หัวคิ้วของหลีเจินคลายออก เรื่องไม่คาดฝันเล็กๆ ไม่อาจส่งผลต่อทิศทางการดำเนินไปของสถานการณ์ใหญ่ได้
หลีเจินเดินนำออกมาจากบ่อสายฟ้าที่มีสมบัติบนภูเขาสิบแปดชิ้นเป็นจุดศูนย์กลางของค่ายกลก่อน กวนจ้าวที่จำแลงร่างมาจากปณิธานกระบี่ก็เดินตามมาติดๆ เซียนกระบี่ชุดดำคนอื่นๆ ก็ทยอยตามมาด้วย
หลีเจินหันหน้ามาเอ่ยว่า “ช่างเข้าใจใช้จิตหยางเดินทางไกลเป็นเวทอำพรางตาได้ดียิ่งนัก บ่อสายฟ้าแห่งนี้ ทัณฑ์ฟ้าดินสองครั้งนี้ ถือว่ามอบให้เจ้าแล้ว”
ค่าตอบแทนไม่น้อย สมบัติสิบแปดชิ้น ตาค่ายกลสิบแปดแห่ง หลังจากทัณฑ์สวรรค์ทัณฑ์ปฐพีผ่านพ้นไป วัตถุที่มีระดับขั้นเป็นสมบัติอาคมเหล่านี้จะต้องพังไปเกินครึ่ง อาวุธเซียนสองชิ้นในนั้นอย่างตราประทับอาคมห้าอสนีและเจดีย์วิเศษป๋ายอวี้จิงจำลองอาจจะไม่ถูกทำลายไปนับแต่นี้ แต่ก็จะต้อง ‘ขอบเขตถดถอย’ กลายไปเป็นระดับขั้นของสมบัติอาคมแทน
เพียงแต่ว่าเขาหลีเจินที่เป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายของท่านบรรพบุรุษ สามารถยอมรับค่าตอบแทนน้อยนิดแค่นี้ได้สบายอยู่แล้ว
เพียงแต่เรื่องไม่คาดฝันเล็กๆ น้อยๆ ที่เกิดติดกันครั้งครั้งเล่า อันดับแรกคือคนผู้นี้ออกจากหัวกำแพงเมืองมาแทนหนิงเหยา จากนั้นก็ไม่ได้เข้ามาต่อสู้ประชิดตัวเขา ทำให้กรงขังปณิธานกระบี่ที่มีปราณสังหารเข้มข้นแห่งนั้นไม่ได้เอามาใช้ประโยชน์ ตอนนี้แม้แต่เขาก็ยังถูกหลอกไปด้วย อีกฝ่ายทิ้งไว้เพียงจิตหยินที่ออกจากช่องโพรงมาคอยแบกรับทัณฑ์สวรรค์จากบ่อสายฟ้าที่มากพอจะทำให้ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบบาดเจ็บสาหัสได้ นี่ทำให้หลีเจินไม่สบอารมณ์นัก
อายุเพียงสิบสองปี แต่วาจาและการกระทำกลับกำเริบเสิบสาน ไม่เห็นหัวใคร พร่ำพูดไม่หยุดปาก เหยียบศีรษะของปีศาจใหญ่ไว้ใต้ฝ่าเท้า ยืนนิ่งไม่ขยับรับการโจมตีจากเขาหนึ่งครั้ง
คนผู้นี้กลับไม่หลงกลเขาเลยสักเรื่อง
หากเปลี่ยนมาเป็นผู้ฝึกกระบี่รุ่นเยาว์คนอื่นของกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่แต่ละคนไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ คาดว่านอกจากหนิงเหยาแล้ว คนอื่นๆ คงจะตายจนตายไปมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว
