นักพรตซุนยิ้มเอ่ย “ออกมาอยู่นอกบ้าน ระวังไว้ก่อนย่อมไม่ผิด พี่ใหญ่เฉินไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิด”
นักพรตซุนเดินตรงเข้าไปหาผู้เฒ่าชุดดำคนนั้นก่อน ตี๋หยวนเฟิงกับชายฉกรรจ์ก็เดินตามมาด้านหลังอย่างเป็นธรรมชาติ
ในความเป็นจริงแล้ว ในบรรดาคนทั้งสามนี้ เดิมทีเป็นตี๋หยวนเฟิงที่เป็นผู้นำ เป็นเหตุให้การแบ่งทรัพย์เงินทองในทุกครั้ง เขาสามารถเอาไปได้สี่ส่วน อีกสองคนที่เหลือได้กันไปคนละสามส่วน
ผู้เฒ่าชุดดำเปิดเส้นทางเล็กๆ ให้ทุกคนเดินขึ้นไปบนก้อนหิน รอจนนักพรตซุน ‘ขึ้นเขา’ มาแล้ว เขาก็วาดเท้าออกมาขวางแล้วเดินตามไปด้านหลังนักพรตซุน ไม่ให้หน้าตี๋หยวนเฟิงและชายฉกรรจ์เนื้อตัวมอมแมมแม้แต่น้อย
ตี๋หยวนเฟิงกับชายฉกรรจ์ที่สะพายห่อสัมภาระไว้ด้านหลังหันหน้ามายิ้มให้กันอย่างว่องไว
ท่าทางเช่นนี้เหมือนกับผู้ฝึกตนอิสระมากๆ แล้ว
นอกจากจะระมัดระวังรอบคอบแล้ว ก็ยังขับเรือตามกระแสลมได้อย่างชำนาญ
น่าจะเป็นคนบนเส้นทางเดียวกัน
เป็นเรื่องที่ดี
คนทั้งสี่นั่งลงบนหินก้อนใหญ่ด้วยกัน
นักพรตซุนยิ้มถาม “สหายก็มาที่นี่เพราะถ้ำสถิตในภูเขาเหมือนกันหรือ?”
ผู้เฒ่าชุดดำที่สะพายห่อผ้าสีเขียวไว้บนไหล่เอียงๆ ผู้นี้คงจะแน่ใจในสถานะเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลบนภูเขาอิงเอ๋อร์ของนักพรตซุนแล้ว อีกทั้งยังมีการหยั่งเชิงถึงสามครั้ง จนไม่เหลือความกังขาอีก เวลานี้เขาเผยสีหน้าจนใจออกมาเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยอย่างตรงไปตรงมาว่า “แน่นอน เพียงแต่ว่าไม่เคยได้แผนที่ของที่ว่าการในท้องถิ่นมาครอบครอง พอเข้ามาในภูเขาแล้วจึงเดินวนไปวนมาอยู่นาน ไม่อย่างนั้นป่านนี้ข้าควรจะอยู่ในภูเขาลึกที่ห่างไปไกลร้อยกว่าลี้แล้ว หากโชคดีสักหน่อย ก็อาจจะสามารถหาพื้นที่ลับถ้ำสถิตที่ตราผนึกถูกเปิดออกแห่งนั้นเจอไปแล้ว”
นักพรตซุนหันหน้าไปมองตี๋หยวนเฟิงคุณชายสูงศักดิ์ที่สวมรองเท้าสานถือไม้เท้าเดินป่า ฝ่ายหลังยิ้มบางๆ ก่อนจะหยิบแผนที่ภูมิศาสตร์ของอำเภอที่ถูกพับอย่างเป็นระเบียบแผ่นหนึ่งออกมา คือฉบับสำเนา
