กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 576

สรุปบท บทที่ 576.3 ออกหมัดในสถานที่ที่มีผู้ฝึกกระบี่มากมายดุจก้อนเมฆ: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!

สรุปตอน บทที่ 576.3 ออกหมัดในสถานที่ที่มีผู้ฝึกกระบี่มากมายดุจก้อนเมฆ – จากเรื่อง กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet

ตอน บทที่ 576.3 ออกหมัดในสถานที่ที่มีผู้ฝึกกระบี่มากมายดุจก้อนเมฆ ของนิยายกำลังภายในเรื่องดัง กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดยนักเขียน Internet เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง

สายตาเฉินผิงอันใสกระจ่าง คำพูดและจิตใจยิ่งมั่นคงมากขึ้นเรื่อยๆ “หากเป็นเมื่อสิบปีก่อน แล้วข้าพูดคำพูดแบบเดียวกันนี้ นั่นก็ต้องเรียกว่าไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ คือเด็กหนุ่มที่ยังไม่เคยผ่านการขัดเกลาจากความทุกข์ยากมาก่อน ถึงได้รู้สึกเพียงว่าการชื่นชอบใครแล้วไม่สนใจสิ่งใดก็คือความชื่นชอบที่แท้จริง คือความสามารถแล้ว แต่สิบปีให้หลัง ข้าไม่เคยหยุดยั้งทั้งการฝึกตนและฝึกฝนจิตใจ เดินทางผ่านภูเขาสายน้ำของสามทวีปเป็นระยะทางนับสิบล้านลี้ แล้วมาพูดประโยคนี้อีกครั้ง ก็คือเฉินผิงอันที่ในครอบครัวไร้ผู้อาวุโสคอยอบรมด้วยความจริงใจ จึงเติบโตมาด้วยตัวเอง รู้และเข้าใจเหตุผล พิสูจน์ได้แล้วว่าข้าสามารถดูแลตัวเองให้ดีได้ ถ้าอย่างนั้นก็สามารถเริ่มทดลองหันมาดูแลสตรีที่ตัวเองรักได้บ้างแล้ว”

สุดท้ายเฉินผิงอันยิ้มบางๆ “ป๋ายหมัวมัว ท่านปู่น่าหลัน ข้าเป็นคนคิดมากมาตั้งแต่เด็ก ชอบไปหลบอยู่เพียงลำพังแล้วชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสีย คอยสังเกตดูจิตใจของผู้อื่น มีเพียงเรื่องของหนิงเหยาเท่านั้นที่นับตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้พบหน้านาง ข้าก็ไม่เคยคิดมาก เรื่องนี้ข้าเองก็รู้สึกว่าไม่มีเหตุผลให้อธิบาย ไม่อย่างนั้นปีนั้นเด็กหนุ่มแห่งตรอกหนีผิงที่ร่อแร่ใกล้ตาย เหตุใดถึงได้ใจกล้าถึงขนาดกล้าไปชอบแม่นางหนิงที่ราวกับอยู่สูงสุดขอบฟ้าได้? ภายหลังยังกล้าอาศัยข้ออ้างว่ามาส่งกระบี่ มาพบหนิงเหยาที่ภูเขาห้อยหัว? ครั้งนี้กล้ามาเคาะประตูใหญ่ของจวนหนิง ได้เจอหนิงเหยาแล้วก็ไม่รู้สึกดั่งวัวสันหลังหวะ พบกับผู้อาวุโสทั้งสองท่านแล้วก็ยิ่งไร้ความละอาย”

หญิงชราพยักหน้ารับ “พูดมาถึงขั้นนี้ นับว่าเพียงพอแล้ว หญิงแก่อย่างข้าไม่จำเป็นต้องพูดอะไรมากอีกแล้ว”

นางมองไปทางน่าหลันเย่สิง

เดิมทีน่าหลันเย่สิงอยากจะปิดปากเงียบ คิดไม่ถึงว่าในสายตาของหญิงชราคล้ายจะมีคำพูดซ่อนอยู่ น่าหลันเย่สิงที่ใคร่ครวญคำพูดอยู่ครู่หนึ่ง จึงเอ่ยว่า “พูดได้ไม่เลว แต่หลังจากนี้จะทำอย่างไร ข้ากับป๋ายเลี่ยนซวงจะคอยจับตามอง จะให้คุณหนูต้องน้อยเนื้อต่ำใจไม่ได้เด็ดขาด”

