เฉินผิงอันไปที่ห้องแห่งนั้น ข้าวของเครื่องตกแต่งยังคงเดิม ทัศนียภาพยังคงเดิม สะอาดสะอ้านสบายตา
ไม่มีสิ่งของอะไรให้เก็บวาง เฉินผิงอันนั่งนิ่งๆ อยู่ชั่วครู่ก็ออกจากโรงเตี๊ยมและตรอกเล็ก มุ่งหน้าไปยังยอดเขาเดียวดายที่อยู่ใจกลางภูเขาห้อยหัวแห่งนั้น
ตอนนี้เหลือคนเฝ้าประตูแค่คนเดียว ก็คือนักพรตน้อยที่มีรูปโฉมเป็นเด็ก แต่กลับมีความอาวุโสสูงอย่างถึงที่สุดคนนั้น เขายังคงนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่นั่น เนื่องจากตอนนี้สถานที่แห่งนี้แทบจะไม่มีคนเข้าออก เด็กๆ ของภูเขาห้อยหัวที่มาเล่นสนุกอยู่ที่นี่จึงยิ่งมีมากกว่าเดิม ยังคงเป็นภาพเหตุการณ์เหมือนอย่างในปีนั้น พอมีเด็กเข้ามาใกล้ ‘นักพรตเด็ก’ ก็จะพลันทะยานเมฆทะยานหมอกพลิ้วกายออกห่างไปไกล เด็กบางคนที่ซุกซนหน่อยถึงขั้นจงใจทำเช่นนี้ เล่นสนุกอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย หลังจากนักพรตเด็กพลิ้วกายลงบนพื้นก็วิ่งตะบึงไปหาเขาทางนั้นต่อ นักพรตเด็กคนนั้นก็ไม่ถือสา
เฉินผิงอันเดินอ้อมผ่านยอดเขาเดียวดายไปยังภูเขาที่อยู่ด้านหลัง ตามคำบอกของเถ้าแก่โรงเตี๊ยมกว้านเชวี่ย ชายฉกรรจ์กอดกระบี่ที่ปีนั้นถ่ายทอดคาถาหลอมวัตถุให้เขายังคงมีความผิดติดตัว ก็แค่เปลี่ยนสถานที่ไปเฝ้าประตูใหญ่ฝั่งนั้นแทน
หลังจากที่เฉินผิงอันจากไป นักพรตน้อยที่เอานิ้วแต้มน้ำลายพลิกเปิดหน้าหนังสือก็เงยหน้าขึ้นมองแผ่นหลังของคนหนุ่มที่สวมชุดเขียวสะพายกระบี่ บนใบหน้าที่มองดูอ่อนเยาว์นั้นมีสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย
เฉินผิงอันเห็นชายฉกรรจ์กอดกระบี่นั่งหลับอยู่บนเสาหินข้างประตู
ไม่เหมือนกับผิวกระจกที่เป็นประตูหน้าของยอดเขาเดียวดายที่เหลือแค่นักพรตน้อยคอยจับตาดูผู้คนที่เข้าออกจากภูเขาห้อยหัวและกำแพงเมืองปราณกระบี่ทั้งสองฝั่งในเวลาเดียวกัน
ชายฉกรรจ์กอดกระบี่ที่งีบหลับยังคงเฝ้าอยู่แค่ด้านหลัง รับผิดชอบจับตามองทุกคนที่กลับจากกำแพงเมืองปราณกระบี่มายังภูเขาห้อยหัวเท่านั้น ส่วนผู้ที่ดูแลอยู่เบื้องหน้าคือนักพรตเฒ่าคนหนึ่งของภูเขาห้อยหัว
บนถนนมีผู้คนสัญจรขวักไขว่ รถม้าขับเคลื่อนทอดยาวเป็นสาย ล้วนเป็นขบวนผู้คนที่ทยอยกันข้ามผ่านด่านไปยังกำแพงเมืองปราณกระบี่
ทว่าคนเฝ้าประตูกลับไม่ใช่ผู้เฒ่าที่ใช้หนวดของเจียวหลงมาหลอมเป็นเชือกพันธนาการปีศาจที่มีเพียงเส้นเดียวบนโลกซึ่งเฉินผิงอันคุ้นเคยคนนั้น
เฉินผิงอันไม่ได้ส่งเสียง สอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ ยืนอยู่ข้างเสาหินอย่างสงบ ฝั่งนี้เงียบสงบกว่ามาก แทบจะไม่มีคนเลย
ประมาณหนึ่งก้านธูปต่อมา ชายฉกรรจ์ที่กอดกระบี่ก็ลืมตาขึ้นยิ้มกล่าวว่า “ไอ้หนู ข้าว่าเจ้าคงไม่ค่อยชอบแม่หนูหนิงสักเท่าไร ไม่เพียงแต่จากไปทีก็นานหลายปีขนาดนี้ พอมาถึงที่นี่ก็ไม่เห็นว่าเจ้าจะรีบร้อนแม้แต่น้อย”
เฉินผิงอันรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก สองมือกุมเป็นหมัดเอ่ยว่า “คารวะผู้อาวุโส มาดสง่างามของท่านยังคงเดิม”
ชายฉกรรจ์โบกมือ “ข้ามีข่าวอยู่สองข่าว หนึ่งคือข่าวดี หนึ่งคือข่าวร้าย เจ้าอยากฟังข่าวไหน?”
