ดังนั้นแม้เด็กคนนั้นจะยืนนิ่งไม่ขยับก็จริง ทว่าพื้นดินในรัศมีสิบจั้งกลับลอยตัวขึ้นมาจั้งกว่าราวกับว่ามีแท่นดินสูงขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่แห่งหนึ่งถูกดึงขึ้นมา จากนั้นเพียงเสี้ยววินาที สี่ด้านแปดทิศ ไม่เพียงแต่สนามรบที่คนทั้งสองอยู่ แม้แต่บริเวณใกล้เคียงกับหัวกำแพงเมืองซึ่งอยู่ห่างออกไป กลางอากาศสูงเหนือหัวกำแพงเมืองไปอีกร้อยจั้งพันจั้งก็มีปณิธานกระบี่บริสุทธิ์ประเภทหนึ่งที่มาจากต้นกำเนิดเดียวกันบนมหามรรคา แต่กลับไม่ใช่ปราณกระบี่ พวกมันมารวมตัวกันกลายเป็นของจริงที่จับต้องได้อย่างไม่มีลางบอกเหตุ ตัดสลับถักทอในอยู่แท่นสูงแห่งนี้ แต่ละเส้นร้อยรัดพัวพันเข้าด้วยกัน มากมายนับหมื่นเส้น ภายใต้แสงแดดสาดส่อง ปณิธานกระบี่สีขาวหิมะแต่ละเส้นส่องประกายแสงเรื่อเรือง ถักทอกันออกมาเป็นกรงขังปณิธานกระบี่แห่งหนึ่งที่คล้ายจะกักกันเด็กชายคนนั้นไว้ภายใน
คนชุดเขียวไม่ได้เลือกจะเข้าต่อสู้ประชิดตัว วินาทีก่อนที่กรงขังจะปรากฎขึ้นก็เหมือนเขาจะสัมผัสได้ถึงความผิดปกติของฟ้าดินจึงเปลี่ยนทิศทางการโคจร เพียงแต่ว่าไม่ได้หยุดยืนนิ่ง เพียงแค่ชะลอความเร็วให้ช้าลง ประหนึ่งผีเร่ร่อนในรูปลักษณ์ควันสีเขียวเส้นหนึ่งที่ล่องลอยอยู่นอกรัศมีสิบจั้งของเด็กชาย จะไม่ยอมเข้าใกล้กรงขังที่ปณิธานกระบี่เยียบเย็นอึมครึมแห่งนั้นเด็ดขาด มือทั้งคู่ของเขาถือยันต์ปึกใหญ่ไว้ฝั่งละปึก มองดูแล้วมากมายราวกับไม่มีที่สิ้นสุด เขาโยนมันออกไปง่ายๆ บ้างก็ปล่อยให้ยันต์ล่องลอยด้วยตัวเอง บ้างก็ฝังเลื่อมลงไปในพื้นดินโดยรอบ บางครั้งที่มียันต์กระดาษเหลืองขยับเข้าใกล้แท่นดินที่สูงจากพื้นชุ่นกว่าๆ นั้นก็จะถูกแสงกระบี่หยุดนิ่งที่เกิดจากการรวมตัวกันของปณิธานกระบี่คอยกรีดผ่าให้เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยอย่างเงียบเชียบ สุดท้ายเศษชิ้นส่วนของยันต์ก็ร่วงกระจายอยู่บนแท่นสูง
หลีเจินรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย “ไม่กล้าแลกชีวิตกับข้าหรือ? เจ้าช่างเป็นผู้ฝึกกระบี่ที่น่าเบื่อเสียจริง อุตส่าห์ให้โอกาสเจ้ากระโจนเข้าหาความตายอย่างกล้าหาญ กลับไม่ยอมคว้าเอาไว้ ข้าไม่ใช่ญาติของเจ้าเสียหน่อย ที่นี่ของพวกเราไม่มีประเพณีเผากระดาษเหลืองในวันชิงหมิงหรอกนะ นี่เจ้ากำลังทำอะไร?”