เฉินผิงอันยิ้มเจื่อนเอ่ยว่า “ในเรื่องใหญ่ๆ ผู้อาวุโสทั้งสองท่านจับตามองอย่างเข้มงวดได้เลย เพียงแต่ว่าเรื่องเล็กๆ ทั่วไปอย่างการเดินเล่นในจวนหนิง ขอร้องท่านผู้อาวุโสปล่อยผู้น้อยไปเถิด”

ป๋ายเลี่ยนซวงชี้ไปยังผู้เฒ่าที่อยู่ข้างกาย “หลักๆ แล้วเป็นเพราะคนบางคนฝึกกระบี่จนกลายเป็นคนไร้ค่า วันๆ จึงไม่มีอะไรให้ทำ”

น่าหลันเย่สิงกระแอมหนึ่งที ยกถ้วยชาที่ว่างเปล่าขึ้นมา แสร้งทำท่าจิบชาอย่างเข้าท่าเข้าทีอึกหนึ่ง แล้วจึงลุกขึ้นยืนพร้อมเอ่ยว่า “ไม่รบกวนการฝึกตนของคุณชายเฉินแล้ว”

หญิงชราพลันถามว่า “ขอข้าละลาบละล้วงถามสักคำ ไม่ทราบว่าคนที่คุณชายเฉินคิดจะให้มาเป็นแม่สื่อสู่ขอคือใคร?”

เฉินผิงอันเอ่ยเสียงเบา “คือผู้เฒ่าเซียนกระบี่ใหญ่ที่สร้างกระท่อมฝึกตนอยู่บนหัวกำแพง แต่ในใจผู้น้อยก็ไม่มั่นใจนัก ไม่รู้ว่าผู้เฒ่าเซียนกระบี่ใหญ่จะยินดีหรือไม่”

น่าหลันเย่สิงสูดลมหายใจดังเฮือก

เจ้าตัวดี ช่างใจใหญ่จริงๆ

เทพเซียนผู้เฒ่าที่ถูกอาเหลียงตั้งฉายาให้ว่าพี่ใหญ่เซียนกระบี่คนนั้น ดูเหมือนว่านับตั้งแต่วันแรกที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ถูกสร้างขึ้นมา เขาก็อยู่อาศัยบนหัวกำแพงเมืองมาโดยตลอด ไม่เคยขยับตัวไปไหน ต่อให้เป็นเรื่องใหญ่อย่างการแต่งงานของลูกหลานผู้เป็นที่ภาคภูมิใจของตระกูลเฉินเอง หรือไม่ก็งานศพหลังจากที่เซียนกระบี่แซ่เฉินตายไป เฉินชิงตูก็ไม่เคยเดินลงจากหัวกำแพง ตลอดหมื่นปีมานี้ไม่เคยแหกกฎมาก่อน ลูกหลานสกุลเฉินแต่ละรุ่นก็ทำอะไรไม่ได้เหมือนกัน

ป๋ายเลี่ยนซวงยิ้มอย่างอารมณ์ดี “หากเรื่องนี้สำเร็จได้จริงๆ จะบอกว่าเป็นเกียรติที่ใหญ่เทียมฟ้าก็ไม่เกินจริงเลย”

เฉินผิงอันกล่าวอย่างจนใจว่า “ผู้น้อยพูดได้แค่ว่าจะพยายามทำหน้าหนาขอร้องผู้เฒ่าเซียนกระบี่ใหญ่ให้ได้ แต่กลับไม่มีความมั่นใจเลยแม้แต่น้อย เพราะฉะนั้นขอร้องป๋ายหมัวมัวและท่านปู่น่าหลันว่าอย่าตั้งความหวังกับเรื่องนี้มากเกินไปนัก หลีกเลี่ยงไม่ให้ถึงเวลานั้นผู้น้อยวางตัวไม่ถูก ไม่มีหน้าจะอยู่ต่อในจวนหนิงแล้วจริงๆ”

น่าหลันสิงเย่ยิ้มกล่าว “กล้าคิดแบบนี้ก็ถือว่าดีกว่าคนรุ่นเดียวกันไปมากแล้ว!”

