หลังจากที่เซียนชุดดำคนหนึ่งในนั้นขยับเข้ามาใกล้แล้วปล่อยหมัดกระแทกเข้าใส่ เรือนกายก็สั่นสะเทือนและจางหายไป เพียงแต่ว่าไม่นานก็มีปณิธานกระบี่เข้ามารวมตัวกันอีกครั้ง วัตถุไร้ชีวิตที่เกิดจากการรวมตัวกันของปณิธานกระบี่ก็แค่หม่นหมองลงไปเล็กน้อยเท่านั้น ยังคงออกกระบี่ได้เหมือนเดิม อีกทั้งแสงกระบี่ก็เร็วและหนักหน่วงอย่างถึงที่สุด
แล้วก็มีเซียนท่านหนึ่งถูกแสงกระบี่ของฝ่ายตัวเองกระแทกโดน จากนั้นก็เหมือนกับคนตายที่ฟื้นคืนชีพใหม่
สนามรบอีกฝั่งหนึ่งที่พลังการต่อสู้แตกต่างกันอย่างชัดเจน ทะเลเมฆที่ซุกซ่อนวิชาเวทอสนีเที่ยงแท้ลดตัวลงต่ำ แผ่นดินถูกบ่อสายฟ้ายกดึงให้สูงขึ้น เห็นได้ชัดว่าฟ้าดินกำลังจะเชื่อมต่อกัน เพื่อบดขยี้สังหารจิตหยินชุดขาวที่อยู่ตรงกลาง
เซียนชุดดำคนที่สามที่แฝงตัวอยู่ในที่มืดตลอดเวลาเผยกายหยุดยืนนิ่ง โดยไม่ทันรู้ตัว ตอนนี้จึงกลายเป็นว่ามีกันทั้งหมดสี่ฝ่าย
ชั่วเวลาเพียงลัดนิ้วมือ ผืนแผ่นดินด้านหลังเซียนชุดดำทั้งสี่ด้านพลันสั่นสะเทือน มีเทพเซียนผุดขึ้นมาจากพื้นดิน กายธรรมแห่งราชาสวรรค์ทั้งสี่ท่านตั้งตระหง่าน ประหนึ่งเทวรูปสีสันสดใสที่มีชีวิตชีวามากที่สุดบนโลกมนุษย์ เมื่อเซียนกระบี่ทั้งสี่ท่านทำมุทรากระบี่พร้อมกัน กายธรรมราชาสวรรค์ทั้งสี่ท่านก็ลืมตาขึ้นอย่างพร้อมเพรียง เผยให้เห็นดวงตาถลึงกว้างอย่างดุดันของราชาสวรรค์
เทวรูปหนึ่งในนั้นมีแสงสีทองไหลวนทั่วทั้งร่าง เป็นประกายสีสันงดงาม บนศีรษะสวมมงกุฎห้าพุทธะ (หมวกทรงตั้งห้าช่องเรียงต่อกัน แต่ละช่องจะเป็นทรงห้าเหลี่ยมปลายแหลม ด้านในมีรูปของพระพุทธเจ้าปางต่างๆ คล้ายกับหมวกที่พระถังซัมจั๋งหรือภิกษุเสวียนจั้งในเรื่องไซอิ๋วสวมใส่) สวมเสื้อเกราะสีทอง ประดับไข่มุกอัญมณี มือขวาถือธงปลายแหลม
เทพองค์หนึ่งคล้ายกับคนร่างทอง สวมเสื้อเกราะสีม่วงอมแดง ใบหน้าแสดงถึงความโกรธเกรี้ยวอย่างชัดเจน มือขวาถือหอก ปลายหอกทิ่มพื้น อีกมือหนึ่งถือกระจกวิเศษสาดส่องพื้นดิน
ส่วนกายธรรมของราชาแห่งสวรรค์อีกองค์หนึ่งนั้น แขนซ้ายข้างแนบลำตัวถือดาบ ในฝ่ามือประคองสมบัติ
องค์เทพองค์สุดท้ายมีมังกรล้อมพันอยู่รอบกาย มือขวาถือเชือกสีแดง เล่าลือกันว่าสามารถสยบราชามังกรได้ทุกตน
