สรุปเนื้อหา บทที่ 591.3 ฝนพรำติดต่อจนไม่รู้ว่าฤดูใบไม้ผลิกำลังจะจากไป – กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet
บท บทที่ 591.3 ฝนพรำติดต่อจนไม่รู้ว่าฤดูใบไม้ผลิกำลังจะจากไป ของ กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! ในหมวดนิยายกำลังภายใน เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย Internet อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที
ในลานประลองยุทธฟ้าดินขนาดเล็กเมล็ดงา เฉินผิงอันเรียนวิชากระบี่กับน่าหลันเย่สิง
พูดว่าเรียนกระบี่ แต่อันที่จริงแล้วยังคงเป็นการหล่อหลอมเรือนกาย คือวิธีการอย่างหนึ่งที่เฉินผิงอันคิดขึ้นมาได้เอง แรกเริ่มสุดเขาอยากให้ศิษย์พี่จั่วโย่วช่วยออกกระบี่ให้ แต่ไม่รู้ว่าเหตุใดศิษย์พี่ท่านนั้นถึงบอกว่าเรื่องเล็กๆ แค่นี้ ให้น่าหลันเย่สิงทำก็พอแล้ว ผลคือต่อให้เป็นเซียนกระบี่อย่างน่าหลันเย่สิงก็ยังลังเลตัดสินใจไม่ได้ ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดเซียนกระบี่ใหญ่จั่วถึงได้ไม่ยอมออกกระบี่
เพราะหากอิงตามคำบอกของเฉินผิงอัน ต่อให้คนที่พบเจอจะเป็นเซียนกระบี่ และเฉินผิงอันก็คือผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองคนหนึ่ง แต่กระนั้นก็ยังมีความเสี่ยง อาจมีโอกาสเกิดเรื่องไม่คาดคิดได้อยู่ดี
หากไม่ทันระวัง เฉินผิงอันก็ต้องนอนล้มป่วยอยู่บนเตียงนานเป็นเดือน นี่โหดร้ายยิ่งกว่าการรอให้เนื้องอกขึ้นมาบนกระดูกขาวหลังจากฝึกเสร็จมากนัก
เฉินผิงอันหวังว่าน่าหลันเย่สิงจะออกกระบี่ตามลำดับ จากบนลงล่าง เพื่อให้สอดคล้องกับ ‘ยี่สิบสี่ช่วงสภาพอากาศ’ ช่วยขัดเกลาช่องโพรงน้อยใหญ่ของเรือนกายมนุษย์ตามกระดูกสันหลังมังกรใหญ่
เริ่มจากจิ่งฉุย ต้าฉุย เถาเต้า เซินจู้ เสินเต้า หลิงไถ จื้อหยาง จงซู เสวียนซู มิ่งกวาน เยาหยางกวาน (คือช่องโพรงลมปราณซึ่งเริ่มจากจุดจิ่งฉุยก็คือไล่ตั้งแต่ต้นคอลงมาตามกระดูกสันหลังเป็นลำดับ กระทั่งถึงเยาหยางกวานก็คือจุดโค้งแอ่นของเอว) …ช่องโพรงที่สำคัญเหล่านี้ต้องจำเป็นต้องออกกระบี่เป็นพิเศษ ใช้ปราณกระบี่และปณิธานกระบี่หล่อหลอมเส้นทางและด่านต่างๆ เหล่านี้
