กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 531

เจียงซ่างเจินกลับมาถึงเรือนของตัวเองแล้วก็ส่ายหน้ายิ้มเอ่ยว่า “ในที่สุดก็รู้เสียทีว่าเหตุใดผู้รอบรู้ของทักษินาตยทวีปผู้นั้นถึงได้ถูกคนขโมยดวงจันทร์ไปจากบนบ่า คาดว่าในพื้นที่มงคลดอกบัวก็ถูกคงเจ้าอารามผู้เฒ่าคว้าเอาดวงตะวันมาไว้ในมือ แล้วสกัดดึงเอาแก่นของมันไปใส่ไว้ในดวงตาอีกข้างหนึ่งของแม่นางน้อยคนนี้”

ยาเอ๋อร์ที่รับฟังรู้สึกตะลึงพรึงเพริดไปหมด

เจียงซ่างเจินชำเลืองตามองนางแวบหนึ่ง “อัดอั้นตันใจมากเลยใช่ไหมล่ะ ตัวเองฝึกตนอย่างยากลำบากเช่นนี้ แต่ดูเหมือนว่าต่อให้ฝึกตนไปชั่วชีวิตก็ยังเทียบกับโชควาสนาครั้งหนึ่งที่คนอื่นได้ไปครองไม่ได้?”

ยาเอ๋อร์ไม่กล้าเอ่ยอะไร

เจียงซ่างเจินยิ้มตาหยีหยิบเอาสมบัติพิทักษ์ขุนเขาในอนาคตของสำนักเจินจิ้งที่มีระดับขั้นเป็นอาวุธกึ่งเซียนชิ้นหนึ่งออกมา “ข้ามอบให้เจ้าด้วยความจริงใจ เจ้ารับไว้ได้ไหวไหม? จะไม่ตายหรือ? ต้องตายอยู่แล้ว อีกทั้งเจ้ายังไม่รู้ด้วยว่าตัวเองตายไปได้อย่างไร เป็นฝีมือของหลิวเหล่าเฉิง หรือว่าหลิวจื้อเม่า? หรือว่าจะเป็นพวกผู้ถวายงานน้อยใหญ่ที่ติดตามสำนักกุยหยกมา แค่พวกเขาตั้งใจใช้กลอุบายง่ายๆ เจ้าก็ย่อมต้องงับเหยื่อ หลังจากนั้นก็ร่างดับมรรคาสลาย”

ยาเอ๋อร์รอคอยให้เจ้าสำนักอย่างเจียงซ่างเจินเก็บอาวุธกึ่งเซียนชิ้นนั้นไปเงียบๆ

แต่เจียงซ่างเจินกลับกำไข่มุกเม็ดนั้นไว้แน่น แล้วตบมันลงบนหว่างคิ้วของนาง ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ยกให้เจ้าแล้ว เจ้าจะได้ไม่ต้องคอยคิดว่าได้กอดขาใหญ่ๆ (เปรียบเปรยว่ามีที่พึ่งใหญ่) แล้วจะสามารถฝึกตนได้อย่างสบายใจ อยู่ในสถานที่ที่มีฝูงเสือฝูงหมาป่าห้อมล้อมเช่นนี้ ยังจะทำตัวมีตาแต่ไร้แววเหมือนตอนอยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัวไม่ได้หรอกนะ”

ยาเอ๋อร์รู้สึกเหมือนร่างทั้งร่างจมอยู่ในกระทะน้ำมันเดือด จิตวิญญาณถูกต้มด้วยน้ำที่เดือดพล่าน นางยกสองมือกุมหัว เจ็บปวดจนลงไปนอนกลิ้งอยู่กับพื้น

เจียงซ่างเจินโบกชายแขนเสื้อสร้างฟ้าดินขนาดเล็กแห่งหนึ่งขึ้นมานานแล้ว

“ข้าต้องการใช้เจ้าไปเป็นเหยื่อล่อตกเอาสันดานของหลิวเหล่าเฉิงกับหลิวจื้อเม่าออกมา ก็เป็นผู้ฝึกตนอิสระนี่นะ ความทะเยอทะยานย่อมมีมาก ชอบความอิสระเสรีเป็นที่สุด ข้าเข้าใจได้ หากพวกเขาอดทนไว้ได้ พวกเขาคนหนึ่งก็ควรได้เลื่อนเป็นขอบเขตเซียนเหริน คนหนึ่งควรจะฝ่าทะลุคอขวดก่อกำเนิด เดินขึ้นสู่ที่สูง ร่วมชมจันทราและสายลมไปพร้อมกับข้าเจียงซ่างเจิน แต่หากอดใจไม่ไหว ต่อให้แค่เกิดความคิดเพียงเล็กน้อย มีการกระทำแค่นิดๆ หน่อยๆ ข้าก็คงต้องตัดใจยอมให้สำนักเจินจิ้งสูญเสียแม่ทัพใหญ่สองท่านไปอย่างเปล่าประโยชน์แล้ว”

