กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 541

สรุปบท บทที่ 541.2 ในถ้ำมีฟ้าดินแห่งใหม่: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!

สรุปเนื้อหา บทที่ 541.2 ในถ้ำมีฟ้าดินแห่งใหม่ – กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet

บท บทที่ 541.2 ในถ้ำมีฟ้าดินแห่งใหม่ ของ กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! ในหมวดนิยายกำลังภายใน เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย Internet อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที

นักพรตซุนยิ้มเอ่ย “ออกมาอยู่นอกบ้าน ระวังไว้ก่อนย่อมไม่ผิด พี่ใหญ่เฉินไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิด”

นักพรตซุนเดินตรงเข้าไปหาผู้เฒ่าชุดดำคนนั้นก่อน ตี๋หยวนเฟิงกับชายฉกรรจ์ก็เดินตามมาด้านหลังอย่างเป็นธรรมชาติ

ในความเป็นจริงแล้ว ในบรรดาคนทั้งสามนี้ เดิมทีเป็นตี๋หยวนเฟิงที่เป็นผู้นำ เป็นเหตุให้การแบ่งทรัพย์เงินทองในทุกครั้ง เขาสามารถเอาไปได้สี่ส่วน อีกสองคนที่เหลือได้กันไปคนละสามส่วน

ผู้เฒ่าชุดดำเปิดเส้นทางเล็กๆ ให้ทุกคนเดินขึ้นไปบนก้อนหิน รอจนนักพรตซุน ‘ขึ้นเขา’ มาแล้ว เขาก็วาดเท้าออกมาขวางแล้วเดินตามไปด้านหลังนักพรตซุน ไม่ให้หน้าตี๋หยวนเฟิงและชายฉกรรจ์เนื้อตัวมอมแมมแม้แต่น้อย

ตี๋หยวนเฟิงกับชายฉกรรจ์ที่สะพายห่อสัมภาระไว้ด้านหลังหันหน้ามายิ้มให้กันอย่างว่องไว

ท่าทางเช่นนี้เหมือนกับผู้ฝึกตนอิสระมากๆ แล้ว

นอกจากจะระมัดระวังรอบคอบแล้ว ก็ยังขับเรือตามกระแสลมได้อย่างชำนาญ

น่าจะเป็นคนบนเส้นทางเดียวกัน

เป็นเรื่องที่ดี

คนทั้งสี่นั่งลงบนหินก้อนใหญ่ด้วยกัน

นักพรตซุนยิ้มถาม “สหายก็มาที่นี่เพราะถ้ำสถิตในภูเขาเหมือนกันหรือ?”

ผู้เฒ่าชุดดำที่สะพายห่อผ้าสีเขียวไว้บนไหล่เอียงๆ ผู้นี้คงจะแน่ใจในสถานะเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลบนภูเขาอิงเอ๋อร์ของนักพรตซุนแล้ว อีกทั้งยังมีการหยั่งเชิงถึงสามครั้ง จนไม่เหลือความกังขาอีก เวลานี้เขาเผยสีหน้าจนใจออกมาเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยอย่างตรงไปตรงมาว่า “แน่นอน เพียงแต่ว่าไม่เคยได้แผนที่ของที่ว่าการในท้องถิ่นมาครอบครอง พอเข้ามาในภูเขาแล้วจึงเดินวนไปวนมาอยู่นาน ไม่อย่างนั้นป่านนี้ข้าควรจะอยู่ในภูเขาลึกที่ห่างไปไกลร้อยกว่าลี้แล้ว หากโชคดีสักหน่อย ก็อาจจะสามารถหาพื้นที่ลับถ้ำสถิตที่ตราผนึกถูกเปิดออกแห่งนั้นเจอไปแล้ว”