เพราะยังต้องร่วมกับการไหลเวียนของมังกรเพลิงที่เป็นปราณแท้จริงบริสุทธิ์กลุ่มนั้น จึงไม่มีทางที่เฉินผิงอันจะยืนนิ่งไม่ขยับ นั่นคือการฝึกแบบตายตัวจนถึงขั้นตายได้ บวกกับด้านในช่องโพรงลมปราณแต่ละแห่งมีปราณวิญญาณเหลืออยู่มากน้อยไม่เท่ากัน ดังนั้นจึงยิ่งทดสอบระดับความแม่นยำในการออกกระบี่ของน่าหลันเย่สิง
หนิงเหยานั่งอยู่ในศาลาตรงแท่นสังหารมังกร วันนี้ต่งปู้เต๋อมาเป็นแขกที่จวนหนิงพร้อมกับต่งฮว่าฝู นางบอกว่าอยากจะขอตราประทับชิ้นหนึ่งจากเฉินผิงอัน ร้านของเจ้าอ้วนเยี่ยนนั่นใจดำเกินไป ไม่สู้มาขอซื้อจากเฉินผิงอันตรงๆ เลยดีกว่า
การฝึกกระบี่ระหว่างเฉินผิงอันและน่าหลันเย่สิงก็ไม่ได้จงใจปิดบังอะไรต่งปู้เต๋อ
การต่อสู้สี่ครั้งติดบนถนนใหญ่ของเมื่อปีก่อน รากฐานคร่าวๆ ของเฉินผิงอัน อันที่จริงตระกูลใหญ่ๆ ซึ่งมีตระกูลต่งเป็นหนึ่งในนั้นต่างก็พอจะรู้กันอยู่ในใจแล้ว
ต่งปู้เต๋อนั่งตัวเอียงฟุบตัวลงบนราวอย่างเกียจคร้าน ถามว่า “หนิงเหยา เขาฝึกกระบี่แบบนี้ เจ้าไม่สงสารบ้างเลยหรือ”
หนิงเหยาไม่ได้เอ่ยอะไร
การฝึกกระบี่ครั้งนี้น่าหลันเย่สิงระมัดระวังอย่างมาก ดังนั้นประสิทธิผลจึงไม่มากนัก
เดิมทีเฉินผิงอันก็ไม่ได้หวังว่าจะได้ประโยชน์ทันตาเห็นอยู่แล้ว เขาเดินออกจากสนามประลองยุทธมาพร้อมกับน่าหลันเย่สิง จากนั้นก็เดินขึ้นมาบนหน้าผาสังหารมังกรเพียงลำพัง
ต่งปู้เต๋อบอกว่านางและเพื่อนสนิทหลายคนต่างก็อยากได้ตราประทับมาไว้ใช้กันคนละหนึ่งชิ้น ตัวอักษรพวกนางไม่รู้ว่าควรจะสลักคำว่าอะไร จึงมอบอำนาจให้เฉินผิงอันเป็นคนตัดสินใจแทน ต่งปู้เต๋อยังเอาหยกขาวสามก้อนที่มากพอจะสลักเป็นตราประทับมาด้วย บอกว่าตราประทับหนึ่งชิ้นราคาหนึ่งเหรียญเงินร้อนน้อย วัสดุที่เหลืออจากการนำมาแกะเป็นตราประทับ ก็คือว่าเป็นค่าแรงของเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันไม่ใช่คนโง่สักหน่อย มีเงินที่ไหนหาได้ง่ายแบบนี้บ้าง? ดังนั้นจึงรีบมองไปทางหนิงเหยา หนิงเหยาพยักหน้าให้ เขาถึงได้ตอบตกลง ภาพนี้ทำเอาต่งปู้เต๋ออิจฉาแทบแย่ ส่งเสียงจุ๊ๆ แต่กลับไม่เอ่ยอะไร