หลีเจินแบ่งสมาธิทำสองเรื่องในเวลาเดียวกัน ทั้งมองร่างจริงของศัตรูที่อยู่ในค่ายกล แล้วก็สำรวจตรวจตราจิตหยินหยุดขาวที่อยู่ท่ามกลางทัณฑ์ฟ้าดินอย่างละเอียดไปพร้อมกันด้วย
ราชาแห่งสวรรค์ทั้งสี่องค์ต่างก็ถือสมบัติแตกต่างกัน ใช้แสงเรืองรองของสมบัติเหล่านั้นมาแผ่ปกคลุมฟ้าดินขนาดเล็กใหม่อีกครั้ง หลังจากที่เซียนกระบี่ชุดดำทั้งสี่ท่านสร้างค่ายกลเสร็จแล้ว เรือนกายก็สลายหายไปเอง กลายมาเป็นปณิธานกระบี่ที่บริสุทธิ์หลายเสี้ยว
เฉินผิงอันปล่อยหนึ่งหมัดออกไปด้วยกระบวนท่าไอเมฆเหนือบึงใหญ่ ทำให้ม่านฟ้าของฟ้าดินขนาดเล็กสั่นสะเทือนไม่หยุด ตอนนี้จึงยังไม่มีพลานุภาพสวรรค์ลดตัวลงมาสยบพื้นดิน
ขณะเดียวกันนั้นกระบี่บินชูอีก็พุ่งออกมาจากช่องโพรงแห่งชะตาชีวิตเพื่อเข่นฆ่าปณิธานกระบี่ที่ขยับเข้ามาใกล้เรือนกาย
หลีเจินกระตุกมุมปาก ความสามารถก้นกรุของอีกฝ่ายมีไม่น้อยเลยจริงๆ กระทั่งบัดนี้ถึงเพิ่งจะถูกบีบให้เรียกออกมาต้านรับศัตรู
จิตของหลีเจินขยับไหวเล็กน้อย ‘กวนจ้าว’ ที่อยู่ด้านหลังก็เดินออกมาด้านหน้าหนึ่งก้าว ประหนึ่งองค์เทพผู้พิทักษ์ที่คอยปกป้องหลีเจิน
แสงกระบี่สีเขียวเข้มประหนึ่งสายฟ้าเส้นหนึ่งใช้ความเร็วที่เกินใครจะคาดการณ์ได้ถึงปักตรึงเข้าไปในเรือนกายของกวนจ้าวในเสี้ยววินาที ตัวกระบี่แหวกผ่านทะลุออกไปโดยตรง ปลายกระบี่ที่สั่นส่ายเบาๆ อยู่ห่างจากหว่างคิ้วของหลีเจินแค่หนึ่งฉื่อเท่านั้น
หลีเจินก้าวถอยหลังหนึ่งก้าว เรือนกายที่ล่องลอยของกวนจ้าวยิ่งรวมตัวกันหนาแน่น หมายจะยื่นสองนิ้วไปพันธนาการกระบี่บินที่ลอบโจมตีได้อำมหิตอย่างถึงที่สุดเล่มนั้น
คิดไม่ถึงว่ากระบี่บินสีเขียวที่โจมตีไม่สำเร็จจะถอยกรูดแล้วหายวับไป
คนธรรมดาที่เรือนกายอ่อนแอ ต่อให้ได้ครอบครองสมบัติอาคมบนภูเขาก็ควบคุมไม่ได้ มีแต่จะประสบเคราะห์ภัยเท่านั้น
หลักการเดียวกัน ไม่ใช่เซียนดินทุกคนที่สามารถควบคุมอาวุธกึ่งเซียนชิ้นหนึ่งได้อย่างสมบูรณ์
ส่วนเรื่องที่จะทำให้อาวุธเซียนยอมรับเป็นนายก็ยิ่งยากราวกับเดินขึ้นสวรรค์
แต่ตอนนี้ในมือของหลีเจินมีอาวุธเซียน อีกทั้งยังมีถึงสองชิ้น
หลีเจินยกฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้น คือยันต์บรรพบุรุษที่วาดเป็นภาพห้าขุนเขาที่แท้จริงทั้งหมดเอาไว้ มีนามว่ายันต์สามขุนเขา