เฉินผิงอันกล่าว “ฟังข่าวร้ายก่อน”
ชายฉกรรจ์เบ้ปาก “น่าเบื่อจริง ข้าบอกข่าวดีเจ้าก่อนดีกว่า”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ตามใจผู้อาวุโสเลย”
ชายฉกรรจ์นั่งขัดสมาธิอยู่บนเสาหินที่สูงประมาณหนึ่งตัวคนกว่าๆ มองคนหนุ่มพลางเอ่ยว่า “ข่าวดีก็คือในศึกใหญ่ทั้งสองครั้ง แม่หนูหนิงล้วนโชคดีรอดมาได้ ตอนนี้ขอบเขตก็ไม่ถือว่าต่ำแล้ว อืม ได้ยินมาว่าหน้าตายิ่งงดงามชวนมองขึ้นไปอีก เจ้าชอบแม่หนูหนิงไม่ใช่เรื่องแปลกแม้แต่น้อย แต่แม่หนูหนิงกลับชอบเจ้า นี่ต่างหากที่เป็นเรื่องประหลาดใหญ่เทียมฟ้า”
เฉินผิงอันเงียบรอฟังคำพูดประโยคถัดไปของอีกฝ่าย
ชายฉกรรจ์กล่าวอย่างมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่นว่า “ข่าวร้ายก็คือตอนนี้มีการควบคุมอย่างเข้มงวด ภายนอกและทางส่วนตัวมีคนที่ไม่รักษากฎตายไปมากมาย หากเจ้าไม่มีเส้นสายที่แข็งหน่อยก็ไม่มีทางไปกำแพงเมืองปราณกระบี่ได้เลย อย่าหวังว่าข้าจะยอมแหกกฎช่วยส่งกระบี่บินส่งข่าวไปให้เจ้าโดยพลการ ไม่มีทางหรอก ไม่อย่างนั้นข้าก็คงไม่ได้กินข้าวที่เหลืออยู่แค่ถ้วยเดียวนี้อีกแล้ว (เปรียบเปรยว่าตกงาน/ไม่มีงานทำ) เพราะฉะนั้นเจ้าเข้าไปไม่ได้ คนด้านในก็ช่วยเจ้าไม่ได้ เจ้าจงยืนเบิกตามองดูอยู่ตรงนี้แต่โดยดีเถอะ ดีจะตายไป อยู่คุยเล่นเป็นเพื่อนข้า แล้วเดี๋ยวค่อยให้เจ้าหิ้วเหล้ากับกับแกล้มสองสามจานมาให้ข้า พวกเรานั่งอาบแดดอยู่ด้วยกัน วันเวลาเช่นนี้สมกับเป็นชีวิตของเทพเซียนจริงๆ”
เฉินผิงอันคิดแล้วก็เอ่ยว่า “ภูเขาห้อยหัวในตอนนี้ คนที่สามารถเปิดปากพูดเรื่องนี้ได้มียอดฝีมือคนใดบ้าง?”