เจียงซ่างเจินนั่งไขว่ห้างอยู่ด้านข้าง รินน้ำชาให้ตัวเองหนึ่งถ้วย “ผู้ฝึกตนทุกคนในใต้หล้าแห่งนี้แทบจะไม่มีใครที่สามารถตระหนักได้ว่ามีเพียงสันดานของตัวเองเท่านั้นที่ถึงจะเป็นผู้ปกป้องมรรคาที่สามารถติดตามตนไปได้ตลอดชีวิตอย่างแท้จริง”

……

ในตรอกแห่งหนึ่งของเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยน

เด็กหนุ่มชุดเขียวคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่บนม้านั่งตัวเดิมที่ไม่เคยเปลี่ยนมานานหลายปี ครุ่นคิดถึงเรื่องบางอย่าง

เมื่อหลายปีก่อนท่านลู่บอกลาจากไป บอกว่าวันหน้าหากมีโอกาสคงได้พบกันอีกครั้งข้างนอก แต่หากเป็นในใต้หล้าแห่งนี้ก็อย่าได้หวังอีกเลย

เวลานั้นท่านลู่เป็นบุคคลอันดับที่สองอย่างสมศักดิ์ศรีในใต้หล้าแห่งนี้แล้ว ศักยภาพสูสีกับอวี๋เจินอี้เทพเซียนผู้เฒ่าแห่งพรรคหูซานที่รูปลักษณ์เหมือนเด็กน้อย สามารถขี่กระบี่เดินทางไกล

ไม่เพียงเท่านี้ ภายใต้การนำของถังเถี่ยอี้แม่ทัพใหญ่หลงอู่แห่งแคว้นเป่ยจิ้น กองทัพใหญ่ก็กรีฑาทัพขึ้นเหนือบุกไปเยือนทุ่งหญ้ากว้าง ผลงานทางการต่อสู้เลิศล้ำ หลังจากนั้นมาถังเถี่ยอี้และกองทัพเป่ยจิ้นก็ไม่มีการระดมกำลังทำสงครามอีก แต่ปล่อยให้คนของทุ่งหญ้าตกอยู่ในสภาวะเกิดความขัดแย้งกันเองเป็นการภายใน บุตรสังหารบิดา พี่สังหารน้อง

อีกทั้งถังเถี่ยอี้ยังเดินทางขึ้นเหนือเพียงลำพังอยู่หลายครั้ง ใช้ดาบประจำกายอย่างเลี่ยนซือไปลับคมกับยอดฝีมือของทุ่งหญ้ากว้างนับครั้งไม่ถ้วน

ปี้เซิ่งเฉิงหยวนซานก็ไม่รู้ว่าเหตุใดหลังจากที่เดินทางผ่านแคว้นหนันเยวี่ยนครานั้นก็สละกิจการบ้านเรือนอันร่ำรวยทั้งหมดที่มีอยู่บนทุ่งหญ้ากว้างทิ้งไป กลายไปเป็นสมาชิกของพรรคหูซานแทน

ส่วนแคว้นซงไล่ที่เมื่ออยู่ภายใต้การปกครองของฮ่องเต้หุ่นเชิดที่พรรคหูซานเป็นผู้ประคับประคองมากับมือตัวเองก็เริ่มระดมกำลังค้นหาผู้ฝึกตนที่เหมาะสมอย่างกำเริบเสิบสาน

ยอดเขาเหนี่ยวค่านของลู่ฝ่างกับตำหนักคลื่นวสันต์ของหนุ่มปักบุปผาโจวซื่ออยู่ในสภาวะปิดภูเขาตลอดเวลา

เพียงแต่ว่าสถานการณ์ใหญ่ในใต้หล้าเหล่านี้ เด็กหนุ่มชุดเขียวทำเพียงแค่มองอยู่ในสายตาเงียบๆ เขายังคงมุ่งมั่นอ่านตำรา รวมไปถึงตั้งใจฝึกตนมากกว่า