หลีเจินเดินหน้าไปอย่างเนิบช้า กรงขังก็เคลื่อนตามเขาไปด้วย ปณิธานกระบี่ที่เดิมทีกระจายอยู่ระหว่างฟ้าดินยิ่งขยับเข้ามารวมตัวกันมากขึ้น กรงขังยิ่งขยายใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ ไม่รู้ว่าเหตุใด ปณิธานกระบี่บรรพกาลมากมายที่อยู่บนมรรคาเดียวกันแต่กลับไม่ได้มาจากต้นกำเนิดเดียวกันทั้งหมดนอกกำแพงเมืองปราณกระบี่ บัดนี้ถึงได้เลือกจะหยุดนิ่งอย่างหาได้ยากยิ่ง ทั้งไม่ได้ไล่ตามปณิธานกระบี่ประเภทนั้นไป ผสมปนเปเป็นพวกเดียวกัน แต่ก็ไม่ได้ขัดขวางอีกฝ่ายดั่งศัตรู
เซียนกระบี่ผู้เฒ่าสองท่านที่ต่างก็เคยแกะสลักตัวอักษรไว้บนหัวกำแพงอย่างเฉินซีและฉีถิงจี้ใช้เสียงในใจคุยกัน “คือปณิธานกระบี่ที่ผู้อาวุโสกวนจ้าวเคยทิ้งไว้ในอดีต หมื่นปีที่ผ่านมานี้ไม่เคยโปรดปรานเด็กรุ่นหลังคนใดของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ก็ไม่แปลกแล้ว”
ฉีถิงจี้ขมวดคิ้วพูดเสียงหยัน “ผู้อาวุโส? คนทุเรศโสมมที่เพื่อให้เวทกระบี่ของตนเดินขึ้นสู่ที่สูงก็สามารถทรยศวิถีกระบี่เช่นนี้ คู่ควรให้เจ้าและข้าเรียกว่าผู้อาวุโสได้ด้วยหรือ?”
เฉินซีไม่อยากจะเถียงกับเขาเรื่องนี้ เพียงเอ่ยอย่างปลงปนิจจังว่า “โชคดีที่เฉินผิงอันหนีได้เร็ว ไม่อย่างหากติดอยู่ในนั้น ขนาดผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดก็ยังต้องสละเรือนกายทิ้งถึงจะมีโอกาสรอดชีวิตเสี้ยวหนึ่ง เพียงแต่ว่าเมื่อเป็นเช่นนี้จะยังต่อสู้กันอย่างไรได้ต่อ”
ฉีถิงจี้มองไปยังทิศไกล “ปณิธานหมัดของเฉินผิงอันจะขึ้นสู่ยอดเขาสูงสุดของตัวเองได้ก็ต้องมีขั้นตอนของการเก็บและปล่อย เจ้าลูกกระต่ายผู้นั้นก็ไม่ได้อยู่เฉยๆ เหมือนกัน ทั้งยังเป็นคนที่รู้จักสร้างโอกาสและคว้าโอกาสเอาไว้ในมือ ไม่อย่างนั้นหากมาถึงก็เล่นลูกไม้นี้ทันที ก็คงไม่ได้ผ่อนคลายเช่นนี้ ปณิธานกระบี่เกินครึ่งที่เหลืออยู่ย่อมต้องเข้าไปขัดขวาง ยังดีที่เฉินผิงอันเองก็ไม่ถือว่าเสียเปรียบสักเท่าไร โอกาสที่จะได้ยืมใช้มหามรรคาแห่งฟ้าดินมาขัดเกลาปณิธานที่แท้จริงของวิชาหมัด มีให้พบเห็นได้ไม่บ่อยนัก ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นแค่ค่ายกลกระบี่ที่ถูกยืมใช้ได้แค่ชั่วคราว ประคับประคองตัวได้ไม่ค่อยนานนัก”
เฉินซีส่ายหน้า “อย่าลืมล่ะว่าสถานะของอีกฝ่ายตอนนี้คืออะไร ของดีที่มีอยู่ติดกายย่อมไม่น้อยแน่นอน”
หลีเจินสาวเท้าเดินอยู่บนสนามรบอย่างผ่อนคลาย เขายิ้มเอ่ยว่า “ผ่านไปหนึ่งกระบวนท่าแล้ว ปล่อยให้เจ้าเตร็ดเตร่ส่งเดชอยู่อย่างนี้ก็ไม่ใช่เรื่อง อย่าคิดว่าอยู่ห่างจากข้าแล้วจะสามารถจัดวางค่ายกลยันต์ได้ตามใจชอบ เจ้ารู้หรือไม่ว่า คนแบบเจ้าช่างน่ารำคาญนัก คิดว่าข้าจะแค่ยืนให้เจ้าเล่นงานอย่างเดียวจริงๆ งั้นหรือ?”