นักพรตซุนหันหน้าไปมองตี๋หยวนเฟิงคุณชายสูงศักดิ์ที่สวมรองเท้าสานถือไม้เท้าเดินป่า ฝ่ายหลังยิ้มบางๆ ก่อนจะหยิบแผนที่ภูมิศาสตร์ของอำเภอที่ถูกพับอย่างเป็นระเบียบแผ่นหนึ่งออกมา คือฉบับสำเนา

แผนที่ภูมิศาสตร์ของแต่ละสถานที่ถือเป็นสิ่งต้องห้ามของที่ว่าการของราชสำนักในแต่ละแคว้นมาโดยตลอด ไม่มีทางเอาไปแพร่งพรายด้านนอกได้เด็ดขาด การที่พวกตี๋หยวนเฟิงสามคนได้ฉบับสำเนามาอย่างราบรื่น แน่นอนว่าเป็นเพราะสถานะของนักพรตซุน แต่ว่าเจ้าเมืองผู้นั้นก็ไม่ใช่ตะเกียงที่ประหยัดน้ำมันอะไร เขาบอกให้นักพรตซุนร่ายวิชาตระกูลเซียนให้ดู บวกกับยันต์ลัทธิเต๋าอีกสิบกว่าแผ่นที่สามารถแปะไว้ในที่ว่าการได้

อันที่จริงฝีมือการวาดยันต์ของนักพรตร่างผอมสูงนั้นนับว่าแย่ แต่เพราะเคยเห็นยันต์ที่เข้าขั้นของภูเขาอิงเอ๋อร์ผ่านตามาบ้าง จึงสามารถวาดได้เหมือนถึงเจ็ดแปดส่วน ตำราลับเล่มที่เขาขโมยมาจากอารามเต๋าไม่มีการบันทึกเกี่ยวกับยันต์ไว้แม้แต่น้อย แต่แก่นยันต์บนยันต์ที่นักพรตเฒ่าวาดขึ้นกลับมีปราณวิญญาณอยู่เสี้ยวหนึ่งจริงๆ จึงพอจะนำมาใช้ต้านทานปราณชั่วร้ายที่ไม่เข้มข้นในหมู่ชาวบ้านได้

แน่นอนว่ายันต์พวกนั้นไม่ได้ถูกเอาไปแปะไว้บนประตูใหญ่ของจวนที่ว่าการ แต่ถูกท่านเจ้าเมืองผู้นั้นเอาไปขายให้กับชนชั้นสูงในพื้นที่ที่รักตัวกลัวตายแต่ไม่ขาดเงิน

ผู้เฒ่าชุดดำเอ่ยขอบคุณหนึ่งคำ เขายื่นมือมารับแผนที่ฉบับนั้นแล้วกวาดตาอ่านอย่างละเอียด “สมแล้วที่เป็นนักพรตซุน ถึงได้สามารถทำสำเนาวัตถุชิ้นนี้ขึ้นมาได้”

นักพรตร่างผอมสูงลูบหนวดยิ้ม ไม่ได้เอ่ยอะไร

ชายฉกรรจ์มอมแมมที่เรียกตัวเองว่าหวงซือยังคงเงียบงันต่อไป

ผู้เฒ่าชุดดำทำท่าจะพูด แต่ก็ชะงักไป

ตี๋หยวนเฟิงรู้ว่าคนผู้นี้งับเหยื่อแล้ว

น่าเสียดายที่เขาก็ดีหรือนักพรตซุนก็ช่าง ล้วนไม่มีใครเป็นฝ่ายเปิดปากพูดก่อนแม้แต่ครึ่งคำ

อีกฝ่ายต้องเอาความจริงใจและเงินทุนออกมาถึงจะได้

ผู้เฒ่าชุดดำที่ ‘ความคิดในหัวตีกัน’ ผู้นี้ แน่นอนว่าต้องเป็นเฉินผิงอันที่สวมหน้ากาก

ใบหน้าแก่ชรา สะพายกระบี่เล่มยาว สะพายห่อผ้าไว้บนไหล่เฉียงๆ สีหน้าอ่อนระโหย นัยน์ตาขุ่นมัว

