คนกลุ่มหนึ่งที่มีกันสิบกว่าคนเดินข้ามผ่านประตูใหญ่ออกจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่อากาศร้อนระอุมาเยือนภูเขาห้อยหัวที่มีหิมะโปรยปราย
พวกเขาต่างก็ร่ายใช้เวทอำพรางตา เลือกเวลากลางดึกของภูเขาห้อยหัวตรงดิ่งไปยังเรือนชุนฟานหนึ่งในสี่จวนส่วนตัวขนาดใหญ่
ในบรรดาคนกลุ่มนี้ก็มีเทพเจ้าแห่งโชคลาภสองท่านของกำแพงเมืองปราณกระบี่อย่างเยี่ยนหมิงและน่าหลันไฉ่ฮ่วนอยู่ด้วย
นอกจากเทียนจวินใหญ่ที่เฝ้าพิทักษ์อยู่บนยอดเขาเดียวดายแล้ว ก็ไม่มีใครสัมผัสได้ถึงการปรากฏตัวอย่างกะทันหันของมังกรข้ามแม่น้ำกลุ่มนี้อีก
เทียนจวินใหญ่หลุบตามองลงมายังประตูใหญ่ ข้างกายคือเจินเหรินผู้เฒ่าที่ถือไม้ปัดฝุ่นสีทองอยู่ในมือ ฝ่ายหลังสอบถามเบาๆ ว่า “อาจารย์ คงจะไม่เกิดเรื่องหรอกกระมัง?”
เทียนจวินใหญ่แค่นเสียงเย็น “ใครจะมาก่อเรื่อง? เจ้าพวกพ่อค้าที่ในสายตามีแต่เงินงั้นหรือ? พวกเขากล้ารึ?”
เจินเหรินผู้เฒ่ายื่นมือไปลูบเส้นด้ายสีทองที่มาจากการหลอมใหญ่หนวดเจียวหลง “หากใช้กำลังอำนาจข่มทับคนอื่นก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะประสบความสำเร็จนะขอรับ”
เทียนจวินใหญ่มองไปยังบุรุษคนหนึ่งที่อยู่ในกลุ่มคนแล้วผงกศีรษะ
ฝ่ายหลังเหลือบมองมายังเทียนจวินใหญ่ลัทธิเต๋าที่อยู่บนยอดเขาเดียวดายแล้วก็พยักหน้าให้เช่นกัน
ดูเหมือนว่าเทียนจวินใหญ่จะมาเพื่อเห็นหน้าคนผู้นี้คนเดียวเท่านั้น หลังจากทักทายเรียบร้อยก็หมุนตัวจากไป พลางเอ่ยว่า “หลังจากข้าปิดด่าน เจ้าเป็นคนจัดการกิจธุระต่างๆ ก็แล้วกัน ง่ายมาก นั่นคือไม่ต้องสนใจเรื่องอะไรทั้งนั้น”
เจินเหรินผู้เฒ่าที่เป็นลูกศิษย์คนแรกของเทียนจวินใหญ่อึ้งตะลึงไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็เปลี่ยนข้างมือที่ใช้ถือไม้ปัดฝุ่น ประสานมือคารวะ เอ่ยเสียงเบาว่า “น้อมรับคำสั่งอาจารย์”
แต่แล้วเจินเหรินผู้เฒ่าก็อดไม่ไหวถามว่า “อาจารย์ ทางฝั่งของอาจารย์อาเจียงล่ะ?”