หลีเจินอดไม่ไหวหันหน้าไปมองอีกครั้ง
หลังจากที่หลีเจินพูดเปิดโปงความลับ บุรุษชุดเขียวผู้นั้นก็ไม่อำพรางตัวตนอีกต่อไป สองเท้าลอยพ้นเหนือพื้น ชายแขนเสื้อพลิ้วไสว ขยับออกห่างจากอาณาเขตของทัณฑ์ปฐพีมาเล็กน้อย เห็นเพียงว่าพอเขาพลิกหมุนข้อมือหนึ่งครั้ง ในมือก็ถือพัดพับไม้ไผ่หยกอันหนึ่งที่หุบเข้าหากัน ใช้มันตีลงบนฝ่ามือเบาๆ บนเสื้อปรากฏริ้วกระเพื่อมระลอกหนึ่ง ก่อนที่เวทอำพรางตาของชุดสีเขียวบนร่างจะสลายหายไป กลายมาเป็นชุดคลุมยาวสีขาวหิมะ คนผู้นั้นสบตาหลีเจินพลางยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “สร้างค่ายกลเอิกเกริกใหญ่โตขนาดนี้ แต่กลับทำได้แค่กักตัวจิตหยินเล็กๆ อย่างข้าเอาไว้ เสียดายไหมเล่า? จะจากไปแบบนี้น่ะหรือ? ไม่อยู่ในบ่อสายฟ้า จับตามองดูข้าสลายกลายเป็นฝุ่นควันหรืออย่างไร? ไม่กังวลว่าทัณฑ์สวรรค์จะฆ่าข้าไม่ตาย ทุกสิ่งที่ทำมาก็จะสูญเปล่าอย่างนั้นหรือ?”
คนผู้นั้นมือหนึ่งถือพัด จากนั้นก็ยกมืออีกข้างขึ้น กลางฝ่ามือยังมีร่องรอยของยันต์กระดาษสีเขียวแผ่นหนึ่งหลงเหลืออยู่ มองดูเหมือนมีดินโคลนสีเขียวเปื้อนเปรอะมือ
ก็แค่ยันต์แผ่นเดียวเท่านั้น แต่กลับทำให้อาวุธกึ่งเซียนและอาวุธเซียนหลายชิ้นของหลีเจินขอบเขตถดถอย หรือไม่ก็ถูกทำลายไปโดยตรง
ประเด็นสำคัญคือยังทำให้ร่างจริงออกไปพ้นจากพื้นที่แห่งความตายได้
เซียนกระบี่หลายคนบนหัวกำแพงต่างพากันถอนหายใจโล่งอก
ตายอย่างกล้าหาญ แต่อย่างไรก็ตายอยู่ดี
หลีเจินยิ้มกล่าว “จิตหยินก็คือจิตหยิน ไม่ใช่เวทอำพรางตาอะไร หากไม่มีอยู่แล้วก็คือไม่มีจริงๆ ดูเหมือนว่าขอบเขตผู้ฝึกตนของเจ้าจะไม่สูง แล้วนับประสาอะไรกับที่อายุยังต่ำกว่าสามสิบปี ต่อให้ขอบเขตสูงแค่ไหน แต่จะสูงกว่าหนิงเหยาและผังหยวนจี้ได้หรือ? ต่อให้มีสมบัติล้ำค่าติดกาย หรือหากมีหมื่นหนึ่งที่ทำให้เจ้าสามารถโคจรวิชาอภินิหารประหลาดต้านทานทัณฑ์ฟ้าทัณฑ์ดินได้ครู่หนึ่งจริงๆ แต่เจ้าก็ยังต้องตายอยู่ดีไม่ใช่หรือ ไม่แน่ว่าอาจมอบโชควาสนาอย่างหนึ่งให้ข้าเปล่าๆ ด้วย คนอื่นมอบให้ข้า ยังไม่แน่เสมอไปว่าข้าจะยินดีรับ แต่หากแย่งมาจากบนร่างของเจ้า ต่อให้เป็นสมบัติอาคมผุๆ ชิ้นหนึ่ง ข้าก็ยังรู้สึกว่ามีความหมายอย่างมาก”
