เฉินผิงอันปล่อยมือออกเบาๆ ถอยหลังไปหนึ่งก้าว มองประเมินนางอย่างละเอียด
นางยังคงสวมชุดตัวยาวสีเขียวเข้ม ตัวสูงขึ้นเล็กน้อย แต่ไม่มาก ตอนนี้สูงไม่เท่าเขาแล้ว
นางหน้าแดงน้อยๆ ขุนเขาสายน้ำของตลอดทั้งใต้หล้าไพศาลรวมกันก็ยังไม่งดงามน่ามองเท่าคิ้วตาคู่นั้นของนาง เฉินผิงอันถึงขั้นมองเห็นตัวเองจากในดวงตาของนาง
นางเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง “เฉินผิงอัน ได้ดิบได้ดีแล้วรึ?”
เฉินผิงอันตอบเสียงเบาไม่ตรงคำถามว่า “ตลอดหลายปีมานี้ไม่ค่อยกล้าคิดถึงเจ้ามากนัก”
หนิงเหยากำลังจะพูด
ตรงกำแพงบังตาด้านหลังกลับมีเสียงผิวปากดังขึ้นมาเสียก่อน คือเจ้าอ้วนคนหนึ่งที่นั่งยองอยู่บนพื้น ด้านหลังของเจ้าอ้วนซ่อนศีรษะไว้มากมาย มองดูคล้ายนกยูงที่รำแพนหาง แต่ละคนเบิกตากว้างมองมาทางประตูใหญ่
หนิงเหยากำลังจะขยับ แต่กลับถูกเฉินผิงอันคว้ามือข้างหนึ่งแล้วกุมไว้หนักๆ “มาครั้งนี้จะอยู่นานหน่อย ไล่อย่างไรข้าก็ไม่ไป”
มีเสียงสตรีเอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า “พี่หญิงหนิงหูแดงแล้ว”
หนิงเหยาพลันกระชากเฉินผิงอันมาด้านหน้า เอาข้อศอกถองเข้าที่หน้าอกของเขา สลัดมือของเฉินผิงอันออก ตัวนางเองหมุนตัวกลับเดินก้าวยาวๆ ไปทางกำแพงบังตา ทิ้งประโยคหนึ่งไว้ว่า “ข้าไม่รับปากหรอกนะ”
เฉินผิงอันแยกเขี้ยว ศอกนี้ถองมาหนักจริงๆ เขานวดคลึงตรงหัวใจ ก้าวเร็วๆ เดินตามไป ไม่จำเป็นต้องให้เขาปิดประตู เพราะบ่าวรับใช้เฒ่าดวงตาขุ่นมัวคนหนึ่งผงกศีรษะให้เขาแล้วปิดประตูใหญ่ของจวนลงอย่างเงียบเชียบ
ทุกคนที่อยู่ตรงหัวเลี้ยวของกำแพงบังตาพากันลุกขึ้นยืนแล้ว
เฉินผิงอันเดินเคียงบ่าไปกับหนิงเหยา ยิ้มพลางเอ่ยทักทายกับคนเหล่านั้น “เยี่ยนจั๋ว ต่งฮว่าฝู เตี๋ยจ้าง เฉินซานชิว สวัสดีทุกคน”
เจ้าอ้วนที่มีร่างกายบึกบึนคนนั้นชื่อว่าเยี่ยนจั๋ว คือทายาทสายตรงของตระกูลเยี่ยน ฐานะของตระกูลเยี่ยนในกำแพงเมืองปราณกระบี่เทียบเท่าได้กับกรมการคลังของราชวงศ์ในโลกมนุษย์ หากไม่นับรวมช่องทางส่วนตัวของตระกูลใหญ่ทั้งหลาย ตระกูลเยี่ยนก็ดูแลการขนส่งทรัพยากรเกือบครึ่งหนึ่ง พูดง่ายๆ ก็คือตระกูลเยี่ยนมีเงิน มีเงินมากๆ
