ในลานประลองยุทธฟ้าดินขนาดเล็กเมล็ดงา เฉินผิงอันเรียนวิชากระบี่กับน่าหลันเย่สิง
พูดว่าเรียนกระบี่ แต่อันที่จริงแล้วยังคงเป็นการหล่อหลอมเรือนกาย คือวิธีการอย่างหนึ่งที่เฉินผิงอันคิดขึ้นมาได้เอง แรกเริ่มสุดเขาอยากให้ศิษย์พี่จั่วโย่วช่วยออกกระบี่ให้ แต่ไม่รู้ว่าเหตุใดศิษย์พี่ท่านนั้นถึงบอกว่าเรื่องเล็กๆ แค่นี้ ให้น่าหลันเย่สิงทำก็พอแล้ว ผลคือต่อให้เป็นเซียนกระบี่อย่างน่าหลันเย่สิงก็ยังลังเลตัดสินใจไม่ได้ ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดเซียนกระบี่ใหญ่จั่วถึงได้ไม่ยอมออกกระบี่
เพราะหากอิงตามคำบอกของเฉินผิงอัน ต่อให้คนที่พบเจอจะเป็นเซียนกระบี่ และเฉินผิงอันก็คือผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองคนหนึ่ง แต่กระนั้นก็ยังมีความเสี่ยง อาจมีโอกาสเกิดเรื่องไม่คาดคิดได้อยู่ดี
หากไม่ทันระวัง เฉินผิงอันก็ต้องนอนล้มป่วยอยู่บนเตียงนานเป็นเดือน นี่โหดร้ายยิ่งกว่าการรอให้เนื้องอกขึ้นมาบนกระดูกขาวหลังจากฝึกเสร็จมากนัก
เฉินผิงอันหวังว่าน่าหลันเย่สิงจะออกกระบี่ตามลำดับ จากบนลงล่าง เพื่อให้สอดคล้องกับ ‘ยี่สิบสี่ช่วงสภาพอากาศ’ ช่วยขัดเกลาช่องโพรงน้อยใหญ่ของเรือนกายมนุษย์ตามกระดูกสันหลังมังกรใหญ่
เริ่มจากจิ่งฉุย ต้าฉุย เถาเต้า เซินจู้ เสินเต้า หลิงไถ จื้อหยาง จงซู เสวียนซู มิ่งกวาน เยาหยางกวาน (คือช่องโพรงลมปราณซึ่งเริ่มจากจุดจิ่งฉุยก็คือไล่ตั้งแต่ต้นคอลงมาตามกระดูกสันหลังเป็นลำดับ กระทั่งถึงเยาหยางกวานก็คือจุดโค้งแอ่นของเอว) …ช่องโพรงที่สำคัญเหล่านี้ต้องจำเป็นต้องออกกระบี่เป็นพิเศษ ใช้ปราณกระบี่และปณิธานกระบี่หล่อหลอมเส้นทางและด่านต่างๆ เหล่านี้
เพราะยังต้องร่วมกับการไหลเวียนของมังกรเพลิงที่เป็นปราณแท้จริงบริสุทธิ์กลุ่มนั้น จึงไม่มีทางที่เฉินผิงอันจะยืนนิ่งไม่ขยับ นั่นคือการฝึกแบบตายตัวจนถึงขั้นตายได้ บวกกับด้านในช่องโพรงลมปราณแต่ละแห่งมีปราณวิญญาณเหลืออยู่มากน้อยไม่เท่ากัน ดังนั้นจึงยิ่งทดสอบระดับความแม่นยำในการออกกระบี่ของน่าหลันเย่สิง
หนิงเหยานั่งอยู่ในศาลาตรงแท่นสังหารมังกร วันนี้ต่งปู้เต๋อมาเป็นแขกที่จวนหนิงพร้อมกับต่งฮว่าฝู นางบอกว่าอยากจะขอตราประทับชิ้นหนึ่งจากเฉินผิงอัน ร้านของเจ้าอ้วนเยี่ยนนั่นใจดำเกินไป ไม่สู้มาขอซื้อจากเฉินผิงอันตรงๆ เลยดีกว่า
การฝึกกระบี่ระหว่างเฉินผิงอันและน่าหลันเย่สิงก็ไม่ได้จงใจปิดบังอะไรต่งปู้เต๋อ
การต่อสู้สี่ครั้งติดบนถนนใหญ่ของเมื่อปีก่อน รากฐานคร่าวๆ ของเฉินผิงอัน อันที่จริงตระกูลใหญ่ๆ ซึ่งมีตระกูลต่งเป็นหนึ่งในนั้นต่างก็พอจะรู้กันอยู่ในใจแล้ว
