กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 603

ขุนเขาที่อยู่ในทะเลสาบหัวใจของสตรีพลันมลายหาย ราวกับว่าถูกทวยเทพมาเคลื่อนย้ายออกไป ดังนั้นฟ้าดินขนาดเล็กของผู้ฝึกลมปราณหญิงจึงกลับคืนมาใสสะอาด ทะเลสาบหัวใจกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง

จิตแห่งเต๋าของผู้ฝึกตนเฒ่าก่อกำเนิดสั่นสะเทือน รู้สึกขมขื่นอย่างลึกล้ำ ทั้งอนาถทั้งระทม คิดไม่ถึงเลยว่าจากทวีปแผ่นดินกลางเดินทางไกลเป็นพันเป็นหมื่นลี้มาถึงภูเขาห้อยหัว แค่ข้อพิพาทเล็กๆ น้อยๆ กลับกลายเป็นการหาหายนะใหญ่เทียมฟ้ามาให้บรรพจารย์ของสำนักเสียได้

เด็กหนุ่มคนนั้นคือขอบเขตเซียนเหริน? หรือขอบเขตบินทะยาน?

ในใจของก่อกำเนิดเฒ่าเศร้าสลด หากผู้ฝึกตนผูกปมแค้นขึ้นมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับพวกเทพเซียนที่แท้จริงบนยอดเขาทั้งหลาย นั่นไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ที่ต่อเนื่องไปหลายปีหลายสิบปี แต่เป็นความเชื่อมโยงยาวนานร้อยปีพันปี ความอาฆาตแค้นไม่มีช่วงเวลาหยุดลง

เด็กหนุ่มหันหน้ามามองแม่นางน้อยที่ให้ตนยืมไม้เท้าเดินป่า เห็นว่าหน้าผากนางมีเหงื่อผุดซึม ร่างกายขึงเกร็ง ระหว่างหัวคิ้วคล้ายจะมีความละอายใจเล็กๆ

ชุยตงซานก็ใช้เสียงในใจยิ้มกล่าวว่า “ศิษย์พี่หญิงใหญ่ เจ้าเพิ่งจะเรียนวิชาหมัดมานานเท่าไรเอง ไม่ต้องเป็นห่วงข้า ข้าเองก็เหมือนกับอาจารย์ที่ท่องผ่านบนภูเขาล่างภูเขามาจนชินแล้ว คำพูดและการกระทำย่อมรู้หนักรู้เบา สามารถดูแลตัวเองให้ดีได้ ต่อให้ฟ้าถล่มดินทลาย ตอนนี้ก็ยังไม่ต้องให้ศิษย์พี่หญิงใหญ่แบ่งสมาธิมาเป็นห่วง ศิษย์พี่หญิงใหญ่แค่ก้มหน้าก้มตาคัดอักษรฝึกวิชาหมัดไปก็พอ”

เผยเฉียนอัดอั้นไม่เป็นสุข ใช้วิธีการรวมเสียงให้เป็นเส้นของผู้ฝึกยุทธตอบกลับไปด้วยอารมณ์ที่ไม่ใคร่จะร่าเริงนัก “แต่ข้าเป็นลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของอาจารย์พ่อนะ ในฐานะศิษย์พี่หญิงใหญ่ ยามอยู่บนภูเขาลั่วพั่วก็ควรจะดูแลหน่วนซู่และหมี่ลี่น้อยให้ดี ออกมาจากภูเขาลั่วพั่วก็ควรจะเอามาดของศิษย์พี่หญิงใหญ่ออกมา ไม่อย่างนั้นจะเรียนวิชาหมัดไปเพื่ออะไร ไม่ใช่เพื่อให้ตัวเองได้โอ้อวดบารมีอำนาจเสียหน่อย…”

ชุยตงซานยิ้มถาม “แล้วทำไมจะมีไว้ให้ตัวเองโอ้อวดบารมีอำนาจไม่ได้เล่า?”

เผยเฉียนกล่าวอย่างฉงน “ข้าท่องภูผาธาราร่วมกับอาจารย์พ่อมาเป็นระยะทางยาวไกลขนาดนั้น ไม่เห็นว่าอาจารย์พ่อจะเคยโอ้อวดเลย”

ชุยตงซานส่ายหน้าพลางยิ้มกล่าว “เพราะอาจารย์หวังว่าเจ้าจะท่องยุทธภพได้อย่างมีความสุข ทำตามใจปรารถนาได้มากหน่อย ขอแค่ไม่เกี่ยวพันกับความผิดความถูกที่ร้ายแรง ก็ควรจะให้ตัวเองมีอิสระเสรีมากสักหน่อย ทางที่ดีที่สุดคือให้บนเส้นทางนั้นมีเสียงของคนที่อยู่รอบข้างคอยปรบมือไชโยโห่ร้องอย่างตกตะลึงระคนชอบใจ บอกว่าแม่นางคนนี้มีวิชาหมัดที่สง่างามยิ่งนัก ร้ายกาจสุดๆ ไปเลย วิชากระบี่ก็ช่างเลิศล้ำ หากจอมยุทธหญิงผู้นี้ไม่ได้มาจากสำนักชั้นสูงก็ช่างเป็นเรื่องที่ไร้เหตุผลสิ้นดี”