ต่งปู้เต๋อมาเยือนครั้งนี้ยังเล่าเรื่องน่าสนใจเรื่องหนึ่งที่พอจะมีความเกี่ยวข้องกับจวนหนิงอยู่บ้าง ช่วงนี้ที่ภูเขาห้อยหัวมีผู้ฝึกตนจากราชวงศ์ใหญ่บางแห่งในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางเดินทางมาฝึกประสบการณ์ โดยมีเซียนกระบี่ท่านหนึ่งที่ในอดีตเคยมาสังหารปีศาจที่นี่เป็นผู้นำและคอยช่วยคุ้มกัน ผู้ฝึกลมปราณขอบเขตก่อกำเนิดคนหนึ่งรับผิดชอบในเรื่องกิจธุระต่างๆ นำพาผู้มีพรสวรรค์อายุน้อยเจ็ดแปดคนที่มาจากต่างสำนักต่างภูเขา หมายจะมาฝึกกระบี่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ คาดว่าคงจะอยู่นานถึงสามปีห้าปี ว่ากันว่าคนที่อายุน้อยสุดเพิ่งจะสิบสองปี อายุมากสุดก็เพิ่งจะสามสิบต้นๆ
พอมาถึงภูเขาห้อยหัวก็ไปพักอยู่ในสวนดอกเหมยซึ่งเป็นหนึ่งในสี่จวนส่วนตัวที่มีชื่อเสียงทัดเทียมกับจวนหยวนโหรวทันที แค่นี้ก็รู้แล้วว่ามีประวัติความเป็นมาไม่ธรรมดา
คนรุ่นเยาว์ของกำแพงเมืองปราณกระบี่อย่างพวกต่งปู้เต๋อนี้ ภูเขาใหญ่จะมีอยู่สามลูก พวกหนิงเหยาต่งถ่านดำคือกลุ่มหนึ่ง แน่นอนว่าตอนนี้ในกลุ่มยังมีเฉินผิงอันเพิ่มมาอีกหนึ่งคน
จากนั้นก็เป็นกลุ่มของพวกฉีโซ่ว แล้วจึงตามมาด้วยกลุ่มของผังหยวนจี้ เกาเหย่โหว เมื่อเทียบกับสองกลุ่มแรกจะค่อนข้างกระจัดกระจาย รวมกลุ่มกันไม่ได้แข็งแกร่งมากนัก
ผู้ฝึกกระบี่อายุน้อยเหล่านี้ ส่วนใหญ่มีชาติกำเนิดมาจากหมู่ชาวบ้านร้านตลาด แต่ขอแค่มีคนออกคำสั่ง ผู้ที่ยินดีมารวมตัวกัน ไม่ว่าจะเป็นจำนวนคนหรือกำลังการต่อสู้ก็ล้วนมิอาจดูแคลน
ขอแค่มีคนหนุ่มสาวของใต้หล้าไพศาลมาฝึกประสบการณ์ที่นี่ ตอนแรกคือเฉาสือ ภายหลังคือเฉินผิงอัน ก็ล้วนต้องผ่านสามด่าน นี่คือกฎเก่าแก่แล้ว
แต่ใครจะเป็นคนรับผิดชอบรับมือกับการต่อสู้สามครั้งนี้ก็มีกฎเกณฑ์ที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษรอยู่เช่นกัน ยกตัวอย่างเช่นหากเป็นพวกลูกรักแห่งสวรรค์ที่มาจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางก็ล้วนต้องเป็นพวกฉีโซ่วและสหายของเขาที่ต้องรับรองแขก
