กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 604

ยามฟ้าสาง ขยับเข้าใกล้ประตูใหญ่ของภูเขาห้อยหัว จากนั้นแค่เดินออกไปไม่กี่ก้าวก็จะข้ามผ่านใต้หล้าแห่งหนึ่งไปสู่ใต้หล้าอีกแห่งหนึ่งแล้ว แต่จ้งชิวกลับถามว่า “โปรดอภัยที่ข้าถามมาก การเดินทางไปเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ครั้งนี้ ใครเป็นผู้ช่วยเหลือ ระหว่างเดินทางกลับจะมีภัยแฝงหรือไม่”

ชุยตงซานกลับไม่คิดจะปิดบังอะไร ยิ้มเอ่ยว่า “เป็นการช่วยเหลือเล็กๆ จากเส้าอวิ๋นเหยียนเซียนกระบี่เจ้าของเรือนชุนฟาน ก็แค่ใช้เงินเปิดทางเท่านั้น ไม่มีค่าพอให้อาจารย์จ้งต้องเป็นกังวล”

แน่นอนว่าจ้งชิวไม่ได้เชื่อในคำพูดเหล่านี้ของเด็กหนุ่ม คิดจะยื่นเงินส่งให้กับเส้าอวิ๋นเหยียนของเรือนชุนฟาน ถ้าอย่างนั้นก็ต้องเคาะประตูให้อีกฝ่ายยอมเปิดประตูออกมาก่อนถึงจะได้

เพียงแต่ว่าในเมื่อชุยตงซานบอกว่าไม่มีเรื่องอะไรให้ต้องกังวล จ้งชิวจึงวางใจลงได้ ไม่อย่างนั้นทั้งสองฝ่ายที่ทุกวันนี้ถือว่ามาจากศาลบรรพจารย์เดียวกันบนภูเขาลั่วพั่ว หากมีจุดที่ต้องการให้เขาจ้งชิวออกแรงจริงๆ จ้งชิวก็ยังหวังว่าชุยตงซานจะสามารถบอกความจริงอย่างตรงไปตรงมาแก่เขาได้

สำหรับชุยตงซาน ไม่ใช่แค่เขาจ้งชิวเท่านั้นที่ประหลาดใจ อันที่จริงจ้งชิวยังมองออกว่าคนสามคนได้แก่จูเหลี่ยน เจิ้งต้าเฟิงละซานจวินเว่ยป้อ ในฐานะภูเขาลูกเล็กที่มีคุณวุฒิเก่าแก่ที่สุดของภูเขาลั่วพั่ว แท้จริงแล้วพวกเขาต่างก็ให้ความสำคัญกับความใกล้ชิดห่างเหินระหว่างตนเองกับยอดฝีมือนอกโลกที่มีรูปโฉมเป็นเด็กหนุ่มผู้นี้มากเหมือนกัน เหตุผลนั้นง่ายดายมาก ‘เด็กหนุ่ม’ ที่มีนามว่าชุยตงซานผู้นี้มีความคิดล้ำลึกเหมือนหุบเหวที่มองไม่เห็นก้นบึ้งมากเกินไป ในฐานะราชครูของหนึ่งแคว้น เขาจ้งชิวเห็นคนมานักต่อนัก ไม่ว่าจะเป็นจักรพรรดิ อัครเสนาบดี แม่ทัพหรือผู้กล้าในใต้หล้า แม้แต่จิตใจดั้งเดิมของอวี้เจินอี้ที่หันมาฝึกตนแสวงหาการเป็นเซียน เขาก็ยังมองออกอย่างทะลุปรุโปร่ง หันกลับมามองเด็กหนุ่มชุดขาวที่วันๆ ชอบเล่นสนุกเอะอะมะเทิ่งกับเผยเฉียนผู้นี้ ส่วนลึกในใจของจ้งชิวคล้ายมีลางสังหรณ์บอกกับตัวเขาเองว่า ไม่ไปสืบเสาะความคิดจิตใจของคนผู้นี้ถือเป็นแผนการอันดีเยี่ยมที่สุดแล้ว

คนเฝ้าประตูของที่แห่งนี้คือนักพรตน้อยอ่อนเยาว์ที่มีวัยวุฒิสูงเทียบเท่ากับเทียนจวินใหญ่ของภูเขาห้อยหัว เวลานี้นักพรตน้อยไม่ได้ก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสืออีกแล้ว แต่จ้องเป๋งมองประเมินคนทั้งสี่อย่างไม่คิดจะปิดบังสายตาของตัวเองแม้แต่น้อย

จากนั้นนักพรตน้อยที่เคยตบให้ลู่ไถกระเด็นออกจากหอซ่างเซียนด้วยฝ่ามือเดียวผู้นี้ก็ถามคำถามกับคนทั้งสี่ในเวลาเดียวกัน โดยถามเด็กหนุ่มชุดลัทธิขงจื๊อและแม่นางน้อยที่ถือไม้เท้าเดินป่าด้วยคำถามเดียวกัน