ป๋ายเลี่ยนซวงหัวเราะเสียงเย็น “ในที่สุดสุนัขแก่น่าหลันก็พูดประโยคของคนกับเขาสักที”

น่าหลันเย่สิงยิ้มกล่าว “ชมเกินไปแล้วๆ”

ป๋ายเลี่ยนซวงยิ้มพูดกับเฉินผิงอันว่า “ฟังดูสิ นี่ใช่คำพูดของคนไหม? เพราะฉะนั้นคุณชายเฉิน วันหน้าเมื่อท่านอยู่กับน่าหลันเย่สิงผู้นี้ก็ไม่ต้องรู้สึกลำบากใจใดๆ ตาเฒ่าคนหนึ่งที่ฝึกกระบี่อย่างเสียเปล่า หากเป็นเรื่องของการอำพรางตัวลงมือทำเรื่องใดแทนนั้น ยังถือว่าพอจะมีความสามารถเล็กเท่าเมล็ดงาอยู่บ้าง ไม่สู้คุณชายเฉินเห็นแก่หน้าเขาสักหน่อย ให้น่าหลันเย่สิงได้สอนวิชาถนัดที่พอจะเหลือฝีมืออยู่น้อยนิดให้แก่ท่านบ้างก็ได้”

น่าหลันเย่สิงพูดอย่างขันๆ ปนฉิว “ป๋ายเลี่ยนซวง เจ้าเชิญย่ำยีผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบคนหนึ่งตามสบายเถอะ หากข้ากล้าตอบโต้แม้แต่ครึ่งคำ ก็ถือว่าข้าน่าหลันเย่สิงใจคอคับแคบ”

เฉินผิงอันรู้สึกว่าคำพูดนี้ซ่อนความรู้ยิ่งใหญ่เอาไว้ วันหน้าตนสามารถเรียนรู้ดูได้

หลังจากผู้อาวุโสทั้งสองท่านจากไป

เฉินผิงอันก็ยืนอยู่ตรงหน้าประตูเรือนเล็กที่เขาเดินมาส่งคนทั้งสอง

เฉินผิงอันไม่ได้กลับไปที่เรือน แต่ยืนอยู่ที่เดิมตรงหน้าประตู หันหน้าไปมองมุมหนึ่ง

รออยู่พักใหญ่ถึงได้มีคนเดินออกมาช้าๆ เฉินผิงอันเดินหน้าไปหา ยิ้มกล่าวว่า “บังเอิญขนาดนี้เชียว? พอข้าออกจากบ้าน เจ้าก็ฝึกตนเสร็จพอดีแล้วเดินเล่นมาถึงที่นี่”

หนิงเหยาพยักหน้ารับ “บังเอิญจริงๆ นั่นแหละ”

เฉินผิงอันอืมรับหนึ่งที “ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยอะไรหน่อยสิ ช่วยดูหน่อยว่ากระดาษหน้าต่างของห้องถูกโจรตัวน้อยเจาะเป็นรูหรือไม่”

หนิงเหยากะพริบตาปริบๆ พูดด้วยสีหน้าไร้เดียงสา “เจ้าพูดอะไรน่ะ? จวนหนิงจะมีโจรได้อย่างไร ตาลายแล้วกระมัง? แต่หากขโมยอะไรไปจริงๆ เจ้าต้องเป็นคนชดใช้นะ”

เฉินผิงอันกุมหมัดทุบลงบนหัวใจเบาๆ ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “ช่างเป็นโจรที่ร้ายกาจนัก ไม่ว่าอะไรก็ล้วนไม่ขโมยไป”

หนิงเหยาถลึงตาใส่อย่างเขินอายปนขุ่นเคือง “เฉินผิงอัน! เจ้าลองพูดจากะล่อนแบบนี้ดูอีกสิ!”

เฉินผิงอันมองการประมือของต่งฮว่าฝูและเตี๋ยจ้างอยู่สองสามที กระบี่พกของพวกเขาแบ่งออกเป็นหงจวง เจิ้นเยว่ หากพูดถึงแค่รูปแบบและขนาดเล็กใหญ่ของพวกมันก็เรียกได้ว่าต่างกันราวฟ้ากับเหวแล้ว แต่ละคนต่างก็มีกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตคนละหนึ่งเล่ม วิธีการก็แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง กระบี่บินของต่งฮว่าฝูนั้นเน้นที่ความเร็ว ส่วนกระบี่บินของเตี๋ยจ้างเน้นที่ความมั่นคง ในมือของต่งฮว่าฝูถือหงจวง หญิงสาวแขนเดียว ‘หิ้ว’ เจิ้นเยว่เล่มใหญ่ยักษ์ ทุกครั้งที่ปลายกระบี่เสียดสีหรือฟันลงบนพื้นของสนามฝึกยุทธก็จะทำให้เกิดประกายไฟแลบปลาบขึ้นเป็นระลอก หันกลับมามองต่งฮว่าฝู ออกกระบี่อย่างเงียบเชียบ เกิดริ้วกระเพื่อมเล็กอย่างถึงที่สุด

