ดังนั้นเพื่อนของเขากู้ช่าน
จึงมีเพียงคนเดียวมาโดยตลอด
เมื่อก่อนเป็นเช่นนี้ วันหน้าก็ยังคงเป็นเช่นนี้ และทั้งชีวิตจนถึงวันตายก็ยังคงเป็นเช่นนี้
แต่ชั่วชีวิตนี้เขากู้ช่านไม่มีทางเป็นคนแบบคนผู้นั้นได้
เขากู้ช่านก็คือกู้ช่าน
ใต้หล้านี้มีกู้ช่านแค่คนเดียว
แต่เขายินดีที่จะปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
อีกทั้งเขายังเรียนรู้ได้อย่างดีเยี่ยม เปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว
เพราะก่อนที่คนผู้นั้นจะจากไปได้เอ่ยประโยคหนึ่งว่า
ต้นไม้ถือกำเนิดในไพร กับไม้เด่นที่กลับคืนสู่ไพร คือหลักการสองอย่าง
สุดท้ายหลิวจื้อเม่าเอ่ยว่า “กู้ช่าน รู้หรือไม่ว่าอะไรที่เรียกว่าทรัพย์สินอันเป็นรากฐานของตระกูล?”
กู้ช่านยิ้มกล่าว “ขออาจารย์โปรดชี้แนะ”
หลิวจื้อเม่าเอ่ยว่า “ไม่ใช่มีเงินหมื่นกว้านร้อยเอว มีผืนนาหมื่นไร่เหมือนเศรษฐีในหมู่ชาวบ้าน แล้วก็ไม่ได้เป็นแม่ทัพกันทั้งตระกูล พ่อลูกเข้าร่วมประชุมในท้องพระโรงร่วมกันเหมือนในวงการขุนนาง หรือถึงขั้นไม่ใช่มีเซียนมากมายดุจก้อนเมฆเหมือนบนภูเขา”
หลิวจื้อเม่าพูดแค่ครึ่งเดียว ยังคงไม่ได้ให้คำตอบอยู่เหมือนเดิม
กู้ช่านขบคิดอยู่ครู่หนึ่งก็พยักหน้าเอ่ยว่า “เข้าใจแล้ว ก็คือหลังจากที่คนครอบครัวหนึ่งทำความผิดมหันต์ไปแล้ว ยังสามารถชดเชยแก้ไขกลับคืนมาได้ ไม่ใช่ว่านึกจะสูญสิ้นก็สูญสิ้นไปแบบนั้น”
หลิวจื้อเม่ากล่าวด้วยน้ำเสียงเสียดาย “ข้าหลิวจื้อเม่าไม่อาจทำได้แล้ว หลังจากผ่านหายนะครั้งนี้ไป ก็ทำให้จางเย่สิ้นหวังอย่างสิ้นเชิงแล้ว ต่อให้โชคดีได้กลายเป็นขอบเขตหยกดิบก็ยังเป็นได้แค่หมาเฝ้าบ้านตัวหนึ่งของเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูล”
กู้ช่านยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เกาะชิงเสียยังมีข้ากู้ช่าน”
หลิวจื้อเม่าส่ายหน้า “ต้องเป็นทะเลสาบซูเจี่ยนของพวกเราที่ยังมีกู้ช่าน!”
ผู้ฝึกตนอิสระ แบ่งแยกบุญคุณความแค้นชัดเจน
ต่อให้จะเป็นระหว่างอาจารย์และศิษย์ ก็ยังเป็นเช่นนี้
ร่างของหลิวจื้อเม่าทะยานวูบหายวับไป ย้อนกลับไปยังเกาะกงหลิ่วอันเป็นที่ตั้งศาลบรรพจารย์ของสำนักเจินจิ้ง แล้วเริ่มปิดด่าน
กู้ช่านไม่ได้นอนหลับเลยตลอดทั้งคืน
เขาทำเพียงแค่สาวเท้าเดินเนิบช้าอยู่ในลานบ้านขนาดเล็ก
แม้ว่าหลิวจือเม่าจะปิดบังความเคลื่อนไหวและบทสนทนาในห้อง แต่ตอนที่ผู้เฒ่าเดินออกมาจากห้องกลับไม่ได้จงใจปิดบังอำพราง
ดังนั้นเจิงเย่และหม่าตู่อี๋ย่อมรู้ถึงการมาเยือนและจากไปของสกัดคงคาเจินจวินผู้นี้
หม่าตู่อี๋เปิดหน้าต่างออก หลังจากมองซ้ายมองขวาแล้วก็ใช้สายตาสอบถามกู้ช่านว่ามีปัญหาอะไรหรือไม่
กู้ช่านยิ้มพลางโบกมือ บอกเป็นนัยแก่นางว่าไม่ต้องเป็นกังวล
ส่วนเจิงเย่ผู้นั้นเดิมก็มีนิสัยซื่อๆ ขี้ขลาด ดังนั้นจึงหลบอยู่ในห้องตลอดเวลา ลอบกระสับกระส่ายอยู่กับตัวเอง
แต่ในเรื่องของการฝึกตนก็ประหลาดเช่นนี้ เจิงเย่มีฐานกระดูกในการฝึกตนที่ดี ทว่าคุณสมบัติในการฝึกตนกลับเป็นหม่าตู่อี๋ที่ดีกว่า ขณะเดียวกันเจิงเย่กลับมีโชควาสนาที่ดียิ่งกว่า ส่วนหม่าตู่อี๋กลับมีนิสัยหลังกำเนิดที่ยอดเยี่ยมมากกว่า