ต่งปู้เต๋อนั่งตัวเอียงฟุบตัวลงบนราวอย่างเกียจคร้าน ถามว่า “หนิงเหยา เขาฝึกกระบี่แบบนี้ เจ้าไม่สงสารบ้างเลยหรือ”
หนิงเหยาไม่ได้เอ่ยอะไร
การฝึกกระบี่ครั้งนี้น่าหลันเย่สิงระมัดระวังอย่างมาก ดังนั้นประสิทธิผลจึงไม่มากนัก
เดิมทีเฉินผิงอันก็ไม่ได้หวังว่าจะได้ประโยชน์ทันตาเห็นอยู่แล้ว เขาเดินออกจากสนามประลองยุทธมาพร้อมกับน่าหลันเย่สิง จากนั้นก็เดินขึ้นมาบนหน้าผาสังหารมังกรเพียงลำพัง
ต่งปู้เต๋อบอกว่านางและเพื่อนสนิทหลายคนต่างก็อยากได้ตราประทับมาไว้ใช้กันคนละหนึ่งชิ้น ตัวอักษรพวกนางไม่รู้ว่าควรจะสลักคำว่าอะไร จึงมอบอำนาจให้เฉินผิงอันเป็นคนตัดสินใจแทน ต่งปู้เต๋อยังเอาหยกขาวสามก้อนที่มากพอจะสลักเป็นตราประทับมาด้วย บอกว่าตราประทับหนึ่งชิ้นราคาหนึ่งเหรียญเงินร้อนน้อย วัสดุที่เหลืออจากการนำมาแกะเป็นตราประทับ ก็คือว่าเป็นค่าแรงของเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันไม่ใช่คนโง่สักหน่อย มีเงินที่ไหนหาได้ง่ายแบบนี้บ้าง? ดังนั้นจึงรีบมองไปทางหนิงเหยา หนิงเหยาพยักหน้าให้ เขาถึงได้ตอบตกลง ภาพนี้ทำเอาต่งปู้เต๋ออิจฉาแทบแย่ ส่งเสียงจุ๊ๆ แต่กลับไม่เอ่ยอะไร
ต่งปู้เต๋อมาเยือนครั้งนี้ยังเล่าเรื่องน่าสนใจเรื่องหนึ่งที่พอจะมีความเกี่ยวข้องกับจวนหนิงอยู่บ้าง ช่วงนี้ที่ภูเขาห้อยหัวมีผู้ฝึกตนจากราชวงศ์ใหญ่บางแห่งในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางเดินทางมาฝึกประสบการณ์ โดยมีเซียนกระบี่ท่านหนึ่งที่ในอดีตเคยมาสังหารปีศาจที่นี่เป็นผู้นำและคอยช่วยคุ้มกัน ผู้ฝึกลมปราณขอบเขตก่อกำเนิดคนหนึ่งรับผิดชอบในเรื่องกิจธุระต่างๆ นำพาผู้มีพรสวรรค์อายุน้อยเจ็ดแปดคนที่มาจากต่างสำนักต่างภูเขา หมายจะมาฝึกกระบี่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ คาดว่าคงจะอยู่นานถึงสามปีห้าปี ว่ากันว่าคนที่อายุน้อยสุดเพิ่งจะสิบสองปี อายุมากสุดก็เพิ่งจะสามสิบต้นๆ
พอมาถึงภูเขาห้อยหัวก็ไปพักอยู่ในสวนดอกเหมยซึ่งเป็นหนึ่งในสี่จวนส่วนตัวที่มีชื่อเสียงทัดเทียมกับจวนหยวนโหรวทันที แค่นี้ก็รู้แล้วว่ามีประวัติความเป็นมาไม่ธรรมดา
คนรุ่นเยาว์ของกำแพงเมืองปราณกระบี่อย่างพวกต่งปู้เต๋อนี้ ภูเขาใหญ่จะมีอยู่สามลูก พวกหนิงเหยาต่งถ่านดำคือกลุ่มหนึ่ง แน่นอนว่าตอนนี้ในกลุ่มยังมีเฉินผิงอันเพิ่มมาอีกหนึ่งคน
จากนั้นก็เป็นกลุ่มของพวกฉีโซ่ว แล้วจึงตามมาด้วยกลุ่มของผังหยวนจี้ เกาเหย่โหว เมื่อเทียบกับสองกลุ่มแรกจะค่อนข้างกระจัดกระจาย รวมกลุ่มกันไม่ได้แข็งแกร่งมากนัก