ส่วนภูเขาลูกเล็กของหนิงเหยากลับไม่ค่อยชอบเข้าร่วมเรื่องนี้มากนัก บางครั้งพวกเฉินซานชิวก็จะโผล่ไปร่วมวงความครึกครื้นบ้าง แต่สิบกว่าปีที่ผ่านมา เฉินซานชิวเองก็เคยลงมืออยู่แค่สองครั้ง หนิงเหยายิ่งไม่เคยเข้าร่วมการต่อยตีเล็กๆ น้อยๆ พวกนี้
เพียงแต่ว่าก่อนหน้านี้พวกฉีโซ่วถูกเฉินผิงอันซ้อมจนหน้าม่อยคอตก อีกทั้งผังหยวนจี้เองก็ยังหนีหายนะนี้ไม่พ้น ดังนั้นสามด่านในครั้งนี้ ตามหลักแล้วต้องมีคนของฝ่ายหนิงเหยาออกหน้าถึงจะได้ การต่อสู้กับกลุ่มคนต่างถิ่นที่จับกลุ่มกันมาฝึกประสบการณ์ในกำแพงเมืองปราณกระบี่นี้ ส่วนใหญ่แล้วแต่ละฝ่ายจะส่งคนมาฝั่งละสามคน แน่นอนว่าหากในกลุ่มของสองฝ่ายนี้มีใครที่สามารถล้มสามคนด้วยกำลังของตัวเองคนเดียว นั่นต่างหากถึงจะเรียกว่าครึกครื้น
จากคนที่ถูกมองเป็นเรื่องสนุก กลายเป็นคนที่มาชมเรื่องสนุก เฉินผิงอันรู้สึกว่าน่าสนใจอย่างมาก จึงถามว่าจะจัดสนามรบไว้บนถนนใหญ่เส้นนั้น ช่วยอุดหนุนกิจการร้านเหล้าของตนหน่อยได้หรือไม่
ต่งปู้เต๋อยิ้มกล่าว “สถานที่ในการประลอง ส่วนใหญ่มักจะเป็นไปตามใจชอบ ไม่มีกฎเกณฑ์ที่แน่นอน โดยทั่วไปแล้วจะขึ้นอยู่กับความต้องการของคนสุดท้ายที่จะเฝ้าด่าน หากเจ้ายินดีลงมือ อย่าว่าแต่ถนนใหญ่เส้นนั้นเลย ไปสู้กันบนโต๊ะเหล้าร้านเตี๋ยจ้างก็ยังไม่เป็นปัญหา”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “หากข้าถูกคนอื่นทำร้ายบาดเจ็บ เงินค่าเหล้าน้อยนิดที่ได้มาไม่พอค่ายาของข้าด้วยซ้ำ ร้านเหล้าของพวกเรามีชื่อเสียงเรื่องราคาถูก เงินที่ได้มาล้วนได้มาด้วยความยากลำบากทั้งสิ้น”
รอยยิ้มของต่งปู้เต๋อมีเลศนัย
หนังหน้าของเจ้าหมอนี่ไม่ต่างจากที่คนเขาเล่าลือกันเลยจริงๆ ใช้ได้เลย
มีนักดื่มคนหนึ่งตะโกนขึ้นมาทันทีว่า “ด้วยคำพูดมีน้ำใจนี้ของเถ้าแก่ใหญ่ เอาเหล้ามาอีกกา!”
แล้วไม่นานก็มีคนพากันตะโกนว่าจะซื้อเหล้า
เตี๋ยจ้างยิ้มกล่าว “พวกเจ้าไปหยิบเองได้เลย”
เยี่ยนจั๋วชำเลืองตามองเจ้าคนที่พูดนำว่าจะซื้อเหล้าคนนั้น แล้วค่อยมองเฉินผิงอัน ใช้เสียงในใจถามว่า “หน้าม้ารึ?”