หากเรียกใช้ก็ต้องจ่ายค่าตอบแทนมหาศาลอย่างที่ต่อให้เป็นหลีเจินก็ยังแทบกระอัก เอามาใช้รับมือกับหนิงเหยา หลีเจินตัดใจได้ แต่ให้เอามาใช้รับมือกับคนหนุ่มตรงหน้า เขากลับไม่ใคร่จะยินดีนัก
ดังนั้นหลีเจินจึงกุมมือเป็นหมัดหลวมๆ ต่อไป มืออีกข้างที่แบออกมีเม็ดกระบี่กลิ้งหลุนๆ อยู่กลางฝ่ามือ มันเคยเป็นกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของตน หรือควรจะบอกว่าเป็นของกวนจ้าวผู้นั้น ศึกบนภูเขาทัวเยว่ เดิมทีมันแตกพังไม่เหลือชิ้นดีแล้ว เพียงแต่ภูเขาทัวเยว่จ่ายค่าตอบแทนมหาศาลเพื่อหล่อเลี้ยงมันมานานนับหมื่นปี ถึงได้ค่อยๆ กลับคืนสู่จุดสูงสุด ในประวัติศาสตร์ ทุกครั้งที่มีศึกใหญ่โจมตีเมืองจะต้องมีปีศาจใหญ่ที่รับหน้าที่ใช้เวทลับบรรพกาลมาสกัดดึงเอาปณิธานกระบี่ของกวนจ้าวจากกำแพงเมืองปราณกระบี่แล้วส่งไปยังภูเขาทัวเยว่อย่างลับๆ ในบรรดาคนเหล่านั้นก็มีปีศาจใหญ่ลูกศิษย์ผู้สืบทอดของภูเขาทัวเยว่ตนนั้นที่พาตัวมาเสี่ยงอันตรายด้วยตัวเอง หมายจะขโมยปณิธานกระบี่ให้ได้มากกว่าเดิม นั่นถึงได้ถูกต่งซานเกิงร่วมมือกับเฉินซีกักตัวเอาไว้
จับตัวปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานตัวเป็นๆ ตนหนึ่ง ไม่ได้ง่ายเหมือนการสังหารปีศาจใหญ่สักตน
เมื่อหลีเจินแบมือออก เม็ดกระบี่ก็สั่นระริกเบาๆ เป็นเหตุให้ฟ้าดินรอบกายหลีเจินเริ่มบิดเบือน และกวนจ้าวเซียนกระบี่ที่เกิดจากการรวมตัวกันของปณิธานกระบี่ก็ถึงกับหันหน้ามามอง ทั้งๆ ที่มันไร้ชีวิต ทว่าเวลานี้กลับเผยแววตาซับซ้อนที่เหมือนคนอย่างมากออกมา
หลีเจินเงยหน้าขึ้น กำมือเป็นหมัดอีกครั้ง ยิ้มบางๆ เอ่ยกับ ‘กวนจ้าว’ ว่า “นี่คือของของข้า ไม่ใช่ของของเจ้า”
กวนจ้าวโบกกระบี่เบาๆ ปัดการโจมตีจากกระบี่บินสีเขียวเข้มที่โผล่มาอย่างกะทันหันทิ้งไป
หลีเจินไม่สนใจกระบี่บินที่ปรากฏตัวอย่างลึกลับอีก เขาก้าวยาวๆ ไปด้านหน้า เดินทะลุร่างมายาของกวนจ้าวไปชมศึกต่ออีกครั้ง
คนหนุ่มผู้นั้นทนมือทนเท้าได้เก่งจริงๆ กายธรรมราชาสวรรค์จ้วงทวนเข้าใส่ เขากลับยกแขนขึ้นบัง ร่างทั้งร่างที่โดนพละกำลังจากการโจมตีจึงทำให้สองขาผลุบจมเข้าไปในพื้น
บนหัวกำแพงเมือง พวกผู้มีพรสวรรค์รุ่นเยาว์แลกเปลี่ยนความเห็นโดยใช้เสียงในใจกันต่อไป
