เฉินผิงอันเงียบงันไม่เอ่ยคำใด
หมี่อวี้ที่ความคิดนับร้อยประดังประเดเข้าหาก็ยิ่งไม่พูดไม่จา
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “คนดื่มเหล้ามีนับร้อยนับพันประเภท มีเพียงเหล้าที่ไร้ความผิด ดื่มได้ไม่เป็นไร มีคำถามก็ถามได้”
หมี่อวี้ถาม “เกิดอะไรขึ้น ใต้เท้าอิ่นกวานที่อยู่บนหัวกำแพงเมืองคือใครกันแน่?”
เฉินผิงอันเอ่ย “คือยันต์ตัวตายตัวแทนที่ระดับขั้นสูงมากแผ่นหนึ่ง บวกกับเวทหุ่นเชิดอีกหนึ่งบท คือเรือนกายผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองจริงแท้แน่นอน บวกกับที่เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสช่วยปิดบังให้ข้า ดังนั้นจึงอำพรางได้ค่อนข้างดี แต่หากเป็นเพียงเท่านี้ย่อมหลอกเจ้าหมี่อวี้ไม่ได้ ซึ่งก็หมายความว่าอาจจะหลอกเลี่ยจี่ไม่ได้ ดังนั้นข้าจึงแบ่งจิตวิญญาณส่วนหนึ่งไปแปะไว้บนยันต์หุ่นเชิด ตอนอยู่บนหัวกำแพงเมือง ความหนักเบาในทุกก้าวเดิน ความช้าเร็วในทุกลมหายใจของ ‘ข้า’ ล้วนจำเป็นต้องให้ข้าที่อยู่ในคฤหาสน์หลบร้อนแห่งนี้ควบคุมอย่างระมัดระวัง ดังนั้นเวลานี้จึงบาดเจ็บไม่น้อย ซึ่งนี่ก็ไม่ใช่การเสแสร้งเช่นกัน แต่จ่ายค่าตอบแทนเล็กๆ น้อยๆ แค่นี้แล้วสามารถขุดเอาตัวคนทรยศที่อยู่นอกเหนือการคาดการณ์มาได้ อีกทั้งยังเป็นเซียนกระบี่ ก็นับว่าไม่ขาดทุน แต่ในความเป็นจริงแล้ว คนแรกที่ข้าคิดจะตกเป็นปลาตัวแรกกลับไม่ใช่เลี่ยจี่ แต่เป็นคนอื่น ส่วนจะเป็นใครนั้น ก่อนหน้านี้เจ้าติดตามอยู่ข้างกายข้ามาโดยตลอด จึงพอจะมีเบาะแสให้สืบเสาะ แต่ข้าคาดว่าเจ้าคงจะลืมไปแล้ว”
หมี่อวี้ถามหยั่งเชิง “หนึ่งในหมื่นที่เจ้าพูดถึงก่อนหน้านี้เป็นเหยื่อที่ล่อให้ปลาใหญ่ซึ่งมีขอบเขตอย่างหย่างจื่อ หวงหลวนมาติดกับ อันที่จริงก็เพราะคิดถึงการลอบโจมตีครั้งนี้ ก็เลยปูพื้นไว้ก่อนอย่างนั้นหรือ?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ผู้ฝึกกระบี่ทางฝั่งของพวกเราสามารถส่งข่าวไปแจ้งใต้หล้าเปลี่ยวร้างอย่างลับๆ ได้ แน่นอนว่าฝ่ายตรงข้ามก็แอบส่งข่าวมาให้กำแพงเมืองปราณกระบี่ได้เหมือนกัน ส่วนเหตุใดเจี่ยลี่ถึงได้กลายเป็นกบฏ เป็นเพราะเคียดแค้นใต้หล้าไพศาลมากกว่า หรือเกลียดเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสยิ่งกว่า หรือว่าตลอดทั้งกำแพงเมืองปราณกระบี่ล้วนถูกเขาชิงชัง เขาย่อมต้องมีเหตุผลเป็นของตัวเอง ไม่อย่างนั้นคงไม่ออกกระบี่เด็ดขาดขนาดนี้ เพียงแต่ว่าความวกวนอ้อมค้อมในเรื่องนี้ ข้าไม่สนใจ ถึงอย่างไรเลี่ยจี่ก็ตายไปแล้ว”
เฉินผิงอันเพิ่มน้ำหนักเสียง “คนแบบนี้ยิ่งตายไปเร็วเท่าไรก็ยิ่งดีเท่านั้น ไม่อย่างนั้นหากถึงช่วงเวลาสำคัญเขาอาจลากเซียนกระบี่ใหญ่คนสองคนให้ตายไปด้วย”
หมี่อวี้หยุดเดิน สีหน้าไม่น่ามองอย่างถึงที่สุด “ข้าถูกลากเข้ามาในสายอิ่นกวานก็เพื่อวันนี้ เพื่อเรื่องนี้งั้นหรือ?!”
