บนเกาะกงหลิ่ว เป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วง แต่กลับยังคงมีต้นหลิวต้นหยางเคียงคู่
เกาะแห่งนี้คือภูเขาอันเป็นที่ตั้งของสำนักเจินจิ้ง ซึ่งก็คือภูเขาที่สร้างศาลบรรพจารย์ขึ้นมา
ทั่วทั้งทะเลสาบซูเจี่ยน หรือแม้แต่เกาะกงหลิ่วเอง หนึ่งปีที่ผ่านมานี้มีงานก่อสร้าง ฝุ่นผงปลิวคลุ้งมืดฟ้ามัวดินอยู่ตลอดเวลา สำนักเจินจิ้งที่ใช้จ่ายเงินมือเติบจ้างอาจารย์กลไกของสำนักโม่ นักสำรวจภูมิศาสตร์หยินหยางจำนวนมากให้มาตรวจสอบที่ดิน ยืนยันโชคชะตาน้ำรากภูเขาของที่แห่งนี้ให้แน่ชัด และยังมีเซียนซือของหลายสำนักซึ่งรวมนักกสิกรรมเป็นหนึ่งในนั้น บวกกับช่างบนภูเขาอีกมากมายถูกจ้างให้มาทำงานที่นี่ หากใช้คำพูดของเจียงซ่างเจินก็คือ อย่าได้ประหยัดเงินเทพเซียนให้ข้าเด็ดขาด ก้อนอิฐทุกก้อน ฉลุหน้าต่างทุกบาน สวนดอกไม้ทุกแห่งของที่แห่งนี้ ล้วนต้องใช้ของที่ดีที่สุดของแจกันสมบัติทวีป
อีกทั้งผู้ฝึกตนที่เชี่ยวชาญด้านการสร้างจวนตระกูลเซียนเหล่านั้นยังมีจำนวนหลายร้อยคน ส่วนใหญ่ล้วนมาจากใบถงทวีป ลำพังแค่เรื่องให้คนที่จ้างมานั่งเรือข้ามฟากไปกลับข้ามทวีป รวมไปถึงค่าเข้าพักโรงเตี๊ยมตระกูลเซียนที่สำนักเจินจิ้งออกค่าใช้จ่ายให้หมดตั้งแต่ต้นจนจบ เพียงแค่การใช้จ่ายเงินเทพเซียนในเรื่องนี้ก็มากพอจะทำให้เกาะมากมายในทะเลสาบซูเจี่ยนต้องควักทรัพย์สินทั้งหมดที่มีออกมาใช้ภายในค่ำคืนเดียวแล้ว
เป็นเหตุให้ตระกูลเซียนบนภูเขาของแจกันสมบัติทวีปทั้งหมดล้วนรับรู้เรื่องที่สอง นั่นคือสำนักเจินจิ้งมีเงินมากจนคนขนหัวชี้ชันด้วยความโกรธ
ส่วนเรื่องแรกนั้นก็แน่นอนว่าต้องเป็นเรื่องที่สำนักเจินจิ้งมีผู้ถวายงานห้าขอบเขตบนสามคนครึ่ง
คนหนึ่งคือเซียนกระบี่หญิงนามว่าลี่ไฉ่ที่มาจากอุตรกุรุทวีป ผู้เฒ่าสำนักกุยหยกที่เดิมทีมีความหวังว่าจะได้เป็นเจ้าสำนักเจินจิ้ง หลิวเหล่าเฉิงขอบเขตหยกดิบ และสกัดคงคาเจินจวินแห่งเกาะชิงเสียที่เป็นขอบเขตหยกดิบครึ่งตัว
ตอนนี้หลิวจื้อเม่าเริ่มปิดด่านแล้ว
ดังนั้นช่วงนี้เกาะโดยรอบเกาะกงหลิ่วทั้งหมดจึงปิดภูเขา
มีคนสองคนเดินเลียบริมฝั่งที่ต้นหลิวต้นหยางขึ้นเรียงรายไปช้าๆ เจ้าสำนักเจียงซ่างเจิน ผู้ถวายงานอันดับหนึ่งหลิวเหล่าเฉิง
เจียงซ่างเจินหักกิ่งหลิวลงมาถักเป็นมงกุฎแล้วสวมครอบไว้บนศีรษะตัวเอง ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “หวนนึกถึงยามเข้าร่วมทัพในคราแรก ใช่มั้ย พี่ใหญ่หลิว” (มาจากประโยคหวนนึกถึงยามเข้าร่วมทัพในคราแรก ต้นหลิวต้นหยางพลิ้วไหวโชยอ่อนไปตามสายลม)
หลิวเหล่าเฉิงไม่ได้เอ่ยอะไร
เจียงซ่างเจินเป็นบุรุษที่ประหลาดอย่างมาก เขามีวิธีการที่อำมหิตนองเลือด เชี่ยวชาญการซ่อนมีดไว้ภายใต้รอยยิ้ม แต่ให้ความเคารพกฎเกณฑ์เป็นที่สุด ความรู้สึกเช่นนี้ไม่ได้มาจากคำพูดของเจียงซ่างเจินเอง แต่เป็นเพราะการกระทำทุกอย่างของเจียงซ่างเจินที่อยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยนซึ่งถูกเลือกให้เป็นที่ตั้งของสำนักเบื้องล่างสำนักกุยหยกแห่งนี้ที่เป็นการอธิบายหลักการเหตุผลนี้แก่ผู้ฝึกตนในสำนักทุกคน แน่นอนว่ากฎเกณฑ์ที่เจียงซ่างเจินตั้งขึ้นมีจุดที่ไม่เห็นใจผู้อื่นอยู่มากมาย