แผนที่ภูมิศาสตร์ของแต่ละสถานที่ถือเป็นสิ่งต้องห้ามของที่ว่าการของราชสำนักในแต่ละแคว้นมาโดยตลอด ไม่มีทางเอาไปแพร่งพรายด้านนอกได้เด็ดขาด การที่พวกตี๋หยวนเฟิงสามคนได้ฉบับสำเนามาอย่างราบรื่น แน่นอนว่าเป็นเพราะสถานะของนักพรตซุน แต่ว่าเจ้าเมืองผู้นั้นก็ไม่ใช่ตะเกียงที่ประหยัดน้ำมันอะไร เขาบอกให้นักพรตซุนร่ายวิชาตระกูลเซียนให้ดู บวกกับยันต์ลัทธิเต๋าอีกสิบกว่าแผ่นที่สามารถแปะไว้ในที่ว่าการได้
อันที่จริงฝีมือการวาดยันต์ของนักพรตร่างผอมสูงนั้นนับว่าแย่ แต่เพราะเคยเห็นยันต์ที่เข้าขั้นของภูเขาอิงเอ๋อร์ผ่านตามาบ้าง จึงสามารถวาดได้เหมือนถึงเจ็ดแปดส่วน ตำราลับเล่มที่เขาขโมยมาจากอารามเต๋าไม่มีการบันทึกเกี่ยวกับยันต์ไว้แม้แต่น้อย แต่แก่นยันต์บนยันต์ที่นักพรตเฒ่าวาดขึ้นกลับมีปราณวิญญาณอยู่เสี้ยวหนึ่งจริงๆ จึงพอจะนำมาใช้ต้านทานปราณชั่วร้ายที่ไม่เข้มข้นในหมู่ชาวบ้านได้
แน่นอนว่ายันต์พวกนั้นไม่ได้ถูกเอาไปแปะไว้บนประตูใหญ่ของจวนที่ว่าการ แต่ถูกท่านเจ้าเมืองผู้นั้นเอาไปขายให้กับชนชั้นสูงในพื้นที่ที่รักตัวกลัวตายแต่ไม่ขาดเงิน
ผู้เฒ่าชุดดำเอ่ยขอบคุณหนึ่งคำ เขายื่นมือมารับแผนที่ฉบับนั้นแล้วกวาดตาอ่านอย่างละเอียด “สมแล้วที่เป็นนักพรตซุน ถึงได้สามารถทำสำเนาวัตถุชิ้นนี้ขึ้นมาได้”
นักพรตร่างผอมสูงลูบหนวดยิ้ม ไม่ได้เอ่ยอะไร
ชายฉกรรจ์มอมแมมที่เรียกตัวเองว่าหวงซือยังคงเงียบงันต่อไป
ผู้เฒ่าชุดดำทำท่าจะพูด แต่ก็ชะงักไป
ตี๋หยวนเฟิงรู้ว่าคนผู้นี้งับเหยื่อแล้ว
น่าเสียดายที่เขาก็ดีหรือนักพรตซุนก็ช่าง ล้วนไม่มีใครเป็นฝ่ายเปิดปากพูดก่อนแม้แต่ครึ่งคำ
อีกฝ่ายต้องเอาความจริงใจและเงินทุนออกมาถึงจะได้
ผู้เฒ่าชุดดำที่ ‘ความคิดในหัวตีกัน’ ผู้นี้ แน่นอนว่าต้องเป็นเฉินผิงอันที่สวมหน้ากาก
ใบหน้าแก่ชรา สะพายกระบี่เล่มยาว สะพายห่อผ้าไว้บนไหล่เฉียงๆ สีหน้าอ่อนระโหย นัยน์ตาขุ่นมัว
ลูกศิษย์ที่ได้รับการบันทึกชื่อของจิ้งหมิงเจินเหรินแห่งเรือนเทพสายฟ้าภูเขาอิงเอ๋อร์อะไรนั่น เฉินผิงอันไม่เชื่อมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางใช้วิธีการตื้นเขินเช่นนั้นไปหยั่งเชิงอีกฝ่าย
เพราะภูเขาอิงเอ๋อร์คือสำนักสำคัญแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ตรงประตูที่ลำน้ำสายใหญ่ทางฝั่งตะวันตกไหลเข้าสู่มหาสมุทร ก่อนจะมาเยือนอุตรกุรุทวีปเขาก็พอจะรู้จักมาบ้างแล้ว ภายหลังยังถามถึงจุดประสงค์ในการวาดยันต์ของเรือนเทพสายฟ้าจากฉีจิ่งหลงมาอย่างละเอียดอีกด้วย
