ป๋ายโส่วอัดอั้นอยู่ในใจ
เด็กหนุ่มไม่ได้อยากจะเข้าใจกฎเกณฑ์ของสำนักกระบี่ไท่ฮุยและของเจ้าคนแซ่หลิวเลยสักนิด เพราะเขารู้ดีว่าจะต้องไร้รสชาติจืดชืด แล้วก็คร่ำครึตายตัว น่าเบื่อหน่ายอย่างถึงที่สุดแน่นอน
เป็นเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลกับผายลมอะไร เป็นเซียนกระบี่ทำบ้าอะไร
ไหนเลยจะสนุกสนานสาแก่ใจได้เหมือนกับเป็นนักฆ่าของภูเขาเกอลู่?
คนในยุทธภพยังต้องพูดถึงความองอาจกล้าหาญและบุญคุณความแค้นอะไรนั่น แต่นักฆ่าของภูเขาเกอลู่กลับไม่ต้องสนใจเรื่องพวกนี้ รับเงินมาแล้วก็ฆ่าคนแทนคนอื่น ความเป็นความตายต้องรับผิดชอบเอาเอง นั่นต่างหากจึงจะเป็นอิสระเสรีที่แท้จริง
ฉีจิ่งหลงเงียบงันไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยเสียงเบาว่า “ไม่ว่าเจ้าจะรับฟังหรือไม่ ข้าก็จะต้องบอกกับเจ้าไว้ว่า ขอแค่เจ้ารักษากฎ ไม่ว่าในอนาคตเจ้าจะออกกระบี่ใส่ใคร แพ้ก็ดี ถูกคนซ้อมก็ช่าง เมื่อกลับมาอยู่กับข้า ก็แค่บอกข้าสักคำ ข้าจะไปอธิบายเหตุผลแทนเจ้าเอง พูดจนกว่าจะเข้าใจกันได้อย่างทะลุปรุโปร่งจึงจะหยุด”
ป๋ายโส่วยกสองมือขึ้นกอดอก “น้อยๆ หน่อย ผู้มีพรสวรรค์เลิศล้ำอย่างข้า หากฝึกวิชากระบี่ขึ้นมา จะพ่ายแพ้ให้คนอื่นได้หรือ?! ก็ได้ หากเป็นเซียนกระบี่ข้าคงเอาชนะไม่ได้ แต่หากเป็นคนวัยเดียวกัน เจ้าลองให้พวกเขามากระโดดโลดเต้นต่อหน้าข้าดูสิ ข้าแค่ฟันกระบี่ลงไปง่ายๆ อีกฝ่ายก็มีจุดจบน่าสงสารที่ต้องถูกหั่นเป็นแปดชิ้นแล้ว”
“รอให้เจ้าได้ฝึกกระบี่อย่างแท้จริงเมื่อไหร่ ก็คงไม่มีเรี่ยวแรงเหลือมาพูดจาวางโตแบบนี้แล้ว”
ฉีจิ่งหลงพูดกลั้วหัวเราะ “ส่วนเรื่องที่ว่าไม่จำเป็นต้องให้ข้าช่วยอธิบายเหตุผล เพราะการออกกระบี่ของตัวเจ้าเองก็คือเหตุผล แน่นอนว่าย่อมดีกว่า”
แม้ว่าใบหน้าของป๋ายโส่วจะเต็มไปด้วยความไม่ยี่หระ เพียงแค่ใช้หางตาชำเลืองมองใบหน้าด้านข้างของคนแซ่หลิว
ทว่าในใจของเด็กหนุ่มกลับยังคงรู้สึกแปลกๆ
เหมือนช่วงที่อากาศหนาวเหน็บเกินจะทานทนตอนที่ยังเป็นเด็ก แล้วเด็กคนหนึ่งที่เสื้อผ้าขาดวิ่นได้ตากแสงแดดที่อบอุ่นซึ่งมองไม่เห็นสัมผัสไม่เจอ
แต่ความรู้สึกเช่นนี้ผ่านมาเพียงวูบเดียวแล้วก็หายไป
ป๋ายโส่วพลันตะโกนขึ้นว่า “หากข้าท่องกฎเกณฑ์ของศาลบรรพจารย์สำนักกระบี่ไท่ฮุยอะไรนั่นได้คล่องแล้ว เจ้าต้องอนุญาตให้ข้าดื่มเหล้า ตกลงไหม?”