ท่านอาจารย์จ้งชิว ท่านอาจารย์ลู่ ต่างคนต่างก็เคยเดินทางไปท่องขุนเขาทั้งห้าแคว้นหนันเยวี่ยนเป็นเพื่อนเขาเฉาฉิงหล่างหนึ่งครั้ง

ทั้งเป็นการเดินทางไกล แล้วก็เป็นทั้งการฝึกตน

ตอนนั้นในมือของเด็กหนุ่มมีสมุดภาพวาดขุนเขาทั้งห้าที่แท้จริงเล่มนั้นอยู่ในมือ และหลังจากที่ราชครูจ้งชิวได้วัตถุตระกูลเซียนชิ้นนี้ไปในปีนั้น ด้วยกังวลว่าอวี๋เจินอี้จะแย่งชิงไป จึงพยายามจะทำลายมันอยู่ตลอดเวลา แต่ก็ไร้ผล ภายหลังไม่รู้ว่าท่านลู่พูดอะไร ราชครูถึงได้มอบสมุดเล่มนี้ไว้ให้เฉาฉิงหล่างดูแล เฉาฉิงหล่างเองก็พอจะคาดเดาเบาะแสได้คร่าวๆ อันที่จริงการที่ท่านลู่เป็นปฏิปักษ์ต่ออวี๋เจินอี้เช่นนี้ ก็ทั้งเป็นการทำเพื่อตน แล้วก็ทำเพื่อตำราเทพเซียนที่ลี้ลับมหัศจรรย์เล่มนี้ด้วย

อาจารย์ทั้งสองท่าน ถ่ายทอดความรู้ที่ค่อนข้างแตกต่างกันให้กับเฉาฉิงหล่าง

ความรู้ที่อาจารย์จ้งชิวเป็นผู้ถ่ายทอดให้จะอิงไปตามลำดับขั้นตอน มากด้วยมารยาทพิธีการ เพราะถึงอย่างไรจ้งชิวก็เป็นบุคคลที่ได้รับการขนานนามว่าราชครูบุ๋น ปรมาจารย์บู๊

อาจารย์ลู่ไถสอนสอนปนกันหลากหลายแต่ล้วนลงลึกถึงแก่น และอาจารย์ลู่ที่อยู่ดีๆ ก็ปรากฏตัวในใต้หล้าแห่งนี้ก็สามารถลุกผงาดได้อย่างรวดเร็วอย่างที่ไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน ลูกศิษย์หลายคนของเขาต่างก็กลายเป็นผู้กล้าที่ได้ยึดครองพื้นที่แห่งหนึ่งเหมือนกันหมดโดยไม่มีข้อยกเว้น

เสียงเคาะประตูดังขึ้น

เฉาฉิงหล่างเดินไปเปิดประตู

คือผู้เฒ่าลัทธิขงจื๊อที่เคราสองข้างขาวโพลนคนหนึ่ง

ราชครูแห่งแคว้นหนันเยวี่ยน

จ้งชิวกับเฉาฉิงหล่างที่เป็นลูกศิษย์ครึ่งตัวพากันทรุดตัวลงนั่ง

จ้งชิวยิ้มกล่าว “ฉิงหล่าง ตอนที่เจ้าเป็นเด็กก็มีคำถามมากมาย ถามว่าดวงดาวมาจากไหน ถามเรื่องการหมุนเวียนผลัดเปลี่ยนของตะวันจันทรา ถามเรื่องต้นกำเนิดลมฝน ข้าที่เป็นอาจารย์ในโรงเรียนไม่อาจให้คำตอบได้ วันหน้าเจ้าสามารถไปตามหาคำตอบด้วยตัวเองได้แล้ว”

เฉาฉิงหล่างพยักหน้ารับเบาๆ

จ้งชิวเงียบไปครู่หนึ่งก็พูดอย่างสะท้อนใจว่า “แต่ข้าหวังว่าในอนาคต เจ้าจะสามารถเป็นตัวแทนพูดให้กับใต้หล้าแห่งนี้ได้ อย่าได้ตกอยู่บนกระดานหมากล้อมที่แต่ละคนยากจะหลีกหนีชะตากรรมของการตกเป็นเม็ดหมาก”

เฉาฉิงหล่างเอ่ย “แน่นอน เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับว่าความสามารถของข้าในอนาคตจะสูงหรือต่ำ แต่ก็ไม่ได้สำคัญมากขนาดนั้น อีกอย่างข้าก็เชื่อมั่นใจตัวเขา”