คำถามที่ถามจ้งชิวคือ “ยินดีขึ้นไปจุดธูปหนึ่งดอกที่หอซ่างเซียง (จุดธูป/ปักธูป) หรือไม่? หากจุดธูปได้สำเร็จก็จะสามารถอาศัยสิ่งนี้มาอยู่ในสำนักของข้า ไม่แน่ว่าหลังจากวันนี้ไปเจ้าและข้าอาจเรียกกันเป็นพี่เป็นน้อง แต่ข้าไม่อาจรับประกันได้ว่าความอาวุโสของเจ้าจะขยับขึ้นไปได้อีกก้าว เรื่องนี้จำเป็นต้องบอกกับเจ้าอย่างชัดเจนไว้แต่แรก”

หากเป็นผู้ฝึกตนทั่วไปของใต้หล้าไพศาล ก็คงจะมองคำพูดประโยคนี้เป็นโชควาสนาที่ลึกล้ำดุจฟ้าดิน

เผยเฉียนกับเฉาฉิงหล่างคือคำถามว่า “อาจารย์เจ้าเป็นใคร?”

ถามชุยตงซานว่า “เจ้าเป็นใคร?”

จ้งชิวใช้การรวมเสียงให้เป็นเส้นยิ้มตอบไปว่า “ขอบพระคุณเจินเหรินที่เมตตา แต่ข้าเป็นลูกศิษย์ของลัทธิขงจื๊อ เป็นผู้ฝึกยุทธครึ่งตัว ไม่เคยมีความคิดใดๆ ต่อวิชาตระกูลเซียนของผู้ฝึกตน”

เฉาฉิงหล่างมีสีหน้าเป็นธรรมชาติ ใช้ริ้วคลื่นในหัวใจตอบกลับไปว่า “ใต้หล้าไพศาล การสืบทอดของสำนักคือความสำคัญในสำคัญอีกที ผู้น้อยมิอาจบอกได้ ขอเจินเหรินโปรดอภัยให้ด้วย”

เกี่ยวกับคำตอบที่ถือว่ายังอยู่ในการคาดการณ์นี้ นักพรตน้อยเองก็ไม่ได้รู้สึกประหลาดใจสักเท่าไร เขาพยักหน้าถือว่าเข้าใจแล้ว ยิ่งไม่ได้อับอายจนกลายเป็นความโกรธเคือง

เห็นผู้คนสารพัดรูปแบบอยู่ในภูเขาห้อยหัวมาปีแล้วปีเล่า ช่างไร้รสชาติน่าเบื่อหน่ายยิ่งนัก ก็แค่อยากจะหาความประหลาดใจให้ตัวเองเท่านั้น

แม่นางน้อยคนนั้นถือไม้เท้าเดินป่าสีเขียวมรกตที่หล่อหลอมมาจากแส้ไม้ไผ่สีทองจากบ่อสายฟ้า นางไม่ได้เอ่ยอะไร แต่เงยหน้ามองท้องฟ้าแสร้งทำเป็นหูหนวกเป็นใบ้ ราวกับว่ารู้คำตอบจากเสียงในใจของเด็กหนุ่มคนนั้น จากนั้นนางก็ค่อยๆ ขยับเท้า สุดท้ายไปหลบอยู่ด้านหลังเด็กหนุ่มชุดขาว นักพรตน้อยหลุดหัวเราะพรืด ชื่อเสียงของตนในภูเขาห้อยหัวไม่ได้เลวร้ายสักหน่อย ไอ้เรื่องที่อาศัยอำนาจรังแกคนอื่น เขาไม่เคยทำมาก่อนสักครั้งครึ่งครั้ง มีบางครั้งที่ลงมือก็ล้วนเป็นการอาศัยมรรคกถาอันน้อยนิดและความสามารถอันเล็กน้อยของตนเท่านั้น

เพียงแต่ว่าคำตอบของเด็กหนุ่มที่สวมห่มเนื้อหนังมังสาเป็นคราบร่างของมังกรที่แท้จริงยุคบรรพกาลนั้นกลับทำให้นักพรตน้อยพูดไม่ออก อยู่ดีๆ ไอ้หมอนี่ก็เอ่ยประโยคหนึ่งขึ้นมา ทั้งไม่ได้รวมเสียงให้เป็นเส้น แล้วก็ไม่ได้เอ่ยถ้อยคำโดยใช้เสียงในทะเลสาบหัวใจ แต่พูดออกมาโดยตรงว่า “ข้าก็คือตงซานไงล่ะ”

