธาตุไฟหรือ?”
หลี่หลิ่วเอ่ย “ต่อให้ตาเฒ่ามีก็ไม่มีทางมอบให้เจ้า เจ้ากล้ารับไว้ พ่อของเจ้าก็ต้องเอากลับไปคืนอยู่ดี และข้าก็ยิ่งไม่มีทางเสียเวลาเดินทางกลับมาเพราะเรื่องแบบนี้แน่”
หร่วนซิ่วพยักหน้ารับ “ขอบใจเจ้ามาก”
หลี่หลิ่วไม่ได้ตอบรับ
หร่วนซิ่วหยิบขนมที่ห่อด้วยผ้าเช็ดหน้าออกมาอีกครั้ง “กินหรือไม่?”
หลี่หลิ่วลังเลอยู่เล็กน้อย แล้วจึงหยิบขนมหนึ่งชิ้นขึ้นมาวางใส่ปาก
หร่วนซิ่วยิ้มตาหยี รู้สึกดีใจเล็กน้อย จากนั้นนางก็เอ่ยว่า “วันหน้าก่อนจะฆ่าเจ้าตาย เจ้าสามารถกินได้อีกครั้ง”
หลี่หลิ่วยิ้มกล่าว “ข้ากินขนม เจ้ากินข้า ถึงอย่างไรก็ยังคงเป็นเจ้าที่ได้กิน นับว่าเป็นการค้าที่ดี”
หร่วนซิ่วเก็บขนมลงไป ยิ้มมองไปยังทิศไกล “แต่ก็มีความเป็นไปได้ที่เจ้าจะกินข้านี่นา ข้ารู้สึกว่าเป็นแบบนี้ก็ดีมากแล้ว ไม่ต้องมีพันธนาการมากมายพวกนั้น อยากกินก็ได้กิน”
เผาแม่น้ำต้มมหาสมุทร หมื่นสรรพสิ่งล้วนสามารถกินได้
หร่วนซิ่วเอ่ยถาม “เรื่องในอดีตข้าจำไม่ได้แล้ว ครั้งสุดท้ายที่พวกเราประมือกัน ใครแพ้ใครชนะ?”
หลี่หลิ่วพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย “แพ้ทั้งคู่”
หลี่หลิ่วเอ่ยถาม “ลูกศิษย์ที่ได้รับการบันทึกชื่อของสำนักกระบี่หลงเฉวียนทั้งสิบสองคนนั้น เห็นได้ชัดว่าเป็นหมากที่คนอื่นเอามาแทรกแซงไว้ เหตุใดเจ้าถึงแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น?”
หร่วนซิ่วพูดด้วยสีหน้าเหลอหลา “คนอื่นเอามดสองสามตัวมาใส่ไว้ในเล้าไก่ เจ้าต้องไปสนใจด้วยหรือ?”
หลี่หลิ่วหัวเราะทันใด
มดที่น่าสงสาร
ในบรรดานั้นเกรงว่าคงจะเป็นเซี่ยหลิงที่น่าสงสารที่สุด
หร่วนซิ่วถามเหมือนไม่ใส่ใจ “เจ้าอยู่อุตรกุรุทวีปได้เจอคนคุ้นเคยหรือไม่?”
หลี่หลิ่วกล่าว “เคยเดินสวนกันในสถานที่แห่งหนึ่งที่ชื่อว่าหุบเขาผีร้ายของชายหาดโครงกระดูก ไม่ได้ไปทักทาย เพราะถึงอย่างไรวันหน้าก็ต้องได้พบกันที่ยอดเขาสิงโตอยู่ดี”
หร่วนซิ่วร้องอ้อหนึ่งที “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ไม่รู้จักเข้าสังคมสักเท่าไร”
หลี่หลิ่วหัวเราะหยัน “ไปสู้กันในพื้นที่มงคลพยับหมอกสักรอบไหมล่ะ?”
“ไม่ไป เห็นๆ กันอยู่ว่าต้องแพ้แน่นอน แล้วยังเป็นการค้าที่ต้องขาดทุนด้วย สู้กันไปสู้กันมา ปราณวิญญาณของพื้นที่มงคลกระจายหายไป ปีศาจใหญ่บาดเจ็บล้มตาย ไม่มีความหมาย”
หร่วนซิ่วส่ายหน้าเอ่ยว่า “นิสัยเช่นนี้ของเจ้า ปีนั้นข้าไม่ได้ฆ่าเจ้าตาย ก็หมายความว่าข้านิสัยดีมากจริงๆ”
หลี่หลิ่วทิ้งตัวนอนหงายไปด้านหลัง ใช้สองมือรองต่างหมอน “ก็ค่อนข้างดีนั่นแหละ”
หร่วนซิ่วชำเลืองตามองไปยังทิศสูง มีคนสองคนทะยานลมมุ่งหน้าไปทางทิศใต้
นางมองแวบหนึ่งแล้วก็ไม่คิดจะสนใจอีก
……
บุรุษคนหนึ่งที่นั่งเรือข้ามฟากของตระกูลตนเองมาเยือนท่าเรือบนภูเขาหนิวเจี่ยว ข้างกายมีสาวใช้นามว่ายาเอ๋อร์คนหนึ่งติดตามมาด้วย
คนทั้งสองทะยานลมมุ่งหน้าไปยังภูเขาลั่วพั่วโดยตรง
เขามีป้ายกระบี่ที่สำนักกระบี่หลงเฉวียนเป็นผู้สร้างขึ้น คราวก่อนที่มาเยือนภูเขาลั่วพั่วก็ได้ถือโอกาสซื้อมันมาจากจวนตระกูลเซียนในพื้นที่แห่งหนึ่ง และเวลานี้ก็แขวนมันไว้ที่เอว
อาศัยสถานะของตัวเองมาซื้อขายในราคาเดิม เรื่องแบบนี้ เขาทำไม่ได้ ไม่เกี่ยวกับว่ามีคุณธรรมหรือไม่มี
ราคาเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวไม่ยอมขาย ให้ราคาเพิ่มสูงขึ้นอีก อีกฝ่ายถึงจะขายยอมขายอย่างรวดเร็ว ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ก็ยังมีราคาแค่หนึ่งเหรียญเงินฝนธัญพืชเท่านั้น
พอมาถึงตีนเขาก็พลิ้วกายลงสู่เบื้องล่าง
เขาตะโกนเสียงดัง “พี่น้องต้าเฟิง!”