ต่งฮว่าฝู แซ่สกุลนี้มากพอจะอธิบายทุกอย่างอย่างชัดเจนแล้ว เขาคือคนหนุ่มผิวดำเกรียมเรือนกายแกร่งกำยำ ใบหน้าเต็มไปด้วยบาดแผล สีหน้าเฉยชา ไม่ชอบพูดคุย ชอบดื่มเหล้าอย่างเดียว ทว่ากระบี่ที่พกติดกายกลับเป็นกระบี่หงจวงที่มีกลิ่นอายของสตรีอย่างเข้มข้น เขามีพี่สาวแท้ๆ อยู่คนหนึ่งที่ชื่อประหลาดยิ่งกว่า ชื่อว่าต่งปู้เต๋อ ทว่านางกลับเป็นตัวอ่อนกระบี่ก่อกำเนิดที่มีอยู่ไม่มากของกำแพงเมืองปราณกระบี่ มองดูเหมือนบอบบางอ่อนแอ แต่เมื่อเปิดฉากเข่นฆ่าขึ้นมากลับเป็นคนบ้าคนหนึ่ง ว่ากันว่ามีอยู่ครั้งหนึ่งที่นางต่อสู้จนเลือดขึ้นตา ใต้เท้าอิ่นกวานท่านนั้นถึงกับต้องตีนางให้สลบแล้วลากกลับเข้ากำแพงเมืองปราณกระบี่ไปโดยตรง
สตรีแขนเดียวรูปร่างบอบบางสะพายกระบี่ใหญ่ชื่อว่าเจิ้นเยว่
นางมีชาติกำเนิดมาจากตรอกเก่าโทรมของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ไม่มีแซ่ มีแค่ชื่อว่าเตี๋ยจ้าง ตอนเด็กถูกอาเหลียงมาพบเข้า อาเหลียงจึงมักจะใช้ให้นางไปซื้อเหล้าให้บ่อยๆ ไปๆ มาๆ คนทั้งสองก็สนิทกัน ภายหลังจึงค่อยๆ ได้รู้จักกับสหายอย่างพวกหนิงเหยา ตอนนี้ยังช่วยใช้หนี้ค่าเหล้าบานเบอะแทนอาเหลียงด้วย
คนสุดท้ายคือคุณชายคนหนึ่งที่หน้าตาหล่อเหลามาก มีนามว่าเฉินซานชิว เป็นลูกหลานตระกูลใหญ่อย่างสมชื่อเช่นเดียวกัน หลงรักต่งปู้เต๋อพี่สาวของต่งฮว่าฝูมาตั้งแต่เด็ก แล้วก็ไม่เคยเปลี่ยนใจ ตรงเอวซ้ายขวาของเฉินซานชิวพกกระบี่ด้านละเล่ม เพียงแต่ว่ากระบี่เล่มหนึ่งไร้ฝัก ตัวกระบี่สลักอักษรเก่าแก่คำว่า ‘อวิ๋นเหวิน’ ส่วนกระบี่ที่มีฝักชื่อว่าจิงซู
เจ้าอ้วนที่เป็นตัวนำบีบลูกกระเดือกดัดเสียงเล็กเสียงน้อยพูดเลียนแบบหนิงเหยา “เจ้าเป็นใครกัน?”
หนิงเหยาหยุดเดิน ชำเลืองตามองเจ้าอ้วนโดยไม่เอ่ยคำใด
เฉินผิงอันถามหนิงเหยาเบาๆ “ผู้ฝึกกระบี่โอสถทอง?”
หนิงเหยายังคงไม่ทันได้พูดอะไร เฉินซานจวินก็ยิ้มตาหยีชิงตอบแทนก่อนว่า “ถึงอย่างไรเจ้าอ้วนเยี่ยนก็ไม่ใช่ผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสี่ แล้วก็ไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวที่โง่เง่านั่นด้วย”
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ดูถูกข้าไม่เป็นไร แต่ดูถูกสายตาของหนิงเหยา ไม่ได้”
เจ้าอ้วนเยี่ยนนั่งแปะลงไปกับพื้นจนชนเข้ากับต่งถ่านดำที่อยู่ด้านหลัง “ได้ยินหรือไม่ ดูเหมือนว่าปรมาจารย์ใหญ่ผู้ฝึกยุทธที่ปีนั้นตอนอยู่บนกำแพงเมืองก็เป็นขอบเขตสี่แล้วจะไม่พอใจแล้วล่ะ”
หนิงเหยาขมวดคิ้ว กล่าวว่า “ไม่จบไม่สิ้นสักทีนะ”