ฉีจิ่งหลงส่ายหน้า “ไม่มีเงิน”
ป๋ายโส่วพูดอย่างขุ่นเคือง “ในกระเป๋าไม่มีเงิน เจ้าก็ไม่รู้จักเชื่อเงินมาจากเฉินคนดีผู้นั้นหรือไง?”
ฉีจิ่งหลงคิดแล้วก็เอ่ยว่า “กลัวว่าจะถูกยุให้ดื่มเหล้า เดี๋ยวจะไม่คุ้มกัน”
เงินซื้อเหล้าที่ซื้อมาหนึ่งกาก่อนหน้านี้ เขายังยืมมาจากกู้โม่สายไท่เสีย
ทุกครั้งที่ฉีจิ่งหลงออกจากสำนักเดินทางไกล เขาไม่เคยพกของไม่จำเป็นอย่างพวกทรัพย์สินเงินทองจริงๆ
กินแสงอรุโณทัยดื่มน้ำค้าง แก่นตะวันจันทรา ปราณวิญญาณฟ้าดิน ล้วนเป็น ‘ธัญพืชทั้งห้า’ ของผู้ฝึกตน
ในฐานะผู้ฝึกกระบี่ที่มีพลังพิฆาตรุนแรงที่สุดในใต้หล้า ก็ยิ่งไม่จำเป็นต้องใช้ชุดอาคม หรือสมบัติหนักในการโจมตีใดๆ
ตอนนั้นที่ยืมเงินนาง โชคดีที่ประโยคหนึ่งมารออยู่ตรงปากแล้ว แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดออกไป ไม่อย่างนั้นจะยิ่งยุ่งยากมากกว่าเดิม
เดิมทีฉีจิ่งหลงอยากพูดว่าวันหน้าหากเดินทางผ่านภูเขาไท่เสียแล้วค่อยคืนเงินให้
เพียงแต่ว่าเวลาชั่วประกายไฟแลบ เขาก็คิดได้ว่า หากตนพูดไปแบบนั้น แน่นอนว่าจะต้องทำให้นางเข้าใจผิดคิดว่าตนมีเจตนาไม่ดี และอยากจะฉวยโอกาสนี้ใกล้ชิดนางกู้โม่อย่างแน่นอน ถ้าอย่างนั้นก็สู้ไม่พูดจะดีกว่า แค่จำไว้ในใจก็พอ
หลังจากนั้นฉีจิ่งหลงมาย้อนนึกดูก็ยิ่งรู้สึกว่า อย่างตนน่าจะพอถือว่าหลังจากเข้าใจเหตุการณ์หนึ่งได้อย่างถ่องแท้แล้วก็จะเข้าใจเรื่องประเภทเดียวกันไปได้อีก เมื่อปัญญาด้านหนึ่งเปิดโล่งก็เปิดโล่งไปทุกด้าน
ป๋ายโส่วถามว่า “คนแซ่หลิว สำนักกระบี่ไท่ฮุยของพวกเจ้ามีแม่นางที่หน้าตาจิ้มลิ้มพริ้มเพราบ้างหรือไม่? อืม แม่นางสวยๆ ที่อายุพอๆ กับข้าน่ะ!”
ฉีจิ่งหลงถาม “ทำไมหรือ?”
ป๋ายโส่วถอนหายใจ “พวกนางมาเจอกับข้าก็ช่างน่าสงสารจริงๆ เพราะถูกกำหนดมาแล้วว่าต้องมาหลงใหลคลั่งใคล้ในตัวบุรุษที่ไม่มีทางชื่นชอบพวกนาง”
ฉีจิ่งหลงยิ้มเอ่ย “คำพูดประเภทนี้ ใครเป็นคนสอนเจ้า?”
ป๋ายโส่วพูดอย่างหนักแน่น “ก็เจ้าคนที่บอกว่าตัวเองชื่อเฉินคนดีนั่นไงล่ะ!”