เฉินผิงอันถามเยี่ยนจั๋วหนึ่งคำถามว่าทั้งสองฝ่ายออกแรงกันคนละกี่ส่วน เจ้าอ้วนเยี่ยนตอบว่าประมาณเจ็ดแปดส่วนกระมัง ไม่อย่างนั้นป่านนี้ต้องได้เห็นเลือดของเตี๋ยจ้างแล้ว แต่เตี๋ยจ้างไม่กลัวเรื่องนี้ที่สุด นางชอบด้วยซ้ำ ส่วนใหญ่มักจะเป็นต่งถ่านดำที่ครองความได้เปรียบเล็กๆ ทั้งหมด จากนั้นขอแค่ถูกเจิ้นเยว่ในมือเตี๋ยจ้างผลักร่างเบาๆ เพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น ต่งถ่านดำก็จะต้องนอนกระอักเลือดอยู่บนพื้น คืนทุกสิ่งทุกอย่างกลับไปในคราวเดียว

เฉินผิงอันพอจะเข้าใจได้คร่าวๆ แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมองเห็นเตี๋ยจ้างที่ถือกระบี่ด้วยมือเดียวถูกกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของต่งฮว่าฝูแทงทะลุ แล้วตอนนั้นเกิดการเปลี่ยนแปลงทางลมปราณเสี้ยวหนึ่งจากบนร่างของเตี๋ยจ้าง เฉินผิงอันก็ไม่มองการฝึกปรือวิชากระบี่ของทั้งสองฝ่ายอีก แต่มานั่งยองอยู่ข้างกายเฉินซานชิวแทน

หากสมมติว่าตนเป็นคนคุมเชิงกับคนทั้งสอง จับคู่เข่นฆ่ากับใครสักคน แบ่งตัดสินเป็นตายก็ดี แบ่งแพ้ชนะก็ช่าง เขาก็ล้วนมีวิธีรับมือแล้ว

ถ้าอย่างนั้นหากมองต่อไปก็ไม่ค่อยมีความหมายสักเท่าไรแล้ว ถึงอย่างไรก็คงไม่ควรแสร้งทำเป็นหน้าซีดขาว ริมฝีปากสั่นระริก สีหน้าตื่นตระหนกต่อหน้าเจ้าอ้วนเยี่ยน แล้วยังต้องแสร้งทำเป็นว่าตัวเองแกล้งทำเป็นไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมองออกเพียงแต่ไม่พูดออกมาจริงๆ หากเปลี่ยนมาเป็นคนอื่น เฉินผิงอันคงไม่สนใจแม้แต่น้อย แต่ตอนนี้อยู่ในจวนหนิง อีกทั้งคนพวกนี้ยังเป็นสหายที่ดีที่สุดของหนิงเหยา เคยร่วมศึกใหญ่เคียงบ่าเคียงไหล่กันมาหลายครั้ง จะบอกว่าร่วมเป็นร่วมตายกันก็ยังไม่เกินไป ถ้าอย่างนั้นตนก็ควรต้องนำมาดของศาลบรรพจารย์ภูเขาลั่วพั่วมาใช้ นั่นคือต้องปฏิบัติต่อคนอื่นด้วยความจริงใจแล้ว

เฉินซานชิวที่อยู่ตรงแท่นสังหารมังกรยังคงลับกระบี่จิงซูครั้งหนึ่ง แล้วค่อยหันมาลับกระบี่อวิ๋นเหวินอีกครั้งหนึ่งด้วยท่าทางคล่องแคล่วคุ้นเคย

เฉินซานชิวหันหน้ามายิ้มถาม “คุณชายเฉิน อย่าได้ถือสาเลยนะ”

เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ นั่งยองอยู่ด้านข้าง เพ่งมองการขัดเกลาระหว่างคมกระบี่สองเล่มกับแท่นสังหารมังกรอย่างละเอียด พลางยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ข้าไม่ถือสา หากคุณชายเฉินไม่ถือสา ข้ายังช่วยลับกระบี่ให้ได้ด้วยซ้ำ”