เฉินผิงอันเองก็หยุดเดิน พยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม พูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “ไม่เพียงการลากเจ้าเข้ากลุ่มเท่านั้น แม้แต่การเชิญลู่จือมาก็เหมือนกัน จริงๆ เท็จๆ ลวงๆ จริงๆ หากไม่ทำเช่นนี้จะหลอกลวงเซียนกระบี่ที่มีเจตนาร้ายได้อย่างไร? เซียนกระบี่ที่มีใจเป็นกบฏล้วนสมองดีเป็นพิเศษ ลู่จือคอยปกป้องพวกเราสายอิ่นกวานทุกคน เว้นเสียแต่ว่าเซียนกระบี่ขอบเขตเซียนเหรินเดินมาโจมตีตรงหน้าข้าถึงจะมีโอกาส ไม่อย่างนั้นใครคิดจะออกกระบี่ก็ล้วนเป็นความเพ้อฝันทั้งสิ้น เมื่อมีเงื่อนไขนี้แล้ว ข้าค่อยออกห่างจากข้างกายลู่จือ นี่ก็จะทำให้คนรู้สึกว่าหากผ่านหมู่บ้านนี้ไปก็จะไม่มีร้านนี้อีก” (เปรียบเปรยถึงโอกาสว่าหากผ่านแล้วก็จะผ่านเลยไป)
กล่าวมาถึงตรงนี้ เฉินผิงอันก็เอนตัวพิงเสาระเบียง แกว่งน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ในมือ ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “ช่วงเวลาอันดีงาม หากพลาดไปย่อมน่าเสียดาย สามารถทดลองดูได้”
“การปกป้องของลู่จือนั้นเข้มงวดอย่างมาก คือภาพลวงตาที่ทำให้คนอื่นรู้สึกว่าใต้เท้าอิ่นกวานปลอดภัยมาก ไม่ต้องกังวลเรื่องชีวิต ออกห่างจากลู่จือมาแล้ว มีหมี่อวี้ขอบเขตหยกดิบอยู่ข้างกายหรือไม่ก็คือการบอกเป็นนัยที่จำเป็นต้องมีอีกอย่างหนึ่ง ไม่อย่างนั้นนักฆ่าจะกังวลว่าข้าไม่เกรงกลัวสิ่งใดเพราะมีคนหนุนหลัง รู้สึกว่าเรื่องนี้มีกับดัก ไม่สะพายกระบี่เจี้ยนเซียนอาวุธเซียน ไม่สวมชุดคลุมอาคมจินหลี่อาวุธระดับเซียน ยิ่งมีการกระทำที่สมเหตุสมผล ถ้าอย่างนั้นเมื่อไม่มีชุดคลุมอาคม และไม่ต้องพูดถึงเซียนกระบี่หมี่อวี้ที่เป็นดั่งชั้นวางดอกไม้ซึ่งคอยปกป้องอยู่ข้างกาย ที่พึ่งที่แท้จริงของใต้เท้าอิ่นกวานก็หลงเหลือแค่กำแพงเมืองปราณกระบี่และเรือนกายผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองของตัวเองเท่านั้นแล้ว”