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ พลางพยักหน้ารับ ตอบว่า “ข้าจะยังจัดการเจ้าพวกตะพาบกลุ่มนี้ไม่ได้หรือไร? มีหน้าม้าอยู่ทั่วทุกหนแห่ง ป้องกันอย่างไรก็ป้องกันไม่อยู่”
จากนั้นเฉินผิงอันก็หันมาพูดกับฟ่านต้าเช่อว่า “ผู้ฝึกกระบี่ต่างถิ่นกลุ่มนี้ไม่ได้เย่อหยิ่งไม่เห็นหัวใคร ไม่ใช่ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ แต่กำลังวางแผนเล่นงานพวกเจ้า พวกเขาได้ประโยชน์ใหญ่เทียมฟ้ามาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว แล้วยังได้ชื่อเสียงมาเปล่าๆ อีกด้วย หากทั้งสามศึกล้วนเป็นโอสถทอง พวกเขาก็ต้องแพ้อย่างไม่ต้องสงสัย ดังนั้นความมั่นใจที่แท้จริงของอีกฝ่ายจึงอยู่ที่ขอบเขตชมมหาสมุทรในศึกครั้งแรก ในบรรดาผู้ฝึกกระบี่ของแผ่นดินกลางเหล่านั้นจะต้องมีผู้มีพรสวรรค์คนหนึ่งที่โดดเด่นอย่างถึงที่สุดแน่นอน ไม่เพียงแต่มีหวังว่าจะชนะในท้ายที่สุด ไม่แน่ว่าอาจจะยังชนะได้อย่างว่องไวอีกด้วย โอกาสชนะในครั้งที่สองก็มีไม่น้อย ต่อให้แพ้ก็คงไม่น่าเกลียดเกินไปนัก ถึงอย่างไรเมื่อแพ้แล้วก็ไม่มีการต่อสู้ในครั้งที่สามอยู่แล้ว พวกเจ้าจะอัดอั้นหรือไม่? ส่วนการต่อสู้ครั้งที่สาม อีกฝ่ายไม่คิดว่าจะเอาชนะเลยสักนิด ถอยไปพูดหมื่นก้าว ต่อให้อีกฝ่ายชนะได้ก็ไม่มีทางคิดจะชนะ แน่นอนว่าอีกฝ่ายก็ชนะไม่ได้จริงๆ นั่นแหละ ฟ่านต้าเช่อ เจ้าคือขอบเขตประตูมังกร เพราะฉะนั้นข้าแนะนำเจ้าว่าทางที่ดีที่สุดอย่าได้ออกศึก แต่หากเจ้ายอมรับความพ่ายแพ้ได้ก็ไม่เป็นไร”
ฟ่านต้าเช่อกล่าวอย่างเด็ดเดี่ยว “รับไม่ได้”
เฉินผิงอันยกนิ้วโป้งให้ “นับถือ ไม่เสียแรงที่เป็นสหายของเฉินซานชิว”
เฉินซานชิวกล่าวอย่างเอือมระอา “เกี่ยวอะไรกับข้าด้วย”
จากนั้นบนถนนใหญ่ก็มีคนรุ่นเยาว์หลายคนเดินตรงมา มีทั้งเด็กหนุ่มและเด็กสาว พวกเขาเดินตรงมาที่ร้านเหล้าแห่งนี้ เพียงแต่ว่าแค่มาซื้อเหล้าเท่านั้น แต่ก็มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ซื้อเหล้าภูเขาชิงเสินกาละห้าเหรียญเงินเกล็ดหิมะไป เขาเดินพลางแกะผนึกดินสูดดมกลิ่นไปด้วย แล้วจึงเอ่ยยิ้มๆ ด้วยภาษาทางการของใต้หล้าไพศาลสำเนียงทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง “ดูท่ากลับไปถึงใต้หล้าไพศาลข้าคงต้องไปเยือนถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ดูสักครั้ง บอกว่ามีคนขายเหล้าโดยเอาชื่อชิงเสินฮูหยินมาอ้าง ถึงขั้นขายมาถึงกำแพงเมืองปราณกระบี่ได้แล้ว ช่างมีความสามารถจริงๆ”
เยี่ยนจั๋วมองเฉินผิงอัน ถามว่า “ทนได้หรือ?”
เฉินผิงอันยิ้มพลางพยักหน้ารับ “ทนได้”
เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่เรือนกายสูงใหญ่หันหน้ามามองทางโต๊ะเหล้าของร้าน ยิ้มเอ่ยว่า “สายของเหวินเซิ่ง หากไม่อดทนแล้วจะยังทำอย่างไรได้อีก”
ทันใดนั้น
เด็กหนุ่มสะพายกระบี่เรือนกายสูงใหญ่ผู้นี้ก็ถูกคนชุดเขียวใช้นิ้วทั้งห้าจิกศีรษะแล้วยกขึ้นสูง คนผู้นั้นเอามือข้างหนึ่งไพล่หลัง ผินหน้ามายิ้มถามว่า “เจ้าพูดว่าอะไรนะ พูดให้ดังหน่อยสิ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!