ฉีจิ่งหลงส่ายหน้า แต่จากนั้นก็เริ่มรู้สึกไม่แน่ใจ เพื่อยุให้คนอื่นดื่มเหล้า เจ้าหมอนั่นก็ใช้ทุกวิถีทางที่มีจริงๆ นั่นต้องเรียกว่าเอาคุณธรรมใส่ลงไปในกาเหล้าหมดแล้ว แค่อึกเดียวก็ดื่มได้หมด ดังนั้นเขาจึงถามว่า “เขาบอกกับเจ้าแบบนี้จริงๆ หรือ?”
ป๋ายโส่วจึงเริ่มใส่เสริมเติมแต่ง
ฉีจิ่งหลงหัวเราะ ดูท่าคงไม่ใช่แล้ว
ป๋ายโส่วรู้สึกขุ่นเคืองเล็กน้อย เจ้าคนแซ่หลิวรู้ได้อย่างไรนะว่าเจ้าหมอนั่นไม่ได้เป็นคนสอนตน
ฉีจิ่งหลงทอดสายตามองไปไกล “อีกเดี๋ยวตามข้าไปพบอาจารย์สองท่าน เจ้าจำไว้ว่าพูดให้น้อยฟังให้มาก”
ป๋ายโส่วตบศีรษะตัวเอง
ตอนนี้พอได้ยินคำว่า ‘อาจารย์’ เขาก็ปวดเศียรเวียนเกล้าแล้ว
บนทะเลเมฆสีทองชั้นหนึ่ง มีผู้ฝึกตนสองคนยืนเคียงบ่ากัน
คนหนึ่งคือบุรุษวัยกลางคน เรือนกายสูงเพรียว สวมชุดของสำนักศึกษาลัทธิขงจื๊อ ตรงเอวห้อยป้ายหยก
อีกท่านหนึ่งคือผู้ฝึกตนเฒ่าหลังค่อม สะพายกระบี่เล่มยาวไว้ด้านหลัง
ฝ่ายแรกคืออริยะของสำนักศึกษา อีกทั้งยังเป็นอริยะที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในอุตรกุรุทวีปทุกวันนี้ด้วย มีนามว่าโจวมี่ มาจากสถานศึกษาหลี่จี้ของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง เล่าลือกันว่าผู้อำนวยการใหญ่ของสถานศึกษาได้มอบสองคำว่า ‘ระงับโทสะ’ ให้แก่ลูกศิษย์ผู้นี้
แล้วก็เป็นคนผู้นี้ที่พอออกจากสำนักศึกษามาแล้วก็ซ้อมผู้ฝึกตนใหญ่ที่ปากพล่อยสองคนจนไม่เหลือเรี่ยวแรงให้เอาคืน แล้วตวาดสั่งสอนเสียงดังอย่างเดือดดาลว่า ‘เข้าใจทะลุปรุโปร่งแล้วหรือยัง’ ผู้ฝึกตนใหญ่ทั้งสองท่านยังจะทำอย่างไรได้อีก ก็ได้แต่พูดว่าเข้าใจแล้ว ผลกลับกลายเป็นว่าโดนซ้อมอีกรอบ ก่อนที่อีกฝ่ายจะทิ้งประโยคว่า ‘ทะลุปรุโปร่งกะผายลมสุนัขน่ะสิ’ ไว้ให้
แต่ฉีจิ่งหลงก็รู้ว่า ความรู้ของอริยะลัทธิขงจื๊อนั้นต้องยอดเยี่ยมอย่างแท้จริง อีกทั้งยังไม่ได้แค่มุ่งเรียนเฉพาะสาขาวิชา ยังเข้าใจความรู้ของพุทธเต๋าอย่างทะลุปรุโปร่ง เคยถูกใครบางคนให้คำชื่นชมว่า ‘มีความรู้แน่นหนา แม้แต่ลมก็มิอาจเล็ดลอดผ่าน นอบน้อมอ่อนโยน คือผู้มีความสามารถที่แบกรับหน้าที่สำคัญได้’ อันที่จริงคำวิจารณ์สิบหกตัวอักษรนี้ หากมีแค่สิบสองตัวอักษรก็คงไม่มีใครรู้สึกกังขา น่าเสียดายก็แต่เพราะสี่คำว่า ‘นอบน้อมอ่อนโยน’ ถึงได้ทำให้ผู้คนพากันถกเถียงเรื่องเกี่ยวกับบัณฑิตของสถานศึกษาหลี่จี้ผู้นี้ ลองคิดตามดู ลูกศิษย์ของสถานศึกษาที่ใกล้จะได้ไปรับหน้าที่เป็นอริยะของสำนักศึกษาในแคว้นอื่น แต่กลับถูกอาจารย์ของตนมอบสองคำว่า ‘ระงับโทสะ’ ให้ จะใกล้เคียงกับคำว่านอบน้อมอ่อนโยนได้จริงๆ หรือ?