เจ้าอ้วนเยี่ยนชูสองมือขึ้น เหลือบตามองชายแขนเสื้อสองข้างของชายหนุ่มชุดเขียวเร็วๆ แล้วพูดอย่างน้อยใจว่า “เป็นเฉินซานชิวที่ยุให้ข้าเป็นแนวหน้า ข้าไม่มีอคติใดๆ ต่อเฉินผิงอันทั้งนั้น มีผู้ฝึกยุทธเต็มตัวสักกี่คนที่อายุน้อยๆ ก็สามารถต่อสู้กับเฉาสือได้ถึงสามครั้งติดบ้าง ข้านับถือเขายังแทบไม่ทัน แต่ข้าก็ต้องพูดอย่างเป็นธรรมสักหน่อย อยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ของพวกเรา ผู้ฝึกตนพรรคยันต์คือผู้ฝึกตนพรรคนอกรีตที่ถูกดูแคลนมากที่สุดตามหลังผู้ฝึกยุทธ เฉินผิงอัน ออกจากบ้านมาอยู่ข้างนอก อย่าพกยันต์มากมายขนาดนั้นมาไว้ในชายแขนเสื้อเลย พวกเราที่นี่ไม่มีใครซื้อของเล่นพวกนี้หรอกนะ ช่วยไม่ได้ กำแพงเมืองปราณกระบี่ของพวกเราเป็นพื้นที่กันดารยากจน ไม่เคยเห็นโลกกว้างกันมาก่อน”
หนิงเหยาเริ่มมีโทสะให้เห็นแล้ว
เจ้าอ้วนเยี่ยนรีบหดคอที่เดิมทีก็แทบมองไม่เห็นทันที
อันที่จริงภาพความทรงจำที่พวกเขามีต่อเฉินผิงอันไม่ดีและไม่เลว ไม่ถึงขั้นที่ต้องอาศัยว่าตัวเองมีคนมากกว่ามารังแกอีกฝ่ายจริงๆ
เพียงแต่ว่าหนิงเหยาที่อยู่ในใจของพวกเขาพิเศษเกินไป
อีกทั้งระหว่างกำแพงเมืองปราณกระบี่กับใต้หล้าไพศาลก็มีอคติระหว่างกันกั้นขวางอยู่
แม้แต่เยี่ยนจั๋วและพวกเฉินซานชิวสามคนก็ยังรู้ดีว่าเฉินผิงอันไม่มีอะไรที่ผิด ไม่มีอะไรที่ไม่ดี แต่คนวัยเดียวกันของกำแพงเมืองปราณกระบี่ทุกคน รวมไปถึงเหล่าผู้อาวุโสที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับหนิง เหยาสองแซ่ ต่างก็ไม่เห็นดีว่าหนิงเหยาจะมีอนาคตอะไรกับคนต่างถิ่น แล้วนับประสาอะไรกับเรื่องราวที่ใหญ่ที่สุดซึ่งเด็กหนุ่มที่ฝึกหมัดอยู่บนหัวกำแพงทิ้งไว้ในปีนั้นก็หนีไม่พ้นเรื่องที่เขาพ่ายแพ้ให้กับเฉาสือถึงสามครั้งติดกัน นอกจากนี้ผู้ฝึกตนของใต้หล้าไพศาล เมื่อเปรียบเทียบกับวิถีทางโลกของกำแพงเมืองปราณกระบี่แล้ว ชีวิตของพวกเขาก็ถือว่าสงบสุขมั่นคงอย่างมาก การเติบโตของหนิงเหยานั้นรวดเร็วอย่างถึงที่สุด คนที่คู่ควรกับนางในกำแพงเมืองปราณกระบี่ แต่ไหนแต่ไรมาก็มีเพียงคนประเภทเดียว นั่นคือระหว่างชายและหญิง ขอบเขตใกล้เคียงกัน พลังพิฆาตเท่าเทียมกัน!
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “มีโอกาสก็มาประลองฝีมือกันได้”
เยี่ยนจั๋วมองหนิงเหยาแวบหนึ่งแล้วก็ส่ายหน้าเป็นกลองป๋องแป๋ง “มิกล้าๆ”
หนิงเหยาเอ่ยเสียงเบาว่า “เจ้าเพิ่งจะขอบเขตหก ไม่ต้องสนใจพวกเขา เจ้าคนพวกนี้กินอิ่มก็เลยว่างงาน”
เฉินผิงอันกลั้นยิ้ม “แสร้งทำเป็นขอบเขตเดินทางไกลค่อนข้างยาก แต่แสร้งทำเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตหกจะมีอะไรยาก”
ผลกลับถูกหนิงเหยาใช้ศอกถองเข้าที่เอวอีกรอบ แล้วพูดอย่างเดือดดาลว่า “หลอกข้าสนุกนักหรือ?”