หลีเจินค่อยๆ ออกห่างไปจากบ่อสายฟ้า เดินไปพลางหันหน้ามาเอ่ยด้วยว่า “แม้ข้าจะไม่รู้ว่าเจ้าเป็นเทพเจ้าจากฝ่ายใด และกำแพงเมืองปราณกระบี่มีคนที่น่าสนใจอย่างเจ้าตั้งแต่เมื่อไร แต่ข้ารู้ว่าหนิงเหยาแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่ได้ยินชื่อข้ามาจนหูแทบแฉะแล้ว เจ้าเป็นฝ่ายเสนอตัวมาส่งของขวัญกลับคืนแทนเฉินชิงตู หนิงเหยาไม่ห้ามปรามเจ้า เฉินชิงตูยังกล้าลงเดิมพันครั้งใหญ่ นับตั้งแต่นาทีนั้นมาข้าก็รู้แล้วว่าเจ้าต้องตายอย่างแน่นอน จ่ายค่าตอบแทนนิดหน่อยจะเป็นไรไป ไม่แน่ว่าฆ่าเจ้าอาจไม่แย่ไปกว่าสังหารหนิงเหยาเลยก็ได้”
หลีเจินชี้ไปยังจุดสูงของกำแพงเมืองปราณกระบี่ “ค่าตอบแทน? วันหน้าตลอดทั้งหัวกำแพงเมืองก็คือสถานที่ฝึกตนของข้าแล้ว”
หลีเจินมองไปยังคนหนุ่มที่ชุดขาวพลิ้วไสวแล้วโบกมือ “ไปดีล่ะ”
จิตหยินแหลกสลาย นับแต่นี้ไปจิตวิญญาณไม่ครบถ้วน สำหรับผู้ฝึกตนแล้วก็ถือว่าทิ้งโรคร้ายที่ต่อให้เป็นเทพเซียนก็ยากจะช่วยเหลือเอาไว้ พลังการต่อสู้ก็ยิ่งถูกหักลบไปเกินครึ่ง
จิตหยินตนนั้นยิ้มบางๆ ชายแขนเสื้อทั้งสองพลันสั่นสะเทือน แผ่นยันต์ประหนึ่งเมฆเคลื่อนคล้อยสายน้ำไหลที่กลบฟ้ากลบดิน ยันต์ที่ก่อนหน้านี้โยนออกไปล้วนถูกสมบัติอาคมของหลีเจินบดขยี้ให้แหลกยับไปแล้ว ไม่เป็นไร ยันต์ของข้ามีค่อนข้างมาก
ยันต์ห้าธาตุ ยันต์วิชาอสนี ยันต์รอยหิมะ ยันต์ปราณหยางส่องไฟใน ‘มหัศจรรย์ที่แท้จริงตำราสีชาด’ ยันต์ข้ามแดนที่ฉีจิ่งหลงถ่ายทอดให้ ยันต์ค้นภูเขาที่นักเรียนอย่างชุยตงซานเป็นผู้สอน รวมๆ กันแล้วไม่ต่ำกว่ายี่สิบชนิด
ก่อนหน้านี้ยันต์ทั้งหลายไม่อาจรวมตัวสร้างค่ายกลได้ แน่นอนว่าเป็นเรื่องน่าเสียดาย แต่ก็ยังสามารถอาศัยการโคจรของปราณวิญญาณในแก่นยันต์จำนวนมากที่หลงเหลืออยู่มาช่วยสำรวจดูการโคจรลมปราณในจุดที่เล็กละเอียดของทัณฑ์ฟ้าทัณฑ์ดิน
หลีเจินพลันหยุดเดิน ถามว่า “ก่อนหน้านี้เจ้าทำท่าพร้อมยอมรับความตาย เพราะจงใจล่อให้ข้ารีบทิ้งค่ายกลแห่งนี้?”