แต่ว่าตัวโจวมี่เองกลับรู้สึกภาคภูมิใจในคำวิจารณ์สี่คำนั้นมากที่สุด อีกสิบสองคำที่เหลือ เขากลับไม่เคยยอมรับ
ผู้ฝึกตนผู้เฒ่าที่สะพายกระบี่อีกท่านหนึ่งนั้น นามว่าต่งจู้ คือผู้ฝึกกระบี่ที่สถานะลดลงมาสู่ขอบเขตหยกดิบ คือผู้ฝึกตนใหญ่ที่ได้อดีตเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตเซียนเหรินแล้ว แต่ก็ยังไม่เคยก่อสำนักตั้งพรรค ยังคงภาคภูมิใจในสถานะผู้ฝึกตนอิสระของตน เวลาร้อยกว่าปีที่ผ่านมามีอาการบาดเจ็บสาหัสติดตัวตลอดเวลา จำเป็นต้องรักษาตัวอยู่ในภูเขาของตัวเอง ไม่อย่างนั้นทุกครั้งที่ออกจากภูเขามาก็เท่ากับว่าต้องเจอกับหายนะ เขาถึงไม่ได้เดินทางไปเยือนภูเขาห้อยหัวเสียที มีคำเล่าลือบอกว่าแท้จริงแล้วเซียนกระบี่ต่งจู้ก็คือผู้ถ่ายทอดมรรคาของหวงซีผู้ฝึกตนอิสระหนุ่ม เพียงแต่ว่าทั้งสองฝ่ายไม่เคยบอกว่าใช่ แล้วก็ไม่เคยบอกว่าไม่ใช่ ปล่อยให้โลกภายนอกคาดเดากันไปเอง เนื่องจากหวงซีไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ ภูเขาส่วนใหญ่จึงรู้สึกว่าข่าวลือเรื่องนี้เหลวไหลสิ้นดี
ก่อนที่ฉีจิ่งหลงจะประมือกับหวงซีก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน
เพียงแต่ว่าพอได้ประมือกันอย่างแท้จริงแล้ว ฉีจิ่งหลงกลับเริ่มไม่แน่ใจนัก
เพราะหวงซีคือผู้ฝึกกระบี่ที่จริงแท้แน่นอนคนหนึ่ง อีกทั้งยังได้ครอบครองกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตถึงสองเล่ม
การที่ตอนนั้นหวงซียินดีเปิดเผยสถานะผู้ฝึกกระบี่ของตน แต่ไม่ได้หนีไปโดยตรง แน่นอนว่าสาเหตุเป็นเพราะคู่ต่อสู้มีชื่อว่าหลิวจิ่งหลง
ในความเป็นจริงแล้ว ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ ฉีจิ่งหลงไม่เคยบอกเรื่องนี้แก่ใครแม้เพียงครึ่งคำ
ฉีจิ่งหลงพาเด็กหนุ่มมาพลิ้วกายหยุดอยู่ตรงหน้าผู้อาวุโสทั้งสอง
ฉีจิ่งหลงประสานมือสองข้างคารวะ
ต่งจู้ไม่เห็นเป็นสำคัญ ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มดีๆ คนหนึ่งที่มีความหวังว่าจะได้เดินขึ้นสู่บนยอดเขา เรียนรู้อะไรดันไม่เรียน ดันจะไปเลียนแบบบัณฑิต
เห็นแล้วขัดหูขัดตาเสียจริง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!