ชายฉกรรจ์กอดกระบี่ยื่นนิ้วชี้ไปทางด้านหลัง “เทียนจวินใหญ่ลูกศิษย์ผู้สืบทอดของผู้ไร้เทียมทานที่แท้จริงของภูเขาห้อยหัวคนนั้น แน่นอนว่าคำพูดของเขาต้องได้ผล”
เฉินผิงอันไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
เทียนจวินใหญ่ของลัทธิเต๋าท่านนี้เคยเปิดฉากเข่นฆ่าอยู่กับจั่วโย่วบนมหาสมุทร แม่น้ำพลิกมหาสมุทรตลบไปหลายพันลี้ แค่เขาไม่เล่นงานตนก็ถือว่ามีคุณธรรมมากพอแล้ว
ชายฉกรรจ์กอดกระบี่เอ่ยอีกว่า “เพื่อนบ้านเก่าที่มีใบหน้าเป็นเด็กผู้นั้นก็ได้เหมือนกัน เพียงแต่ว่าไอ้หมอนี่มีนิสัยประหลาด ไม่ใช่พวกคนที่สามารถใช้เหตุผลพูดคุยด้วยได้ นอกจากนี้ก็คือเจ้าคนที่ถือโซ่พันธนาการปีศาจสีทองอร่ามไว้ในมือผู้นั้น จากนั้น…ก็คงมีแค่หาเส้นทางที่ถูกต้อง อีกทั้งยังต้องใช้เงินจ่ายค่าผ่านทางแล้ว ยกตัวอย่างเช่นที่จวนหยวนโหรวมีคนยินดีจ่ายเงินแทนเจ้า นั่นไม่ใช่เรื่องที่เงินร้อนน้อยสามารถแก้ไขได้แล้ว อีกทั้งยังทำลายกฎเกณฑ์ ต้องแบกรับความเสี่ยง บวกกับที่ต้องถูกภูเขาห้อยหัวจดลงบัญชีไว้”
เฉินผิงอันเงียบงันไม่เอ่ยอะไร
ชายฉกรรจ์ยิ้มกล่าว “แนะนำเจ้าว่าอย่าได้ใช้หัวคิดในทางที่ผิด พวกกลุ่มพ่อค้าที่มีสิทธิ์เดินทางไปยังกำแพงเมืองปราณกระบี่เหล่านั้น ต่อให้รับเงินเจ้าไปแล้ว ปากตอบตกลงว่าจะช่วยส่งข่าวให้เจ้า แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับไม่มีทางทำเรื่องนี้ มีแต่จะทำให้เงินเทพเซียนของเจ้าลอยหายไปกับสายน้ำ ทางฝั่งของเกาะกุ้ยฮวานครมังกรเฒ่าก็หน้าตาไม่ใหญ่มากพอ ไม่มีใครมีคุณสมบัติจะได้ไปกำแพงเมืองปราณกระบี่ แล้วนับประสาอะไรกับที่เกาะกุ้ยฮวาเองก็แบกรับผลลัพธ์นี้ไม่ไหว ไม่เพียงแต่จะมีคนตายเยอะมาก คาดว่าแม้แต่เกาะกุ้ยฮวาเองก็ยังต้องถูกภูเขาห้อยหัวโจมตีให้จมลงไปด้วย”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ในเมื่อข้ามาถึงภูเขาห้อยหัวแล้วก็ไม่มีเหตุผลที่จะไปกำแพงเมืองปราณกระบี่ไม่ได้”
ชายฉกรรจ์กอดกระบี่ยิ้มกล่าว “โอ้โหแหะ ไม่เสียแรงที่เป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสี่ พูดจาใหญ่โตไม่น้อยเลย”
เฉินผิงอันหัวเราะร่า “ก็เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตเจ็ดด้วยไม่ใช่หรือ ผู้อาวุโสก็คิดเสียว่าขอบเขตเจ็ดกับขอบเขตสี่ของข้าบวกรวมกัน สามารถคิดเป็นขอบเขตสิบเอ็ดได้”
ชายฉกรรจ์จุ๊ปาก “อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง เอาแค่หนังหน้านี้ เทียบกับเด็กหนุ่มยากจนเมื่อปีนั้น ก็หนาขึ้นเยอะเลยจริงๆ ทำไม ตลอดหลายปีมานี้ที่ออกเดินทางท่องเที่ยว คงหลอกสตรีไปไม่น้อยเลยกระมัง?”
เฉินผิงอันหน้าดำทะมึน “ประโยคนี้ผู้อาวุโสพูดส่งเดชไม่ได้จริงๆ นะ!”
ชายฉกรรจ์หัวเราะหึหึ “มีเรื่องนี้อยู่จริงหรือไม่ ในใจเจ้าย่อมรู้ดี”
เฉินผิงอันบิดข้อมือ เอาเหล้าหมักตระกูลเซียนกาหนึ่งออกมา ชายฉกรรจ์กอดกระบี่เตรียมจะพูดเสริมอีก ไม่ก็คิดจะแย่งชิงเอามาเสียเลย คิดไม่ถึงว่าคนหนุ่มที่ฉลาดเฉลียวผู้นั้นจะยิ้มบางๆ แล้วเก็บกาเหล้ากลับไปด้วยความเร็วราวสายฟ้าแลบไม่ทันยกมือป้องหู
ชายฉกรรจ์กอดกระบี่ลูบคลำปลายคาง “เฉินผิงอัน แบบนี้ทำร้ายความรู้สึกกันมากเลยนะ”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ถ้าอย่างนั้นก็ต้องรบกวนให้ผู้อาวุโสยืนยันมาสักคำแล้ว”
ชายฉกรรจ์กวาดตามองไปรอบด้าน พูดเสียงเบาว่า “เจ้าไปเดินเล่นรอบๆ ดูก่อน ข้าจะลองคิดดูว่าจะมีวิธีหรือไม่”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!