ต่งปู้เต๋อยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เป็นการประมือที่เฉินผิงอันไม่เหลือเรี่ยวแรงให้เอาคืนอีกแล้ว เอนเข้าข้างเดียว ชัยชนะเอนเข้าข้างเดียวจริงๆ”
กวอจู๋จิ่วพยักหน้ารับอย่างแรง “เจ้าเดรัจฉานน้อยผู้นั้นร้ายกาจจริงๆ สามารถเรียกตัวเองเป็นพี่เป็นน้องกับฉีโซ่วได้แล้ว วันหน้าเจอกันบนสนามรบ ก่อนทั้งสองฝ่ายจะตีกันก็สามารถระบายความรู้สึกในใจที่มีต่อกันก่อนได้”
เฉินซานชิวได้แต่ยิ้มจืดเจื่อน
การที่พวกเขาพูดจาอย่างผ่อนคลายซึ่งมองดูเหมือนแฝงอารมณ์ขันเช่นนี้ แท้จริงแล้วความรู้สึกคือตรงกันข้าม เพราะในใจของทุกคนเคร่งเครียดยิ่งนัก
ลำพังแม่หนูลวี่ตวนที่ไม่กลัวฟ้าไม่เกรงดิน เวลานี้ก็เหงื่อท่วมเต็มหน้าผาก กลัดกลุ้มใจอย่างมากแล้ว
ระหว่างที่ทะเลเมฆลดลงต่ำ ผืนดินยกขึ้นสูง ฟ้าดินยังไม่ประกบติดกันโดยสมบูรณ์นั้น บ่อสายฟ้าที่อยู่บนพื้นดินคอยขานรับกับทะเลเมฆ ทำให้มีห้าอสนีกระแทกลงใส่ผืนดิน ระหว่างฟ้าดินยิ่งมีแส้สายฟ้าเส้นยาวเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ก่อนจะผ่าลงบนพื้น พวกมันยังแยกตัวออกเป็นสายฟ้าเส้นเล็กเส้นน้อยจำนวนนับไม่ถ้วนที่แฝงไว้ด้วยสัจธรรมแท้จริงแห่งอสนีซึ่งแลบแปลบปลาบอย่างไร้ระเบียบ จิตหยินชุดขาวที่ถูกล้อมอยู่ภายในได้แต่ทะยานลมคอยหลบเลี่ยง ไม่เพียงแต่ต้องหลบเสาสายฟ้าห้าอสนีที่กระแทกครืนครั่นลงมาบนพื้น ยังต้องหลบแสงสายฟ้าวุ่นวายที่เหมือนต้นไม้แตกกิ่งก้านสาขาในเสี้ยววินาทีพวกนั้นด้วย
แต่เมื่อฟ้าและดินเชื่อมติด สองทัณฑ์ประกบซ้อน
ต้องไม่มีที่ให้หลบเลี่ยงอีกอย่างแน่นอน
หลีเจินยิ้มเอ่ยกับกายธรรมทั้งสี่ “ไม่ต้องรีบร้อน ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวที่เดิมทีมีเส้นทางวรยุทธยาวไกลผู้นี้ จะต้องค่อยๆ กลายเป็นโครงกระดูกที่ยืนค้าง ลิ้มรสชาติของการที่คนธรรมดาเป็นเทพด้วยตัวเองแน่”
เอ่ยประโยคนี้จบ หลีเจินก็เงยหน้ามองหนิงเหยา ได้ยินศิษย์พี่หญิงของภูเขาทัวเยว่บอกว่า ผู้ฝึกกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ชอบหลงกลกับดักนี้มากที่สุด
คนหนุ่มที่จิตหยินแยกจากร่างจริงอยู่ในสนามรบคนละแห่ง คาดว่าคงจะเป็นเพียงข้อยกเว้นที่มีไม่มากเท่านั้น
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!