ลูกศิษย์ที่ได้รับการบันทึกชื่อของจิ้งหมิงเจินเหรินแห่งเรือนเทพสายฟ้าภูเขาอิงเอ๋อร์อะไรนั่น เฉินผิงอันไม่เชื่อมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว

ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางใช้วิธีการตื้นเขินเช่นนั้นไปหยั่งเชิงอีกฝ่าย

เพราะภูเขาอิงเอ๋อร์คือสำนักสำคัญแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ตรงประตูที่ลำน้ำสายใหญ่ทางฝั่งตะวันตกไหลเข้าสู่มหาสมุทร ก่อนจะมาเยือนอุตรกุรุทวีปเขาก็พอจะรู้จักมาบ้างแล้ว ภายหลังยังถามถึงจุดประสงค์ในการวาดยันต์ของเรือนเทพสายฟ้าจากฉีจิ่งหลงมาอย่างละเอียดอีกด้วย

แม้ว่าฉีจิ่งหลงจะมีชาติกำเนิดมาจากสำนักกระบี่ไท่ฮุย แต่คนทั้งทวีปต่างก็รู้ว่าขอบเขตด้านวิชายันต์ของเจียวหลงบนบกท่านนี้สูงมาก

เฉินผิงอันถึงขั้นรู้ว่ากุญแจสำคัญที่แท้จริงของยันต์วิชาอสนีทั้งห้าของศาลบรรพจารย์เรือนเทพสายฟ้า คือจำเป็นต้องแยกกันนาบประทับตราอาคมที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษห้าตราซึ่งมีตรา ‘ผู้บัญชาการใหญ่จวนอวี้’ ‘ทูตผู้ตรวจการห้าทิศ’ ‘ต้าถีเตี่ยนแห่งตำหนักจื๋อเตี้ยน’ รวมเป็นหนึ่งในนั้น ฉีจิ่งหลงยังเคยวาดยันต์วิชาอสนีห้าแผ่นให้เฉินผิงอันดูด้วยตัวเอง พลานุภาพแน่นอนว่าสู้ฝีมือของเจินเหรินเซียนดินของเรือนเทพสายฟ้าไม่ได้ เพราะถึงอย่างไรก็ยังขาดตราประทับอาคมกองสายฟ้าห้าชิ้นที่เป็นกุญแจสำคัญที่สุดไป แต่เฉินผิงอันเชื่อว่านอกจากเจินเหรินผู้ถือตราประทับทั้งห้าท่านแล้ว ภูเขาอิงเอ๋อร์ย่อมไม่มีผู้สืบทอดของศาลบรรพจารย์คนใดที่สามารถเขียนปณิธานที่แท้จริงของยันต์ตระกูลตัวเองออกมาได้ทัดเทียมกับฉีจิ่งหลงที่เป็นคนนอกอย่างแน่นอน

คนเราเมื่อเปรียบเทียบกับคนอื่นก็ชวนให้โมโหตายได้จริงๆ

แล้วนับประสาอะไรกับที่โมโหไปก็ไม่มีประโยชน์

การที่เขาจงใจแสร้งทำเป็นเชื่อในตัวตนของอีกฝ่าย เป็นเพราะเฉินผิงอันหวังว่าจะอาศัยคนทั้งสามมาช่วยอำพรางตัวตนให้กับตัวเองอีกชั้นหนึ่ง ไม่ใช่ว่าต้องบุกเดี่ยวไปสืบเสาะหาถ้ำสถิตแห่งนั้นเพียงลำพัง

ส่วนข้อที่ว่าจะคบค้าสมาคมกับผู้ฝึกตนอิสระอย่างไร ถึงอย่างไรเฉินผิงอันก็เคยวางอุบายปัดแข้งปัดขากับหลิวเหล่าเฉิงและหลิวจื้อเม่ามาก่อน จึงถือว่าพอจะมีประสบการณ์อยู่บ้าง