เด็กคนนั้นสะบัดชายแขนเสื้อก็มีตราประทับอาคมหยกใสแวววาวชิ้นหนึ่งหลุดร่วงออกมา แล้วเขาใช้ก็เท้าเหยียบมันให้ทะลุแท่นดินสูงลงไปสัมผัสกับพื้นดินด้านล่าง
จากนั้นก็โยนกระบี่ไร้ฝักที่หักเหลือแค่ครึ่งเดียวออกมา บนตัวกระบี่มีสนิมขึ้นเขรอะ แสงกระบี่ขุ่นมัว
เด็กชายสะบัดเจดีย์วิเศษทองสัมฤทธิ์เล็กจิ๋วชิ้นหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้ออีกครั้ง ราวกับว่าจำลองแบบมาจากป๋ายอวี้จิงของใต้หล้ามืดสลัว เพียงแต่ว่าเจดีย์วิเศษอยู่ในสภาพใกล้จะแตกพังเต็มที รอยแตกร้าวเห็นได้อย่างชัดเจน สภาพไม่น่าจะใช้งานได้สักเท่าไร มีความเป็นไปได้ว่าร่ายใช้ได้แค่ครั้งเดียวเท่านั้น เจดีย์วิเศษร่วงลงไปด้านล่าง เพียงแต่ว่าเพราะน้ำหนักมีมากเกินไปจึงจมดิ่งหายเข้าไปในแผ่นดินไม่เหลือร่องรอยอีก
หลีเจินก้าวเดินไม่หยุดนิ่ง แต่ละครั้งล้วนทำเช่นนี้ นั่นคือพอโยนสมบัติตระกูลเซียนชิ้นหนึ่งออกมาแล้วเขาก็จะเหยียบมันไว้ทิ้งที่เก่า เดินไปทิ้งไปพลางพูดไปด้วยว่า “ทุกครั้งที่ข้าเหยียบลงไปก็จะมีช่องโหว่เล็กๆ หนึ่งช่อง นั่นยิ่งเป็นการเตือนเจ้าด้วยความหวังดีว่ากระบี่บินของเจ้ามิอาจฝ่าค่ายกลกระบี่มาได้ อย่างน้อยที่สุดก็สามารถฉวยโอกาสนี้บังคับกระบี่บินให้มุดลงพื้น ดูสิว่าจะสามารถทะลุจากล่างขึ้นมาแทงข้าด้านบนได้หรือไม่ เจ้ากลับดีนัก ไม่รู้จักรับน้ำใจ ยืนกรานจะรอความตายให้จงได้ เอาเถิด ถ้าอย่างนั้นก็มาดูกันว่าสรุปแล้วเจ้าจะโยนยันต์กระดาษเหลืองชิงหมิงได้มาก หรือจะเป็นสมบัติของข้าที่ช่วยเจ้ากวาดสุสานได้เร็วยิ่งกว่า”
มีครั้งหนึ่งหลีเจินโยนม้วนภาพทิ้งไปจากชายแขนเสื้อ แต่กลับพบว่าพอร่วงลงพื้นแล้วมันไม่ได้คลี่ออก แต่อันที่จริงนั่นก็ไม่ได้ถ่วงรั้งการโคจรของสมบัติอาคม แต่กระนั้นเด็กชายก็ยังทรุดตัวลงนั่งยอง จับมันคลี่ออก จึงเห็นว่าเป็นภาพสิบแปดเซียนกระบี่ที่สภาพขาดวิ่นไม่เหลือชิ้นดีแล้ว
คลี่ภาพออกแล้วหลีเจินถึงได้ลุกขึ้นแล้วเดินต่ออีกครั้ง ฝีเท้าที่ก้าวเดินเนิบช้า ทว่าทุกก้าวกลับพุ่งตัวไปได้ไกลหลายสิบจั้ง
ทุกครั้งที่หลีเจินมีความเคลื่อนไหว เส้นยาวๆ ของค่ายกลกระบี่ที่อยู่ใกล้ที่สุดก็จะอ้อมผ่านเท้าของเด็กชายไปด้วยตัวเอง หลีเจินไม่จำเป็นต้องใช้จิตสื่อถึงพวกมันเลยด้วยซ้ำ