ด้วยเรื่องนี้กวนอี้หรานแม่ทัพกองทัพม้าเหล็กต้าหลีที่มาปักหลักเคยได้สื่อสารพูดคุยกับสำนักเจินจิ้งอยู่หลายครั้ง หลี่ฝูฉวีผู้ถวายงานก่อกำเนิดมักจะไปทะเลาะกับจวนแม่ทัพเป็นประจำ ทั้งสองฝ่ายโต้เถียงกันหน้าดำหน้าแดง ทุบโต๊ะถลึงตา ยังดีที่ทะเลาะก็ส่วนทะเลาะ ไม่ได้ลงมือกันจริงจัง
ไม่ใช่ว่าหลี่ฝูฉวีนิสัยดีอะไร แต่เป็นเพราะเจียงซ่างเจินเคยเตือนสตรีผู้ถวายงานที่คล้ายกับเป็นหน้าเป็นตาภายนอกให้แก่สำนักเจินจิ้งผู้นี้ว่า ชีวิตของเจ้าหลี่ฝูฉวีไม่มีค่า หน้าตาของสำนักเจินจิ้ง…ก็ไม่มีค่า ใต้หล้านี้สิ่งที่มีค่าอย่างแท้จริง มีเพียงเงินเท่านั้น
ประโยค ‘หวนนึกถึงยามเข้าร่วมทัพในคราแรก’ ที่เจียงซ่างเจินเอ่ยออกมาจากความรู้สึกก่อนหน้านี้ อันที่จริงความหมายก็เรียบง่ายมาก ในเมื่อข้ายินดีพูดเรื่องนี้ต่อหน้าเจ้า ก็หมายความว่าถึงแม้ข้าเจียงซ่างเจินจะรู้เรื่องความรักความแค้นในอดีตของเจ้าหลิวเหล่าเฉิง แต่เจ้าหลิวเหล่าเฉิงสามารถวางใจได้เลย ข้าไม่มีทางใช้อุบายใดๆ ที่จะทำให้เจ้าคับแค้นสะอิดสะเอียนเด็ดขาด
หลิวเหล่าเฉิงเองก็ไม่เกรงใจ เขาวางใจได้จริงๆ
ส่วนหลิวจื้อเม่านั้น หากฝ่าทะลุขอบเขตได้สำเร็จ ผู้ถวายงานห้าขอบเขตบนของสำนักเจินจิ้งก็จะเปลี่ยนมาเป็นสามคน
เพราะยอดฝีมือสำนักกุยหยก หรือจะพูดให้ถูกก็คือผู้เฒ่าจากสำนักใบถงที่ป่าวประกาศแก่โลกภายนอกว่าปิดด่านผู้นั้น อันที่จริงได้ตายจนตายไปมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว
ตอนนั้นทำท่าว่าเป็นการล้อมสังหารของคนสี่คนที่ร่วมมือกัน แต่คนที่ลงมือจริงๆ กลับมีแค่สองคน
หลิวเหล่าเฉิงกับหลิวจื้อเม่าแค่รับหน้าที่คุมท้ายขบวน หรือควรจะพูดว่ารับหน้าที่คอยดูงิ้ว
เชือดไก่ให้ลิงดู
เกิดขึ้นที่เกาะกงหลิ่วแห่งนี้
ลี่ไฉ่และเจียงซ่างเจิน คนหนึ่งชักกระบี่ออกจากฝัก อีกคนหนึ่งเรียกใบหลิวออกมา ตาเฒ่าที่พกพาอาวุธหนักของสำนักใบถงหันมาสวามิภักดิ์ต่อสำนักกุยหยกผู้นั้น พอเห็นหน้าลี่ไฉ่ก็ไม่เหลือแม้แต่ความคิดจะให้เจ้าคนบ้าอย่างเจียงซ่างเจินพินาศวอดวายไปพร้อมกันอีกแล้ว น่าเสียดายที่เขาอยากหนีแต่หนีไม่สำเร็จ ดังนั้นจึงตายไป
สู้กันอย่างไม่มีความระทึกชวนตื่นเต้นเลยแม้แต่น้อย แม้แต่ผู้ฝึกตนหลายคนบนเกาะกงหลิ่วก็ยังสัมผัสได้เพียงภาพปรากฎการณ์แปลกประหลาดแค่วูบเดียว จากนั้นฟ้าดินก็เงียบสงัด ลมพัดโชยเอื่อย แสงจันทร์กระจ่างสว่าง
เจียงซ่างเจินพลันเอ่ยขึ้นว่า “วันหน้าหากเจอกับนักพรตของสำนักโองการเทพ บอกให้ลูกศิษย์ของสำนักเจินจิ้งข้า ให้ความเคารพพวกเขาสักหน่อย เจียมตัวกันเข้าไว้ ไม่ว่าถูกหรือผิด ขอแค่เกิดการปะทะกัน ถูกคนฆ่าตาย ไม่ว่าจะเป็นใคร สำนักเจินจิ้งจะทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น หากไม่ทันระวังไปฆ่าอีกฝ่ายให้ตาย ศาลบรรพจารย์สำนักเจินจิ้งก็จะตัดหัวของวีรบุรุษชายชาตรีผู้นั้นอย่างไม่มีข้อยกเว้น แล้วให้หลี่ฝูฉวีส่งไปยังสำนักโองการเทพเพื่อขอขมา”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!