ชายฉกรรจ์หลังค่อมคนหนึ่งที่กำลังนั่งอาบแดดอยู่บนม้านั่งหน้าประตูใหญ่รีบลุกขึ้นยืนแล้ววิ่งมาหา พร้อมเอ่ยอย่างกระตือรือร้นว่า “โอ้ พี่น้องโจวเฟยมาแล้วหรือนี่!”
หญิงสาวหน้าตางามพิลาสที่อยู่ข้างกายเจียงซ่างเจินก็คือยาเอ๋อร์ที่ถูกพาตัวออกมาจากพื้นที่มงคลดอกบัว
หลังจากมองรูปโฉมอีกฝ่ายแล้ว เจิ้งต้าเฟิงก็พูดอย่างสะท้อนใจว่า “ท่วมทะลักจริงๆ!” (มาจากประโยคว่าไอ้ที่แห้งก็แห้งแล้งจนตาย ไอ้ที่ท่วมก็ท่วมทะลักจนตาย เปรียบเปรยถึงสถานการณ์สองอย่างที่ต่างกันสุดขั้ว อย่างเช่นว่าบางคนที่รวยก็รวยค้ำฟ้า บางคนที่จนก็แทบไม่มีจะกิน ประโยคนี้เหมือนเจิ้งต้าเฟิงจะบอกว่าเจียงซ่างเจินมีสตรีรายล้อมไม่ขาด แต่ตัวเองกลับหาไม่ได้สักคน)
เจียงซ่างเจินถาม “ขึ้นไปบนภูเขาได้ไหม?”
เจิ้งต้าเฟิงพยักหน้ารับ “ได้สิ แต่ช่วงนี้ภูเขาลั่วพั่วของพวกเราค่อนข้างจะฝืดเคือง ก็เลยมีกฎบนภูเขาข้อใหม่ ใครที่เดินผ่านประตูขึ้นเขาจะต้องจ่ายค่าผ่านทางก้อนเล็กๆ ในเมื่อเป็นพี่น้องโจวเฝย ถ้าอย่างนั้นข้าก็คงต้องทำตัวหน้าไม่อาย ยอมบิดเบือนกฎเห็นแก่ความสัมพันธ์ส่วนตัวสักครั้ง พี่น้องโจวเฝยจะให้เท่าไรก็ตามสบายเถอะ ถึงอย่างไรสถานะของเจ้าก็วางอยู่ตรงนั้น เป็นคนกันเองครึ่งตัวที่ขาดอีกแค่นิดเดียวก็จะได้เป็นผู้ถวายงานของภูเขาลั่วพั่วเราแล้ว จะให้เท่าไรก็ได้”
เจียงซ่างเจินหัวเราะร่าพลางหยิบเงินฝนธัญพืชออกมาหนึ่งเหรียญ แล้ววางลงบนมือของเจิ้งต้าเฟิง
เจิ้งต้าเฟิงเก็บเข้าไปไว้ในชายแขนเสื้อ “มิกล้ารับๆ นี่เยอะเกินไปแล้ว”
ยาเอ๋อร์มองชายฉกรรจ์หลังค่อมหน้าไม่อายผู้นี้แล้ว สมองที่เฉลียวฉลาดอย่างถึงที่สุดของนางก็แทบจะแล่นต่อไม่ได้
เจิ้งต้าเฟิงเดินขึ้นเขาไปพร้อมกับเจียงซ่างเจิน พลางถามว่า “มาครั้งนี้มีธุระอะไรหรือ?”
เจียงซ่างเจินยิ้มตอบ “มาแสดงความขอบคุณต่อภูเขาลั่วพั่วของพวกเรา ตอนนี้ทะเลสาบซูเจี่ยนของข้ามีผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบคนหนึ่งมารับหน้าที่เป็นผู้ถวายงานแล้ว ต้องขอบคุณเจ้าขุนเขาของพวกเจ้า ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเพราะเขาทั้งสิ้น นอกจากนี้ก็ยังได้ยินมาว่าเทพภูเขาเว่ยจัดงานเลี้ยงท่องราตรีครั้งที่สอง ข้าพลาดไปทั้งสองครั้ง รู้สึกผิดมากจริงๆ ในใจคันคะเยอ จึงจำเป็นต้องเดินทางมาเยือนด้วยตัวเองสักรอบ หนึ่งเพื่อขอบคุณ อีกหนึ่งเพื่อขออภัย ล้วนต้องชดเชยให้ทั้งสิ้น”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!