แล้วหลีเจินก็เดินเล่นอย่างผ่อนคลายอยู่เช่นนี้ ทุกๆ ระยะสามสี่ลี้ก็จะโยนสมบัติชิ้นหนึ่งทิ้งไป สุดท้ายเพราะคิดว่าหากระดับขั้นของสมบัตินั้นแย่เกินไปจึงไม่คิดจะหยิบออกมาให้ขายขี้หน้าผู้อื่นแล้ว ในที่สุดหลีเจินก็หยุดยืนนิ่ง ยื่นสองนิ้วออกมาคีบเส้นยาวของปณิธานกระบี่เส้นหนึ่งที่หยุดลอยอยู่ตรงหน้าในแนวเฉียงห่างไปหนึ่งจั้ง เขาคีบมันแล้วเขย่าเบาๆ ก็พลันเกิดเสียงดังอื้ออึง ก่อนจะยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “สรุปแล้วเวทกระบี่ของกวนจ้าวนักโทษอาญาคนเก่าสูงส่งแค่ไหนกันแน่ ตอนนี้แม้แต่ข้าเองก็ยังยากจะจินตนาการได้ถึง ในอดีตเขาเคยเป็นบุคคลยิ่งใหญ่แบบใดที่พกกระบี่เดินขึ้นสู่ที่สูงพร้อมกับเฉินชิงตู ใช้กำลังคนเอาชนะสวรรค์ น่าเสียดายที่ข้าก็จำไม่ได้แล้ว”
คนชุดเขียวยืนอยู่ห่างไปเบื้องหน้ายี่สิบกว่าจั้ง ในที่สุดก็เลิกหนีสักที ก็ถูกนะ เพราะไม่มีความจำเป็นอีกแล้ว
หลีเจินไม่รู้จริงๆ ว่าควรจะบอกว่าคนผู้นี้โง่หรือปัญญาอ่อนกันแน่
ที่ไม่ยอมหนีเพราะเห็นว่าค่ายกลกระบี่ข้างกายตนกำลังจะสลายหายไปอย่างนั้นหรือ? อีกฝ่ายคิดจริงๆ หรือว่าค่ายกลกระบี่นี้แค่ปกป้องไม่ให้ตนโดนกระบี่บินหรือยันต์ลอบทำร้าย?
หลีเจินถาม “ใช่แล้ว เจ้าชื่อว่าอะไร?”
หลีเจินเห็นว่าเขาไม่มีท่าทีจะเปิดปากพูดก็เอ่ยอย่างเอือมระอาว่า “เจ้านี่เป็นคนอย่างไรกันแน่นะ ตำรามากมายของใต้หล้าไพศาลที่แพร่มาถึงใต้หล้าเปลี่ยวร้างต่างก็บอกไว้ว่า การช่วงชิงกันของยอดฝีมือล้วนเปิดเผยตรงไปตรงมา เจ้าเรียกขานด้วยวิชาหมัด ข้าเอ่ยทักทายด้วยกระบวนท่าวิชากระบี่ พวกมดตัวน้อยที่ดูอยู่ด้านข้างก็แค่รับผิดชอบไชโยโห่ร้อง จุ๊ปากชื่นชม แบบนั้นน่ะครึกครื้นจะตายไป จากนั้นก็เอาความสามารถก้นกรุออกมาใช้ ทำให้แต่ละคนปากอ้าตาค้างอึ้งงันเป็นไก่ไม้ สถานที่ไร้เสียงกลับเหนือกว่าสถานที่มีเสียง แต่เจ้าดูตัวเองสิ เจ้าไม่รู้สึกผิดต่อเซียนกระบี่มากมายที่ชมศึกอยู่บนหัวกำแพงบ้างหรือไร? เพราะเจ้าทำตัวเป็นคนใบ้ ข้าเลยหมดอารมณ์ไปด้วย”
ตั้งแต่ช่วงแรกที่หลีเจินเริ่มพูด ค่ายกลกระบี่ก็เริ่มสลายตัวแล้ว ปณิธานกระบี่บริสุทธิ์ที่ตัดสลับกันเริ่มหม่นหมองไร้ประกาย เพียงแต่ว่าไม่ได้หวนคืนกลับสู่ฟ้าดินทั้งอย่างนี้ แต่คล้ายกลายมาเป็นปราณวิญญาณหมอกควันที่พากันพุ่งเข้าไปในช่องโพรงต่างๆ ของเด็กชาย
หลีเจินส่งเสียงเรอดังเอิ้ก พ่นไอหมอกกลุ่มหนึ่งออกมา ล้วนเป็นปณิธานกระบี่กลุ่มเก่าที่ก่อนหน้านี้ค่อนข้างขุ่นมัว เมื่อเข้าไปในช่องโพรงของเขาแล้วก็ถูกขับออกมาจากฟ้าดินขนาดเล็กอย่างร่างกายมนุษย์
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!