จ้งชิวหัวเราะ “ถ้าอย่างนั้นข้าก็วางใจแล้ว”

วางใจในตัวบัณฑิตชุดเขียวที่ตัวเองคอยมองเขาเติบโตมาปีแล้วปีเล่า แล้วก็วางใจในตัวของคนหนุ่มที่สวมชุดขาวสะพายกระบี่ผู้นั้นด้วย

จ้งชิวพลันเกิดความลังเลเล็กน้อย

เฉาฉิงหล่างเอ่ย “อาจารย์กำลังลังเลว่าจะอยู่ต่อที่แคว้นหนันเยวี่ยนหรือจะไปเยือนใต้หล้าแห่งนั้นดีใช่หรือไม่?”

จ้งชิวพยักหน้ารับ “ข้าไม่อยากรู้ว่าฟ้าดินด้านนอกนั้นกว้างใหญ่แค่ไหนกันแน่ ข้าแค่สงสัยใคร่รู้ต่อความรู้ของอริยะปราชญ์ที่อยู่ข้างนอกนั่น”

เฉาฉิงหล่างคลี่ยิ้มกว้างสดใส “ท่านอาจารย์วางใจเถอะ เขาเคยบอกว่า ตำราด้านนอกราคาไม่แพง”

จ้งชิวเอ่ยสัพยอก “ตอนนั้นเจ้าเพิ่งจะอายุกี่ขวบเอง ปีนั้นไม่ว่าเขาพูดอะไร เจ้ากลับจดจำได้ขึ้นใจเสียทุกเรื่อง”

เฉาฉิงหล่างพึมพำ “จะลืมได้อย่างไร ไม่มีทางลืมหรอก”

คนทั้งสองเงียบงันกันไป

จ้งชิวเงยหน้ามองท้องฟ้า “ฝนใกล้ตกแล้ว”

เฉาฉิงหล่างยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เส้นทางยังคงอยู่ แค่กางร่มก็ได้แล้ว”

……

ตอนนั้นอู๋ซั่วเหวินอวี๋เวิงเซียนพาลูกศิษย์อย่างจ้าวหลวนหลวนและจ้าวซู่เซี่ยพี่ชายของนางเดินทางออกจากเมืองแยนจือ เริ่มไปท่องเที่ยวหาประสบการณ์ตามแม่น้ำขุนเขาด้วยกัน

เพราะถึงอย่างไรเรื่องราวที่เกิดขึ้นในภูเขาเหมิงหลงก็ใหญ่เกินไป ใช่ว่าอู๋ซั่วเหวินไม่เชื่อใจเฉินผิงอัน แต่เป็นเพราะระมัดระวังจึงจะขับเรือได้นานหมื่นปี ดังนั้นจึงเลือกที่จะออกเดินทางไกล ออกมาจากแคว้นไฉ่อี

ไปเยือนแคว้นซูสุ่ยก่อนรอบหนึ่ง แล้วก็ได้แวะไปเยี่ยมเยือนซ่งอวี่เซาอริยะกระบี่ของแคว้นซูสุ่ยท่านนั้น

ทั้งสองฝ่ายพูดคุยกันได้ถูกคอ แต่ไม่ถึงกับว่าคุยกันอย่างสนิทสนมเหมือนคนที่คนรู้จักกันมานาน

ช่วยไม่ได้ ไม่ใช่ว่าเพื่อนของเพื่อนจะต้องกลายมาเป็นเพื่อนสนิทของตัวเองเสมอไป

ต้องดูที่วาสนา

แต่ซ่งอวี่เซาชอบเด็กรุ่นหลังสองคนนั้นมากจริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งลูกสะใภ้ของซ่งอวี่เซาที่ทุกวันนี้มีหน้าที่คอยดูงานบ้านงานเรือนที่ยิ่งชื่นชอบเด็กสาวหลวนหลวนซึ่งต่อให้เป็นคนตาบอดก็ยังมองออกว่าเป็นตัวอ่อนในการฝึกตนจากใจจริง คงเกี่ยวกับเรื่องที่นางยังไม่มีบุตรเป็นของตัวเองด้วย พอเจอกับเด็กสาวที่ชาติกำเนิดรันทด แต่กลับเป็นเด็กดีว่าง่ายอย่างหลวนหลวน สตรีแต่งงานแล้วที่มีชาติกำเนิดมาจากสายลับต้าหลีย่อมอดจะสงสารเวทนานางไม่ได้

คนแก่และเด็กหนุ่มสาวสามคนพากันเดินทางกลับเหนือ

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!