จิตหยินชุดขาวนั้นยิ้มบางๆ “เจ้าลองเดาดูสิ”
หลีเจินเอ่ยเตือนด้วยความหวังดี “ตั้งใจรับทัณฑ์สองอย่างนั้นให้ดีเถอะ อย่าลืมล่ะว่า รอให้ทัณฑ์ทั้งสองเริ่มต้นขึ้น หุ่นเชิดเซียนกระบี่เมล็ดงาที่เฝ้าพิทักษ์สมบัติทั้งสิบแปดชิ้นก็จะว่างงานแล้ว ทุกครั้งที่ออกกระบี่ล้วนเทียบเท่ากับการโจมตีอย่างเต็มกำลังของผู้ฝึกกระบี่เซียนดิน”
หลีเจินมองไปยังจุดหนึ่ง “เผยร่างจริงได้แล้วไหม?”
ก่อนหน้านี้หลีเจินแอบเล่นตุกติกบนศีรษะของเซียนกระบี่ตระกูลเยว่ หลังจากยันต์ประหลาดที่ช่วยอีกฝ่ายอำพรางลมปราณหายไปแล้ว ไม่ว่าจะไปซ่อนตัวอยู่ที่ไหนก็ไม่มีประโยชน์
จุดที่สายตาของหลีเจินมองไปมีริ้วคลื่นเหมือนลายน้ำแผ่ออกมา ก่อนที่บุรุษสวมชุดเขียวซึ่งชายแขนเสื้อสองข้างม้วนขึ้น ข้างกายมีกระบี่บินจำลองของเซียนกระบี่สองเล่มที่ภูเขาชังกระบี่อุตรกุรุทวีปเป็นผู้สร้างอย่างซ่งเจิน ไฮเหลยบินล้อมวนจะเดินออกมา
กระบี่บินสองเล่มพุ่งวูบหายไป
หลีเจินไม่เอ่ยอะไรอีก เซียนชุดดำสองท่านที่เกิดจากปณิธานกระบี่รวมตัวกันทะยานร่างออกไป แสงกระบี่ใหญ่ดุจสายรุ้ง
เท้าข้างหนึ่งของเฉินผิงอันเหยียบลงบนพื้น ร่างหายวับไปจากที่เดิม หลบพ้นแสงกระบี่ทั้งสองเส้นมาได้ เซียนกระบี่ชุดดำอีกสองท่านรุดหน้าออกมา คนหนึ่งที่ถือกระบี่ยืนอยู่เบื้องหน้าหลีเจิน ส่วนอีกคนหนึ่งร่างหายวับไปไม่เหลือเงา
มีเพียง ‘กวนจ้าว’ ร่างสูงใหญ่ที่ปณิธานกระบี่หลอมรวมกันได้เข้มข้นที่สุดจนเหมือนตัวจริงมากที่สุดที่ยังคงยืนอยู่ด้านหลังหลีเจินอยู่ตลอดเวลา
ผู้ฝึกกระบี่ที่ขอบเขตไม่สูง แต่ขณะเดียวกันก็เป็นผู้ฝึกยุทธที่ขอบเขตไม่ต่ำ?
คนผู้นี้เป็นอย่างไรกันแน่นะ?
ความไม่สบอารมณ์ในใจของหลีเจินลดหายไปหลายส่วน
ปีศาจใหญ่ฉงกวงก้มหน้าค้อมเอว ยืนอยู่ด้านหลังผู้เฒ่าชุดสีเทา ทำท่าจะพูด แต่ก็ไม่พูด
ผู้เฒ่าชุดเทายิ้มกล่าว “เมื่อใต้หล้าเปลี่ยวร้างปิดประตูลง ทุกคนก็ล้วนเป็นคนกันเอง คราวนี้หลีเจินเสียเปรียบเล็กๆ น้อยๆ ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร จะบอกว่าใครแพ้ใครชนะตั้งแต่ตอนนี้ ยังเร็วเกินไปนัก”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!