หมี่อวี้กระดกกรอกเหล้าใส่ปากอึกใหญ่ ยังคงไม่เอ่ยอะไร
เฉินผิงอันพูดต่อ “เมื่ออิ่นกวานตายไป จิตใจคนย่อมระส่ำระส่ายอย่างเลี่ยงไม่ได้ ค่ายกลกระบี่ของฝ่ายเราติดร่างแหเดือดร้อนไปด้วยก็เป็นความรู้สึกปกติของคนทั่วไป ดังนั้นต่อจากนี้พวกเราสามารถนั่งตกปลาได้ดีกว่าเดิมแล้ว เมื่อเทียบกับสังหารเซียนกระบี่คนหนึ่ง นี่ต่างหากจึงจะเป็นผลลัพธ์ที่ข้าต้องการที่สุด”
หมี่อวี้มองไปยังคนหนุ่มผู้นี้อย่างเหม่อลอย
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “อันที่จริงข้าคิดไว้เยอะมาก แต่เรื่องส่วนใหญ่ก็เพียงแค่คิดไว้เท่านั้นจริงๆ ไม่ได้มีประโยชน์อะไรเลย”
แต่ไหนแต่ไรมาหมี่อวี้ก็ไม่ถนัดกับการจัดการเรื่องใหญ่เรื่องยากอยู่แล้ว แม้แต่เรื่องการฝึกตนที่หยุดชะงัก หมี่ฮู่ผู้เป็นพี่ชายก็ยังร้อนใจกว่าเขามากมานานหลายปี ถึงอย่างไรตัวหมี่อวี้เองก็ปล่อยวางได้มากกว่า ดังนั้นหมี่อวี้จึงแค่ถามคำถามที่ตัวเองอยากรู้คำตอบมากที่สุดเท่านั้น “หากเจ้าเคียดแค้นคนผู้ใดในกำแพงเมืองปราณกระบี่ขึ้นมา ต่อให้สุดท้ายเขาตายไปแล้วก็คงจะยังไม่รู้ตัวใช่หรือไม่?”
เฉินผิงอันอึ้งตะลึงไป ก่อนจะขบคิดอย่างตั้งใจ แล้วจึงพยักหน้าตอบว่า “น่าจะสามารถทำได้ แต่ไม่เคยคิดมาก่อน เพราะสำหรับข้าแล้วจะได้ไม่คุ้มเสีย จิตแห่งการฝึกตนได้มาไม่ง่าย นับตั้งแต่เด็กก็ยากจนจนกลัวแล้ว เมื่อเป็นของที่ล้ำค่าก็ยิ่งเคยชินที่จะทะนุถนอมเห็นค่า”
สายตาของหมี่อวี้พลันเฉียบคมขึ้นมา “ยกตัวอย่างเช่นตระกูลฉีที่ในอดีตเคยสร้างความลำบากใจมากมายให้ตระกูลหนิง?! เจ้าแค้นหรือไม่? ไม่มีความเห็นแก่ตัวสักนิดเลยจริงๆ หรือ? ศึกสิบสามครั้งนั้น หลังจากเจ้าได้เป็นอิ่นกวานแล้ว ตอนนี้ก็ยิ่งได้อ่านเอกสารลับทั้งหมดจนครบถ้วน ต้องมีเบาะแสให้เจ้าสืบสาวออกมาได้ เซียนกระบี่คนใดเอ่ยถ้อยคำสำคัญอะไรไปบ้าง ต้องมีเรื่องวงในสกปรกที่เจ้ารับรู้เพิ่มมากขึ้นแน่นอน!”