แม้ว่าฉีจิ่งหลงจะมีชาติกำเนิดมาจากสำนักกระบี่ไท่ฮุย แต่คนทั้งทวีปต่างก็รู้ว่าขอบเขตด้านวิชายันต์ของเจียวหลงบนบกท่านนี้สูงมาก
เฉินผิงอันถึงขั้นรู้ว่ากุญแจสำคัญที่แท้จริงของยันต์วิชาอสนีทั้งห้าของศาลบรรพจารย์เรือนเทพสายฟ้า คือจำเป็นต้องแยกกันนาบประทับตราอาคมที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษห้าตราซึ่งมีตรา ‘ผู้บัญชาการใหญ่จวนอวี้’ ‘ทูตผู้ตรวจการห้าทิศ’ ‘ต้าถีเตี่ยนแห่งตำหนักจื๋อเตี้ยน’ รวมเป็นหนึ่งในนั้น ฉีจิ่งหลงยังเคยวาดยันต์วิชาอสนีห้าแผ่นให้เฉินผิงอันดูด้วยตัวเอง พลานุภาพแน่นอนว่าสู้ฝีมือของเจินเหรินเซียนดินของเรือนเทพสายฟ้าไม่ได้ เพราะถึงอย่างไรก็ยังขาดตราประทับอาคมกองสายฟ้าห้าชิ้นที่เป็นกุญแจสำคัญที่สุดไป แต่เฉินผิงอันเชื่อว่านอกจากเจินเหรินผู้ถือตราประทับทั้งห้าท่านแล้ว ภูเขาอิงเอ๋อร์ย่อมไม่มีผู้สืบทอดของศาลบรรพจารย์คนใดที่สามารถเขียนปณิธานที่แท้จริงของยันต์ตระกูลตัวเองออกมาได้ทัดเทียมกับฉีจิ่งหลงที่เป็นคนนอกอย่างแน่นอน
คนเราเมื่อเปรียบเทียบกับคนอื่นก็ชวนให้โมโหตายได้จริงๆ
แล้วนับประสาอะไรกับที่โมโหไปก็ไม่มีประโยชน์
การที่เขาจงใจแสร้งทำเป็นเชื่อในตัวตนของอีกฝ่าย เป็นเพราะเฉินผิงอันหวังว่าจะอาศัยคนทั้งสามมาช่วยอำพรางตัวตนให้กับตัวเองอีกชั้นหนึ่ง ไม่ใช่ว่าต้องบุกเดี่ยวไปสืบเสาะหาถ้ำสถิตแห่งนั้นเพียงลำพัง
ส่วนข้อที่ว่าจะคบค้าสมาคมกับผู้ฝึกตนอิสระอย่างไร ถึงอย่างไรเฉินผิงอันก็เคยวางอุบายปัดแข้งปัดขากับหลิวเหล่าเฉิงและหลิวจื้อเม่ามาก่อน จึงถือว่าพอจะมีประสบการณ์อยู่บ้าง
แม้จะบอกว่าหนึ่งทวีปก็มีขนบธรรมเนียมของหนึ่งทวีป ทว่าผู้ฝึกตนอิสระก็ยังคงเป็นผู้ฝึกตนอิสระอยู่นั่นเอง
เหล้าขาวหน้าคนแดง ทองเหลืองใจคนดำ
ร่อนเร่พเนจรไปหมื่นทิศแสวงหาทรัพย์สมบัติ คำว่าผลประโยชน์มาเป็นอันดับหนึ่ง
ดูเหมือนว่าชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสียอย่างละเอียดพักใหญ่แล้ว เฉินผิงอันถึงได้ถามอย่างระมัดระวังว่า “ไม่ทราบว่านักพรตซุนต้องการคนช่วยเหลือหรือไม่?”
นักพรตซุนที่นิ่งคิดอยู่พักใหญ่แสร้งทำเป็นว่าจะพยักหน้าตอบตกลง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!