เฉินซานชิวส่ายหน้า “แบบนั้นไม่ได้หรอก อาเหลียงเคยบอกว่า กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตก็คือรากแห่งชีวิตของผู้ฝึกกระบี่ กระบี่พกประจำกายก็คือภรรยาตัวน้อยของผู้ฝึกกระบี่ มอบให้คนอื่นไม่ได้เด็ดขาด”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม เพียงแค่มองกระบี่สองเล่มนั้นค่อยๆ แทะแท่นสังหารมังกรเหมือนมดแดงย้ายภูเขาที่แทบจะมองข้ามไปได้เลย

เจ้าอ้วนเยี่ยนพึมพำ “คุณชายเฉินทั้งสอง ทำไมได้ยินพวกเขาสองคนคุยกัน ข้าถึงได้ขนลุกนะ”

หนิงเหยาสีหน้าเฉยเมย

เจ้าอ้วนเยี่ยนจึงถามว่า “หนิงเหยา สรุปแล้วเจ้าหมอนี่มีขอบเขตอะไรกันแน่ คงไม่ได้เป็นผู้ฝึกตนห้าขอบเขตล่างจริงๆ หรอกกระมัง ถ้าอย่างนั้นขอบเขตวิถีวรยุทธคือเท่าไร? เป็นขอบเขตร่างทองจริงๆ หรือ? แม้ว่าข้าไม่ค่อยเห็นดีในตัวของผู้ฝึกยุทธเต็มตัวมากนัก แต่หลายปีมานี้ตระกูลเยี่ยนก็พอจะมีความสัมพันธ์กับภูเขาห้อยหัวอยู่บ้าง แล้วก็เคยคบค้าสมาคมกับผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกล ขอบเขตยอดเขา รู้ว่าคนฝึกยุทธที่สามารถเดินไปถึงขอบเขตสามหลอมจิตที่เป็นขอบเขตสูงนี้ได้ ล้วนไม่ธรรมดา แล้วนับประสาอะไรกับที่เฉินผิงอันยังหนุ่มขนาดนี้ ข้ารู้สึกคันไม้คันมือจริงๆ นะ หนิงเหยา ไม่อย่างนั้นเจ้าตอบตกลงให้ข้าประมือกับเขาดีไหม?”

นี่ก็คืออุบายเล็กๆ น้อยๆ ของเจ้าอ้วนเยี่ยนแล้ว เขาเป็นผู้ฝึกกระบี่ แล้วก็ได้สวมตำแหน่งของผู้ที่มีพรสวรรค์จริงแท้แน่นอน น่าเสียดายที่หากอยู่กับหนิงเหยาก็ไม่จำเป็นต้องพูดให้มากความ แต่เมื่ออยู่กับพวกต่งฮว่าฝูสามคน ขอแค่เป็นเรื่องการประลองวิชากระบี่ เขาก็ไม่เคยได้เปรียบมาก่อน ตอนนี้กว่าจะคว้าจับผู้ฝึกยุทธเต็มตัวที่ยังไม่เป็นขอบเขตเดินทางไกลคนหนึ่งมาได้ และสนามประลองยุทธของจวนหนิงก็แบ่งเป็นเล็กใหญ่ นั่นคือสนามที่อยู่ตรงหน้านี้ กับอีกแห่งหนึ่งที่ห่างไปไกลสักหน่อย ซึ่งที่นั่นขึ้นชื่อด้านพื้นที่ที่กว้างขวาง คือ ‘ฟ้าดินเมล็ดงา’ แห่งหนึ่งที่เลื่องลือไปทั่วกำแพงเมืองปราณกระบี่ มองดูเหมือนไม่ใหญ่ แต่เมื่อไปอยู่ในนั้นถึงจะรู้ความลี้ลับของมัน หากเขาเยี่ยนจั๋วคิดจะประมือกับเฉินผิงอัน แน่นอนว่าต้องไปที่ฟ้าดินขนาดเล็กแห่งนั้น ถึงเวลานั้นข้าเยี่ยนจั๋วขัดเกลาวิชากระบี่ของข้า ส่วนเจ้าก็ขัดเกลาวิชาหมัดของเจ้า ข้าบินอยู่บนฟ้า เจ้าวิ่งอยู่บนพื้น แบบนั้นต้องสนุกมากแน่ๆ

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!