พอเผยเฉียนคิดถึงภาพเหตุการณ์นี้ตามไปก็ให้เบิกบานใจสุดขีด

เพียงแต่ว่าพอนึกถึงกำแพงเมืองปราณกระบี่ อยู่ดีๆ เผยเฉียนก็รู้สึกเป็นกังวลใจ นางถามเสียงเบาว่า “ผ่านภูเขาห้อยหัวไปก็คือใต้หล้าอีกแห่งหนึ่งแล้ว ได้ยินว่าที่นั่นมีผู้ฝึกกระบี่มากมายนับไม่ถ้วน ผู้ฝึกกระบี่เชียวนะ แต่ละคนร้ายกาจไม่แพ้กัน คือผู้ฝึกลมปราณที่เก่งกาจที่สุดในใต้หล้านี้แล้ว พวกเขาจะรังแกคนต่างถิ่นอย่างอาจารย์พ่อของข้าหรือไม่ แม้ว่าอาจารย์พ่อจะมีวิชาหมัดสูงที่สุด มีวิชากระบี่สูงที่สุด แต่ถึงอย่างไรก็ตัวคนเดียว หากผู้ฝึกกระบี่ของที่นั่นรวมตัวกันขึ้นมา คนหลายร้อยหลายพันคนกรูกันเข้าใส่ แล้วในบรรดานั้นยังมีเซียนกระบี่อีกแปดคนสิบคนซ่อนตัวอยู่ด้วย อาจารย์พ่อจะรับมือไม่ไหวหรือไม่”

ชุยตงซานพูดไม่ออก

ไม่ว่าจะเปลี่ยนมาเป็นใครก็คงรับมือไม่ไหวทั้งนั้นกระมัง

แต่การที่เผยเฉียนคิดมากกับทุกเรื่อง อีกทั้งยังคิดถึงสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดเข้าไว้ก่อน กลับถือว่าเป็นความเคยชินที่ดี นี่คงจะเป็นเพราะนางได้เห็นและได้ยินมามาก คือการสั่งสอนโดยทำตัวเป็นแบบอย่างที่อาจารย์มีต่อนางกระมัง

หวังว่าสิ่งนี้จะไม่ใช่แค่ค่อยๆ เติบโตภายใต้น้ำค้างท่ามกลางสายลมวสันต์ ท่ามกลางขุนเขาเขียวสายน้ำใสเท่านั้น

แต่ในค่ำคืนมืดมิด ท่ามกลางโคลนตมเละเหลวหรือไม่ก็ในผืนดินแห้งแล้ง จะมีดอกไม้ดอกหนึ่งงอกงามขึ้นมา ฟ้ายังไม่สว่าง แสงอรุณยังไม่ส่องมาถึง บุปผาก็ผลิดอกเบ่งบานแล้ว

ต่อให้ลมฝนจะพัดกระหน่ำให้โค่นหัก แต่บุปผาของข้าก็จะยังผลิบานอีกครั้ง

ความหวังแท้จริงที่ใหญ่ยิ่งกว่ากลับไม่อาจผลิดอก ยิ่งไม่มีทางออกผล ชีวิตคนมากมายล้วนถูกกำหนดมาแล้วว่าจะเป็นได้แค่ต้นหญ้าเล็กๆ ต้นหนึ่ง แล้วก็ถูกกำหนดไว้แล้วว่าต้องมีวันที่ได้พบกับสายลมวสันต์ ได้อาบแสงแดดอันอบอุ่นนั้น

โลกมนุษย์เป็นเช่นนี้

เหตุใดไม่ปฏิบัติต่อกันด้วยความดีให้มาก

ผ่านมรสุมเล็กๆ ที่ตีนเขาหน้าผาหมีลู่มา เผยเฉียนก็หาข้ออ้างบอกว่าจะต้องพาชุยตงซานกลับไปที่โรงเตี๊ยมกว้านเชวี่ยให้ได้ บอกว่าวันนี้นางเดินเหนื่อยแล้ว ภูเขาห้อยหัวไม่เสียทีที่เป็นภูเขาห้อยหัว เส้นทางภูเขาทอดยาวเดินได้ยากลำบากเสียจริง นางต้องกลับไปพักผ่อนแล้ว

ชุยตงซานไม่อาจบอกกับศิษย์พี่หญิงใหญ่ตามตรงได้ว่าตนไม่ใช่ขอบเขตชมมหาสมุทร ไม่ใช่ขอบเขตถ้ำสถิต แต่แท้จริงแล้วคือขอบเขตหยกดิบ ยิ่งไม่อาจบอกได้ว่าขอบเขตหยกดิบของตนในเวลานี้เมื่อเทียบกับก่อกำเนิดของหลี่ถวนจิ่งผู้ฝึกกระบี่ของแจกันสมบัติทวีปในอดีต และเทียบกับจื่อเสวียนแห่งตำหนักหยวนหลิงของอุตรกุรุทวีปทุกวันนี้ ก็ยังไร้เหตุผลมากยิ่งกว่า