คราวนี้นางโกรธจริงๆ แล้ว
พวกเยี่ยนจั๋วเงียบกริบราวจักจั่นในหน้าหนาว
เฉินผิงอันคว้ามือของนางเอาไว้ เอ่ยเสียงเบาว่า “ยามที่ออกนอกบ้าน ข้าเคยชินที่จะกดขอบเขตไว้อยู่แล้ว หากอยู่ที่ใต้หล้าไพศาล ตอนนี้ข้าก็คือผู้ฝึกยุทธขอบเขตห้า ขอบเขตเดินทางไกลทั่วไปล้วนมองจริงเท็จไม่ออก สัญญาสิบปี ตกลงกันไว้แล้วว่าข้าต้องเลื่อนเป็นขอบเขตร่างทองก่อนถึงจะมาพบเจ้าได้ เจ้าคิดว่าข้าทำไม่ได้งั้นหรือ? ข้าโกรธมากนะ”
หนิงเหยามองเขา เจ้าเฉินผิงอันโกรธ? ถ้าอย่างนั้นรอยยิ้มเจ้าที่คลี่เต็มใบหน้าของเจ้านี่คืออะไร? คนเลวชิงฟ้องก่อนแล้วยังคิดว่าตัวเองมีเหตุผลอีกใช่ไหม? หนิงเหยาเหม่อมองเฉินผิงอันที่คล้ายจะแปลกหน้าแต่ก็คุ้นเคยอย่างมากตรงหน้า ไม่ได้พบกันเกือบสิบปี เขาปักปิ่นหยกบนมวยผม สวมชุดสีเขียว และยังคงสะพายกระบี่เล่มหนึ่ง ยามมองเขา แม้แต่ตนก็ยังต้องแหงนหน้านิดๆ ขนบธรรมเนียมประจำใต้หล้าไพศาล นางหนิงเหยาจะไม่รู้เชียวหรือ? ปีนั้นนางเดินทางเพียงลำพังก็ท่องเที่ยวไปเกินครึ่งของอาณาเขตเก้าทวีปใหญ่ นางหรือจะไม่รู้ว่าบุรุษที่พอจะหน้าตาดีหน่อย เดินทางอยู่ในยุทธภพได้ไกลหน่อย มักจะต้องเจอสตรีคนรู้ใจที่ไม่เป็นแบบนี้ก็แบบนั้นอยู่เสมอ? โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองที่ยังหนุ่มขนาดนี้ ในใต้หล้าไพศาลก็มีให้พบเห็นได้ไม่มาก ด้วยนิสัยดื้อรั้นดึงดันของเขาเฉินผิงอัน ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นที่ชื่นชอบของสตรีหน้าไม่อายบางคนเลยด้วยซ้ำ
แม้ว่าเฉินผิงอันจะไม่รู้ว่าในใจของหนิงเหยาคิดอะไรอยู่ แต่ลางสังหรณ์ก็บอกกับเขาว่า หากตนไม่ทำอะไรสักอย่าง ไม่พูดอะไรสักหน่อย ชีวิตน้อยๆ นี่ก็อาจจะรักษาไว้ไม่อยู่
แต่เมื่อเฉินผิงอันมองดวงตาคู่นั้นของนางอย่างละเอียดก็ไม่เหลือคำพูดใดๆ อีก เขาเพียงแค่ก้มหน้าลง เอาหน้าผากของตัวเองชนกับหน้าผากของนางเบาๆ พลางเรียกเสียงแผ่ว “หนิงเหยา หนิงเหยา”
ระหว่างฟ้าดินไม่เหลือผู้ใด
เหลือเพียงหนิงเหยาคนเดียวเท่านั้น
หนิงเหยาเบี่ยงหน้าหลบ เอามือผลักหัวเฉินผิงอันออก ถลึงตาใส่ “เฉินผิงอัน ผีสิงร่างเจ้าหรือไง”
เฉินผิงอันเองก็รู้สึกขัดเขินเล็กน้อย
เยี่ยนจั๋วหันหน้าไปพูดด้วยสีหน้าขมขื่น “ข้าผู้อาวุโสยอมแพ้แล้ว รับไม่ไหว รับไม่ไหวจริงๆ”
เฉินซานชิวเหลือกตามองบน พึมพำว่า “ข้ามีลางสังหรณ์ร้ายอย่างหนึ่ง รู้สึกเหมือนว่าเจ้าอาเหลียงชาติสุนัขนั่นจะกลับมาอีกแล้ว”
ต่งฮว่าฝูเปิดปากพูดอย่างที่หาได้ยาก “ชอบก็คือชอบ ขอบเขตสูงไม่สูงมาเกี่ยวอะไรด้วย”
เตี๋ยจ้างพยักหน้ารับ “ข้าเองก็รู้สึกว่าไม่เลว เหมาะสมกับพี่หญิงหนิงอย่างมาก แต่วันหน้าหากพวกเขาสองคนออกจากบ้านจะทำอย่างไร ตอนนี้ไม่มีสงครามให้รบ คนหลายคนอยู่ว่างจนกระสับกระส่าย ง่ายที่จะหาความยุ่งยากมาให้ หรือพี่หญิงหนิงจะต้องพาเขาหลบอยู่ในเรือนตลอด หรือไม่ก็แอบไปอยู่บนหัวกำแพง? แบบนั้นคงไม่ดีหรอกกระมัง”
เฉินผิงอันพลันหันมาพูดกับพวกเขาว่า “ขอบใจพวกเจ้าที่คอยอยู่เคียงข้างหนิงเหยามาโดยตลอด”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!