นักพรตน้อยไม่มีอารมณ์จะตอแยอีกฝ่าย เขาก้มหน้าลงอ่านหนังสือต่อ ประตูใหญ่ด้านข้างเปิดออกด้วยตัวเอง

คนทั้งสี่คนเดินตรงไปที่ประตูใหญ่ เผยเฉียนคอยหลบอยู่ในจุดที่ห่างจากนักพรตน้อยที่สุด เวลานี้ห่านขาวใหญ่ขยับไปหนึ่งก้าว นางที่ยืนอยู่ฝั่งซ้ายมือของห่านขาวใหญ่ก็ขยับตามไปด้วย ราวกับว่าเมื่อตนมองไม่เห็นนักพรตน้อย นักพรตน้อยก็จะมองไม่เห็นตนอย่างไรอย่างนั้น

หลังจากขึ้นเรือที่นครมังกรเฒ่า ชุยตงซานก็เอ่ยเตือนเผยเฉียนแค่เรื่องเดียว ยามที่เจอกับยอดฝีมือ อย่ามองนานนัก ให้เดินอ้อมผ่านไป พยายามทำตัวให้เป็นดั่งน้ำบ่อที่ไม่ยุ่งกับน้ำคลอง

เผยเฉียนจึงถามว่าแบบไหนถึงจะถือว่าเป็นยอดฝีมือ ชุยตงซานจึงยิ้มกล่าวว่าพวกคนที่มองปราดเดียวก็เห็นว่ามีไอเมฆหมอกลอยอยู่เหนือทะเลสาบหัวใจ ก็คือยอดฝีมือ เมื่อมองไปแล้วก็ทำตัวเป็นคนตาบอดเลียนแบบเฉินหลิงจวิน แล้วค่อยทำตัวเป็นคนใบ้เลียนแบบหมี่ลี่น้อย

พอเท้าเหยียบลงพื้น ลมหายใจของจ้งชิวก็ไม่ค่อยจะราบรื่นนัก แต่ก็ไม่ได้เป็นอะไรมาก สูดลมหายใจอยู่ไม่กี่ครั้งก็กลับคืนมาเป็นปกติ

ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวที่เลื่อนขั้นเป็นขอบเขตเดินทางไกลเช่นเดียวกัน มีชาติกำเนิดมาจากพื้นที่มงคลดอกบัวและใต้หล้าไพศาล อันที่จริงกลับมีความต่างกันไม่น้อย

ในฐานะราชครู จ้งชิวสิ้นเปลืองเรี่ยวแรงและความคิดจิตใจไปมาก รอจนกระทั่งพื้นที่มงคลดอกบัวกลายเป็นพื้นที่มงคลรากบัว ไม่มีมหามรรคาคอยสยบกดทับเอาไว้อีก อีกทั้งจ้งชิวยังได้ปลดภาระของราชครูลง ไม่ว่าจะเป็นสภาพจิตใจหรือแรงใจ ล้วนถูกถางเปิดออกกว้าง อันที่จริงไม่ต้องรอให้จ้งชิวเดินเข้าไปในภูเขาลั่วพั่ว เขาก็กลายเป็นจ้งชิวสองคนแล้ว ดังนั้นเวลาสิบปีที่ผ่านมานี้ จ้งชิวได้ฝ่าทะลุคอขวดขอบเขตหกเหมือนน้ำมาคลองสำเร็จ เลื่อนขั้นเป็นขอบเขตร่างทองก่อน สุดท้ายเมื่อเหตุไม่คาดฝันหรือควรจะพูดว่าโชควาสนาปรากฏขึ้น จ้งชิวที่เป็นดั่งศาลาใกล้น้ำได้ยลจันทร์ก่อน แต่กลับไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ในศาลาก็ได้ก้าวข้ามผ่านธรณีประตูใหญ่อีกแห่งหนึ่ง

มองดูเหมือนว่าเกิดจากวาสนาและโชคชะตา แต่แท้จริงแล้วคือการสั่งสมไว้มากแล้วทยอยนำมาใช้ทีละน้อย

เฉาฉิงหล่างคือคนที่รู้สึกย่ำแย่มากที่สุด สีหน้าของเขาซีดขาวน้อย มือสองข้างที่ซ่อนอยู่ในชายแขนเสื้อพากันทำมุทราช่วยสงบจิตวิญญาณของตัวเอง

ล้วนเป็นวิชาที่อาจารย์ลู่เคยถ่ายทอดไว้ให้ในอดีตทั้งสิ้น

เผยเฉียนกลับคืนมาเป็นปกติได้เร็วกว่าเฉาฉิงหล่าง นางโคลงศีรษะด้วยท่าทางลำพองใจ เห็นไหม เส้นทางการฝึกตนของเจ้าตอไม้เฉาข้างกายผู้นี้ ช่างมีภาระหนักอึ้งบนเส้นทางยาวไกล ทำให้นางกังวลอย่างมาก

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!