ประเด็นสำคัญคือตนบอกไปแล้วก็ใช่ว่านางจะเชื่อนี่นา

เว้นเสียจากอาจารย์เป็นคนพูด และคาดว่ายามที่แม่นางน้อยเพิ่งจะยอมเชื่อว่าเป็นความจริงก็คงเอ่ยประโยคง่ายๆ มาประโยคหนึ่งว่า พยายามให้มากขึ้นอีกหน่อย ห้ามหยิ่งทระนงลำพองตนเด็ดขาด

ขอบเขตของทุกคนนอกเหนือจากของอาจารย์พ่อ ในสายตาและในใจของเผยเฉียนแล้ว คาดว่าคงไม่ใช่ขอบเขตแท้จริงอะไรเลยกระมัง

บนเส้นทางระหว่างกลับไปยังโรงเตี๊ยมกว้านเชวี่ย ชุยตงซานร้องเอ๊ะหนึ่งทีแล้วอุทานอย่างตกตะลึงว่า “ศิษย์พี่หญิงใหญ่ บนพื้นมีเงินตกอยู่”

เผยเฉียนก้มหน้าลงมอง แล้วจึงกวาดตามองไปรอบด้านก่อน จากนั้นก็ใช้ความไวดุจฟ้าผ่าไม่ทันยกมือป้องหูยกเท้าเหยียบลงบนเหรียญเกล็ดหิมะเหรียญนั้น จากนั้นทรุดตัวลงนั่งยอง เก็บเงินขึ้นมา เทียบกับการออกหมัดแล้วยังคล่องแคล่วว่องไวยิ่งกว่า

เผยเฉียนลูบเหรียญเงินเกล็ดหิมะแล้วกล่าวอย่างตกตะลึงระคนยินดี “เหรียญที่ออกจากบ้านไปของข้า!”

ชุยตงซานตกใจสะดุ้งโหยงกระโดดถอยหลังไปหนึ่งก้าว ใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นตะลึง “บนโลกยังมีบุพเพวาสนาแบบนี้ด้วยหรือ?!”

พอไปถึงทางเลี้ยวของตรอกที่ตั้งโรงเตี๊ยมกว้านเชวี่ย เผยเฉียนที่ตั้งใจมองไปบนพื้นมาตลอดทางก็เก็บเงินเกล็ดหิมะเหรียญหนึ่งที่ไร้บ้านให้กลับมาจากร่องของแผ่นหินบนถนนได้จริงๆ คิดไม่ถึงว่าจะยังคงเป็นเหรียญที่ตนตั้งชื่อให้ นี่ก็คือวาสนาใหญ่เทียมฟ้าอีกครั้งหนึ่งแล้วนะเนี่ย

จากนั้นเผยเฉียนก็หัวเราะปากกว้าง หันหน้ามาจ้องห่านขาวใหญ่พลางพูดกลั้วหัวเราะว่า “ไม่แน่ว่าก่อนพวกเราจะเข้าไปในโรงเตี๊ยม พวกมันทั้งสามอาจได้กลับมาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันอีกครั้ง”

ชุยตงซานเอ่ย “ใต้หล้าจะมีเรื่องที่บังเอิญขนาดนี้เชียวหรือ?”

เผยเฉียนพยักหน้ารับ “มีสิ ไม่มีความบังเอิญก็แต่งหนังสือไม่สำเร็จนี่นะ” (เป็นคำเปรียบเปรยอย่างหนึ่ง ความหมายก็คือบังเอิญมาก ประจวบเหมาะอย่างมาก)

น่าเสียดายก็แต่เดินไปทั่วตรอกเล็กมารอบหนึ่งแล้ว บนพื้นกลับไม่มีเงิน แล้วก็ไม่มีความบังเอิญ

ดังนั้นเผยเฉียนจึงลากชุยตงซานไปเดินด้วยกันอีกรอบแล้วรอบเล่า ชุยตงซานเองก็มีความอดทนดีเยี่ยม แล้วก็ได้แต่เปลี่ยนความตั้งใจเดิม แอบโยนเหรียญเงินเกล็ดหิมะที่เดิมทีคิดว่าจะเอาไว้หลอกกินปลาน้อยทอดกรอบออกไป เผยเฉียนนั่งยองลงบนพื้น หยิบถุงเงินขึ้นมา ชูเหรียญเกล็ดหิมะเหรียญนั้นขึ้นสูง ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “กลับบ้านกันนะ”

ไปถึงโรงเตี๊ยม เผยเฉียนนอนฟุบตัวอยู่บนโต๊ะ ด้านหน้าวางเงินเกล็ดหิมะสามเหรียญเอาไว้ บอกให้ชุยตงซานหยิบเอาปลาน้อยทอดเหลืองอร่ามในวัตถุจื่อชื่อออกมา บอกว่าเอามาฉลองที่เงินเกล็ดหิมะของนางกลับมาบ้านซึ่งไม่รู้ว่าหล่นลงมาจากฟ้า ผุดออกมาจากดิน หรือว่ามีเท้าเดินกลับมาเองกันแน่

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!