ผู้ฝึกกระบี่อายุน้อยเหล่านี้ ส่วนใหญ่มีชาติกำเนิดมาจากหมู่ชาวบ้านร้านตลาด แต่ขอแค่มีคนออกคำสั่ง ผู้ที่ยินดีมารวมตัวกัน ไม่ว่าจะเป็นจำนวนคนหรือกำลังการต่อสู้ก็ล้วนมิอาจดูแคลน
ขอแค่มีคนหนุ่มสาวของใต้หล้าไพศาลมาฝึกประสบการณ์ที่นี่ ตอนแรกคือเฉาสือ ภายหลังคือเฉินผิงอัน ก็ล้วนต้องผ่านสามด่าน นี่คือกฎเก่าแก่แล้ว
แต่ใครจะเป็นคนรับผิดชอบรับมือกับการต่อสู้สามครั้งนี้ก็มีกฎเกณฑ์ที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษรอยู่เช่นกัน ยกตัวอย่างเช่นหากเป็นพวกลูกรักแห่งสวรรค์ที่มาจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางก็ล้วนต้องเป็นพวกฉีโซ่วและสหายของเขาที่ต้องรับรองแขก
ส่วนภูเขาลูกเล็กของหนิงเหยากลับไม่ค่อยชอบเข้าร่วมเรื่องนี้มากนัก บางครั้งพวกเฉินซานชิวก็จะโผล่ไปร่วมวงความครึกครื้นบ้าง แต่สิบกว่าปีที่ผ่านมา เฉินซานชิวเองก็เคยลงมืออยู่แค่สองครั้ง หนิงเหยายิ่งไม่เคยเข้าร่วมการต่อยตีเล็กๆ น้อยๆ พวกนี้
เพียงแต่ว่าก่อนหน้านี้พวกฉีโซ่วถูกเฉินผิงอันซ้อมจนหน้าม่อยคอตก อีกทั้งผังหยวนจี้เองก็ยังหนีหายนะนี้ไม่พ้น ดังนั้นสามด่านในครั้งนี้ ตามหลักแล้วต้องมีคนของฝ่ายหนิงเหยาออกหน้าถึงจะได้ การต่อสู้กับกลุ่มคนต่างถิ่นที่จับกลุ่มกันมาฝึกประสบการณ์ในกำแพงเมืองปราณกระบี่นี้ ส่วนใหญ่แล้วแต่ละฝ่ายจะส่งคนมาฝั่งละสามคน แน่นอนว่าหากในกลุ่มของสองฝ่ายนี้มีใครที่สามารถล้มสามคนด้วยกำลังของตัวเองคนเดียว นั่นต่างหากถึงจะเรียกว่าครึกครื้น
จากคนที่ถูกมองเป็นเรื่องสนุก กลายเป็นคนที่มาชมเรื่องสนุก เฉินผิงอันรู้สึกว่าน่าสนใจอย่างมาก จึงถามว่าจะจัดสนามรบไว้บนถนนใหญ่เส้นนั้น ช่วยอุดหนุนกิจการร้านเหล้าของตนหน่อยได้หรือไม่
ต่งปู้เต๋อยิ้มกล่าว “สถานที่ในการประลอง ส่วนใหญ่มักจะเป็นไปตามใจชอบ ไม่มีกฎเกณฑ์ที่แน่นอน โดยทั่วไปแล้วจะขึ้นอยู่กับความต้องการของคนสุดท้ายที่จะเฝ้าด่าน หากเจ้ายินดีลงมือ อย่าว่าแต่ถนนใหญ่เส้นนั้นเลย ไปสู้กันบนโต๊ะเหล้าร้านเตี๋ยจ้างก็ยังไม่เป็นปัญหา”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “หากข้าถูกคนอื่นทำร้ายบาดเจ็บ เงินค่าเหล้าน้อยนิดที่ได้มาไม่พอค่ายาของข้าด้วยซ้ำ ร้านเหล้าของพวกเรามีชื่อเสียงเรื่องราคาถูก เงินที่ได้มาล้วนได้มาด้วยความยากลำบากทั้งสิ้น”
รอยยิ้มของต่งปู้เต๋อมีเลศนัย
หนังหน้าของเจ้าหมอนี่ไม่ต่างจากที่คนเขาเล่าลือกันเลยจริงๆ ใช้ได้เลย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!