แม้จะบอกว่าหนึ่งทวีปก็มีขนบธรรมเนียมของหนึ่งทวีป ทว่าผู้ฝึกตนอิสระก็ยังคงเป็นผู้ฝึกตนอิสระอยู่นั่นเอง

เหล้าขาวหน้าคนแดง ทองเหลืองใจคนดำ

ร่อนเร่พเนจรไปหมื่นทิศแสวงหาทรัพย์สมบัติ คำว่าผลประโยชน์มาเป็นอันดับหนึ่ง

ดูเหมือนว่าชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสียอย่างละเอียดพักใหญ่แล้ว เฉินผิงอันถึงได้ถามอย่างระมัดระวังว่า “ไม่ทราบว่านักพรตซุนต้องการคนช่วยเหลือหรือไม่?”

นักพรตซุนที่นิ่งคิดอยู่พักใหญ่แสร้งทำเป็นว่าจะพยักหน้าตอบตกลง

หวงซือพลันรวมเสียงให้เป็นเส้นพูดกับคนทั้งสองว่า “ชุดคลุมสีดำบนร่างคนผู้นี้ ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นชุดคลุมอาคมชุดหนึ่ง”

ตี๋หยวนเฟิงยิ้มกล่าว “ไม่ต้องรีบร้อน ค่อยๆ ดูกันไป ค่อยๆ วางแผนกันไป แล้วค่อยมาตัดสินใจอีกที”

นักพรตซุนพูดกับเฉินผิงอันว่า “หากการไปเยี่ยมเยือนภูเขาครั้งนี้ราบรื่น สหายสามารถกลับไปยังภูเขาอิงเอ๋อร์พร้อมกับข้าผู้เป็นนักพรตได้ ข้าผู้เป็นนักพรตจะลองช่วยแนะนำเจ้าดู”

ผู้เฒ่าชุดดำอึ้งตะลึงไปเล็กน้อย จากนั้นสายตาก็เปลี่ยนมาเป็นฉายประกายเร่าร้อน ริมฝีปากขยับเล็กน้อย ซาบซึ้งใจจนถึงขั้นพูดอะไรไม่ออก

สำหรับผู้ฝึกตนอิสระแล้ว การที่ได้มาพบเจอกับตระกูลเซียนที่มีผู้ฝึกตนใหญ่ก่อกำเนิดเฝ้าพิทักษ์อย่างภูเขาอิงเอ๋อร์นี้ได้ ก็ไม่ต่างจากการได้ไปเกิดใหม่ในครรภ์ที่ดีเลย

ตี๋หยวนเฟิงเห็นทุกอย่างนี้อยู่ในสายตา จากนั้นเขาก็ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ไม่ทราบว่าพี่ใหญ่เฉินจะช่วยอธิบายประสิทธิผลของยันต์พวกนี้อย่างละเอียดได้หรือไม่?”

เฉินผิงอันชี้ไปที่ยันต์บนพื้นแล้วไล่อธิบายไปทีละแผ่น สำหรับยันต์ทำลายสิ่งกีดขวางนั้น เขาไม่ได้พูดอะไรมาก แค่บอกว่าเป็นยันต์ข้ามสะพานที่เล่าเรียนมาจากวิชาเฉพาะของลัทธิเต๋า เพราะถึงอย่างไรยันต์ทำลายสิ่งกีดขวาทั่วไปก็ไม่ได้มีลูกเล่นอะไรมากมายนัก ส่วนยันต์น้ำที่เขาแสดงฝีมือให้ดูไปแล้วก็ยิ่งคร้านจะพูดให้มากความ ทว่ายันต์สายฟ้ากับยันต์ขยุ้มดิน เขากลับพูดจ้อถึงอานุภาพในการโจมตีของพวกมัน พอดังเข้าหูคนทั้งสาม แน่นอนว่าต้องตกเป็นผู้ต้องสงสัยว่าขี้โม้เกินจริง แต่ถึงกระนั้นพวกเขาก็ยังมองผู้เฒ่าชุดดำผู้นี้สูงขึ้นมาอีกหนึ่งส่วน