ถึงท้ายที่สุดกลับเป็นเจิงเย่ที่มีความหวังว่าจะเดินไปได้ยาวไกลมากกว่า
หม่าตู่อี๋ที่โชคดีเคยผ่านความตายมาหนึ่งครั้งไม่สนใจเรื่องพวกนี้เลยแม้แต่น้อย
ดังนั้นบางครั้งกู้ช่านก็รู้สึกอิจฉาความทึ่มทื่อไม่รู้ประสาของเจิงเย่ แล้วก็อิจฉาความไร้ทุกข์ไร้กังวลของหม่าตู่อี๋
เจิงเย่พลิกตัวกลับไปกลับมา สุดท้ายก็ม่อยหลับไป
กู้ช่านถอนหายใจ หากเจิงเย่ผู้นี้ฝึกตนอยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยนในอดีต ต่อให้จะมีตบะขอบเขตน้อยนิดอย่างเช่นตอนนี้ แต่ก็ยังจะต้องเป็นแกะที่พาตัวเข้าปากเสือ ไม่เหลือแม้แต่กระดูกอยู่ดี
อาศัยงานเลี้ยงน้อยใหญ่ที่จวนแม่ทัพ กู้ช่านค้นพบเบาะแสข้อหนึ่ง
การตั้งกฎเกณฑ์ของทะเลสาบซูเจี่ยน กวนอี้หรานแม่ทัพหนุ่มที่มีชาติกำเนิดมาจากตระกูลร่ำรวยผู้นั้นจะต้องได้รับสมุดบัญชีมาก่อนเล่มหนึ่ง เพราะกู้ช่านรู้สึกคุ้นเคยกับมันอย่างมาก
ดังนั้นจึงบอกได้ว่าทะเลสาบซูเจี่ยนในทุกวันนี้ ทุกหนทุกแห่งล้วนมีร่องรอยของนักบัญชีแห่งเกาะชิงเสียผู้นั้นอยู่
กู้ช่านเอาพัดที่ถืออยู่ในมือมาตีลงบนไหล่เบาๆ พูดพึมพำกับตัวเองว่า “เรื่องที่ต้องเรียนรู้ ยังมีอีกมาก”
พัดไม้ไผ่ที่ทำมาจากไม้ไผ่เสินเซียวในมือของเขาเล่มนี้
ด้านหน้าและด้านหลังล้วนมีตัวอักษรเขียนไว้
ลมเย็นจันทร์กระจ่าง ห้าอสนีก่อกำเนิด
น่าจะเป็นหลิวเสี้ยนหยางที่เขียนลงบนหน้าพัดด้วยตัวเอง คงกำลังโอ้อวดความรู้ที่ตัวเองไปร่ำเรียนมาจากสกุลเฉินผู้รอบรู้กับเขากู้ช่านกระมัง
แต่กู้ช่านรู้สึกมาโดยตลอดว่าหากหลิวเสี้ยนหยางไปเรียนที่โรงเรียนพร้อมกับคนผู้นั้น หลิวเสี้ยนหยางมีแต่จะต้องคอยกินฝุ่นอยู่ด้านหลัง
แต่เรื่องราวทางโลก กลับทำให้คนผู้นั้นไปท่องอยู่ในยุทธภพ ส่วนหลิวเสี้ยนหยางไปศึกษาเล่าเรียน
ดังนั้นกู้ช่านจึงไม่ค่อยชอบวิถีทางโลกที่เป็นเช่นนี้มาโดยตลอด
ส่วนตำราลับตระกูลเซียนที่ซ่อนอยู่ในชายแขนเสื้อเล่มนั้น ตลอดคืนนี้กู้ช่านไม่ได้เปิดมันอ่านเลย
ข้ากู้ช่านฝึกตน ต้องรีบร้อนด้วยหรือ?
……
ยามฟ้าสาง กู้ช่านเปิดประตูออกมานั่งบนขั้นบันไดด้านนอก เทพทวารบาลและกลอนคู่ล้วนซื้อมาเมื่อปลายปีของปีก่อน
เคยมีเจ้าเด็กขี้มูกยืดคนหนึ่งป่าวประกาศว่าจะต้องแขวนกลอนคู่ที่เขาเขียนด้วยตัวเองไว้บนบ้านหลังหนึ่งในตรอกหนีผิงให้จงได้
เวลานั้นคนผู้นั้นน่าจะดีใจมาก ดังนั้นจึงขยี้หัวของเจ้าเด็กขี้มูกยืดแรงๆ บอกว่ากระดาษแดงที่ใช้เขียนกลอนคู่ของสองบ้านปีนี้ เขาจะเป็นคนควักเงินจ่ายเอง
นี่ไม่ใช่คำพูดที่เปลืองน้ำลายเปล่าหรอกหรือ?
นับตั้งแต่ที่เจ้าหมอนั่นไปเป็นลูกศิษย์ที่เตาเผามังกร ภาพเทพทวารบาลและกลอนคู่ของบ้านหลังเล็กที่อยู่สุดตรอกของตรอกหนีผิง มีครั้งใดบ้างที่ไม่ใช่เขาจ่ายเงินซื้อแล้วเอามาส่งให้ที่บ้าน? คนที่ยากจนยิ่งกว่า กลับกลายเป็นว่ายิ่งจ่ายเงินให้คนอื่นมากกว่า
น่าแปลกเสียจริง
เหตุใดใต้หล้าถึงมีคนแบบนี้ได้
กู้ช่านนั่งอยู่บนบันไดขั้นล่างสุด ข้อศอกค้ำยันอยู่บนขั้นบันไดที่สูงกว่า รอคอยให้บ้านฝั่งตรงข้ามเปิดประตู
เพราะที่นั่นมีเจ้าเด็กตัวเท่าก้นอยู่คนหนึ่ง และบนใบหน้าก็มักจะมีมังกรเขียวน้อยๆ เหนียวหนืดสองเส้นห้อยอยู่เป็นประจำ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!