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ เอ่ย “พี่หมี่ เจ้าลองเดาดูสิ”
เฉินผิงอันยื่นน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ส่งไปให้ หมี่อวี้ถือกาเหล้าไว้ในมือไม่ขยับ เฉินผิงอันจึงเอ่ยด้วยสีหน้าระอาใจว่า “ถึงอย่างไรข้าก็ไม่ใช่คนเจ้าคิดเจ้าแค้นอยู่แล้ว ฟ้าดินเป็นพยานได้”
ดูเหมือนหมี่อวี้จะเซื่องซึมยิ่งกว่าเฉินผิงอันที่ได้รับบาดเจ็บทางจิตวิญญาณเสียอีก เขาไม่เหลืออารมณ์ฮึกเหิมใดๆ เพียงเอ่ยถามชวนคุยว่า “แม่หนูกวอจู๋จิ่วนั่นยังอยู่ที่หัวกำแพงเมือง เมื่อไหร่จะบอกให้นางกลับมา”
เฉินผิงอันเอ่ย “รออีกเดี๋ยวแล้วกัน”
หมี่อวี้ส่ายหน้า “อุบายๆ ยังคงเป็นการวางแผนใช้อุบายอยู่ดี แม้แต่แม่นางน้อยคนหนึ่งก็ยังไม่ละเว้น กวอจู๋จิ่วเป็นลูกศิษย์ของเจ้านะ! ต่อให้เจ้าจะหวังดีแค่ไหน แต่ข้าก็ยังแปลกใจนัก เฉินผิงอัน เจ้าไม่เหนื่อยใจ ไม่รู้สึกละอายใจสักนิดเลยจริงๆ หรือ?”
เฉินผิงอันย้อนถาม “แค่ถามใจตัวเองแล้วไม่ละอายก็พอแล้วหรือ? เจ้าคิดว่าเลี่ยจี่ก็ถามใจแล้วไม่ละอายแค่นั้นหรือ? เซียนกระบี่ผู้ยิ่งใหญ่ แม้แต่ชีวิตก็สละทิ้งไม่ต้องการได้ นี่ต้องมีความอาฆาตมากแค่ไหน ต้องถามใจตัวเองแล้วไม่ละอายมากแค่ไหน?”
หมี่อวี้ไร้คำพูดตอบโต้
เฉินผิงอันแหงนหน้ามองไปทางหัวกำแพงทิศใต้ แล้วก็หัวเราะ “ดอกไม้ไฟเอ๋ยดอกไม้ไฟ ช่างเป็นขุนเขาเขียวบุปผาแดงสดดุจไฟไหม้โชน เป็นชื่อกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตที่เซียนกระบี่ตั้งได้ดีจริงๆ ล้วนเป็นผู้เชี่ยวชาญกันทั้งสิ้น”
คนทั้งสองย้อนกลับไปที่ห้องโถงใหญ่ของคฤหาสน์หลบร้อนด้วยกันอีกครั้ง
หมี่อวี้นั่งลงบนเก้าอี้ที่เป็นของตน
เฉินผิงอันไม่ได้เข้ามานั่ง เพียงแค่นั่งอยู่บนขั้นบันไดนอกประตูเท่านั้น
เฉินผิงอันเอ่ยเพียงแค่ประโยคเดียว “นอกจากกระบี่บินของสายอิ่นกวานที่สามารถออกไปจากที่นี่ได้แล้ว ช่วงนี้ห้ามใครออกไปจากคฤหาสน์หลบร้อนแม้แต่ครึ่งก้าว ไม่อนุญาตให้ไปพบคนนอกเป็นการส่วนตัว หากจับได้จะถูกลงโทษประหารฐานเป็นกบฏเหมือนกันทั้งหมด และการใช้กระบี่บินส่งข่าวของสายอิ่นกวานพวกเรา พวกโฉวเหมียวสี่คนและอีกสิบสองคนซึ่งรวมถึงหลินจวินปี้จำเป็นต้องบอกกล่าวเนื้อหาให้กันและกันทราบ ทุกข้อทุกคำทุกประโยค โดยให้เซียนกระบี่หมี่อวี้จดบันทึกเอาไว้”
สวีหนิงเงยหน้ามองแผ่นหลังที่อยู่นอกประตูแล้วถามว่า “ในเมื่อเจ้าไม่เชื่อใจพวกเรา เหตุใดยังต้องลากพวกเราเข้ามาในสายอิ่นกวานอีกล่ะ?”
เฉินผิงอันมือหนึ่งถือน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ มือหนึ่งถือพัด “ก่อนจะพูดกับข้าต้องเรียกด้วยความเคารพว่าใต้เท้าอิ่นกวานก่อน”
สวีหนิงพูดทวนประโยคเดิมซ้ำอีกครั้งแล้วก็เพิ่มคำเรียกว่าใต้เท้าอิ่นกวานเข้าไปจริงๆ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!