การอธิบายถึงรากฐานโดยรวมและพลานุภาพของยันต์ที่สำคัญสองชนิดนี้

เป็นทั้งการแสดงความจริงใจ แล้วก็เป็นการแสดงบารมีอย่างหนึ่ง

นี่ก็คือวิธีการที่ผู้ฝึกตนอิสระคนหนึ่งสมควรมี

คือหลักการเดียวกับการที่ก่อนหน้านี้ตี๋หยวนเฟิงจงใจเอาสำเนาภาพแผนที่ที่เก็บรักษาไว้เป็นความลับในจวนเจ้าเมืองออกมาให้เขา

นั่นคือรากฐานที่เซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลคนหนึ่งของเรือนเทพสายฟ้าสมควรมี

หลังจากที่คนทั้งสี่พูดจาปราศรัยกันไปพักหนึ่งก็เริ่มออกเดินทางกันต่อ

ตี๋หยวนเฟิงเห็นผู้เฒ่าชุดดำขยับเข้าไปเดินใกล้ชิดอยู่ข้างกายนักพรตร่างสูงผอม

เขาที่เดินค่อนมาทางด้านหลังส่ายหน้าเบาๆ ส่วนหวงซือนั้นมีสีหน้าเฉยเมย แค่คอยเหลือบมองชุดคลุมสีดำนั้นหลายครั้งราวกับตั้งใจ แต่ก็คล้ายไม่ได้เจตนา

เฉินผิงอันถามเสียงเบา “นักพรตซุน ถ้ำสถิตโบราณที่เผยกายกลับมาบนโลกอีกครั้งของแคว้นเป่ยถิงแห่งนี้ พวกเราต่างก็รู้แล้ว แล้วตระกูลเซียนขนาดใหญ่สองแห่งอย่างนครเหนือเมฆกับจวนไช่เฉวี่ยจะร่วมมือกันยึดครองมัน ขับไล่คนนอกทุกคนออกไป หลังจบเรื่องสองตระกูลค่อยมาแบ่งทรัพย์สินกันหรือไม่?”

นักพรตซุนหัวเราะเสียงหยันอยู่ในใจ ถึงอย่างไรก็เป็นแค่ผู้ฝึกตนอิสระที่เดินทางมาไกล ไม่กล้าใกล้ชิดกับทางการเท่าใดนัก ด้วยเหตุนี้จึงพลาดเรื่องเก่าๆ ในอดีตไปหลายเรื่อง

ตามคำบอกของเจ้าเมืองแคว้นเป่ยถิงที่พร่ำออกมาหลังเมามาย อีกฝ่ายพูดจาน่าเชื่อถือเกี่ยวกับเรื่องวงในบนภูเขาที่ได้ยินมาจากขุนนางหลักของเมืองหลวงแคว้นเป่ยถิง คนทั้งสามถึงได้รู้ว่าเสิ่นเจิ้นเจ๋อเซียนดินของนครเหนือเมฆแคว้นสุ่ยเซียวที่เป็นแคว้นเพื่อนบ้าน กับเจ้าจวนไช่เฉวี่ยที่งดงามล่มบ้านล่มเมืองผู้นั้นมีปมแค้นเก่าแก่กันอยู่ ตระกูลเซียนใหญ่ทั้งสองแห่งนี้ไม่เคยไปมาหาสู่กันมานานหลายปีแล้ว ข่าวเล็กๆ ที่มองดูเหมือนไม่มีค่าที่สุดนี้ อันที่จริงกลับมีค่ามากที่สุด ถึงขั้นที่ว่ายังมีค่ามากกว่าแผนที่ภูมิศาสตร์ด้วยซ้ำ

——

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!