เมื่ออาจารย์ปิดด่าน ภูเขาห้อยหัวแห่งนี้ก็ไม่มีใครควบคุม ‘นักพรตน้อย’ ที่มีชาติกำเนิดจากสายหลักของป๋ายอวี้จิงผู้นั้นได้อีกแล้ว
สรุปก็คือเจินจวินอย่างเขาที่ไม่ว่าจะเป็นลำดับอาวุโสหรือตบะก็ล้วนไม่กล้าไปควบคุมอีกฝ่าย ยิ่งอยู่กันคนละสาย ก็ยิ่งพูดคุยกันด้วยเหตุผลได้ยาก
เทียนจวินใหญ่หันหน้าไปมองทางประตูบานเก่า ที่นั่นมีนักพรตน้อยคนหนึ่งกำลังเปิดอ่านตำราอยู่บนเบาะรองนั่ง ปากก็พูดคุยถึงเรื่องยิบย่อยในหนังสือกับเซียนกระบี่จางลู่ที่นั่งดื่มเหล้าอยู่ข้างกาย เทียนจวินใหญ่ลังเลไปชั่วขณะ ก่อนเอ่ยว่า “ปล่อยเขาไปเถอะ หลายร้อยปีมานี้ที่เฝ้าประตูภูเขาห้อยหัว เจียงอวิ๋นเซิงสงบเสงี่ยมขึ้นมากแล้ว หากเปลี่ยนไปอยู่ที่บ้านเกิด ไม่ว่าภูเขาห้อยหัวกี่ลูกก็ไม่พอให้เขาสร้างความวุ่นวาย อาจารย์อาน้อยคนนั้นของข้ารักและเอ็นดูเขาที่สุด ทุกครั้งที่ไปก่อเรื่องที่อารามเสวียนตูใหญ่ก็ยังต้องพาเจียงอวิ๋นเซิงไปด้วย หากไม่เป็นเพราะนักพรตซุนเกิดจิตคิดสังหารเจียงอวิ๋นเซิง อีกทั้งอาจารย์อาน้อยก็อยู่ห่างไปไกลมาก เดิมทีเจียงอวิ๋นเซิงก็ไม่จำเป็นต้องมาหลบเคราะห์แสวงหาโชคอยู่ที่ใต้หล้าไพศาลแห่งนี้”
อารามเสวียนตูใหญ่ สายเซียนกระบี่ของลัทธิเต๋า นักพรตซุนหนึ่งในอันดับสิบคนของใต้หล้ามืดสลัว
เจินเหรินผู้เฒ่าเอ่ยปลงอนิจจัง “อาจารย์อาเจียงผ่านหายนะใหญ่มาได้โดยที่ไม่ตาย หลังจากนี้ต้องมีแต่ความโชคดีเป็นแน่”
เคราะห์ภัยและโชคลาภมักจะมาพร้อมกัน เมื่อเปลี่ยนมาอยู่อีกใต้หล้าหนึ่ง โชคชะตาก็พลิกกลับ ไม่แน่ว่าในอดีตที่บรรพจารย์อาพาอาจารย์อาเจียงไป ‘ร้องชักดิ้นชักงอ’ ที่อารามเสวียนตูใหญ่ ชักนำให้นักพรตซุนเกิดจิตสังหาร อาจเป็นการกระทำที่เกิดจากความตั้งใจก็เป็นได้
เมื่อเป็นบุคคลที่มีขอบเขตเฉกเช่นนักพรตซุนนี้ หากเกิดจิตสังหารขึ้นมา ขอแค่อยู่ห่างจากป๋ายอวี้จิง โดยเฉพาะอย่างยิ่งอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกับอารามเต๋าบ้านตัวเอง ก็สามารถเปลี่ยนโชคชะตาฟ้าดิน ปรับเปลี่ยนมหามรรคาได้อย่างสิ้นเชิง
บรรพจารย์อาเจ้าลัทธิสามทำเช่นนี้ ก็น่าจะเรียกได้ว่าเป็นวิธีการของเทพเซียนกระมัง
แน่นอนว่าเงื่อนไขก็คือสามารถส่งตัวเจียงอวิ๋นเซิงให้ออกมาจากใต้หล้ามืดสลัวได้โดยที่ยังมีชีวิตอยู่
เทียนจวินใหญ่ไปปิดด่านแล้ว เจินเหรินผู้เฒ่าอยู่ต่อตรงราวรั้ว หลุบตาลงมองตลอดทั้งภูเขาห้อยหัว คนบนโลกรู้แค่ว่าภูเขาห้อยหัวก็คือตราประทับอักษรภูเขาที่ใหญ่ที่สุด น้อยคนนักที่จะรู้ว่าสถานที่ท่องเที่ยวแปดแห่งซึ่งมีศาลาจัวฟ่าง หน้าผาหมีลู่เป็นหนึ่งในนั้น บวกกับยอดเขาเดียวดายที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขาเวลานี้ ก็คือค่ายกลบรรพกาลที่สืบทอดมาจากสายของซานซานจิ่วโหว สุดท้ายเมื่อถูกสร้างขึ้นมาจึงคล้ายคลึงกับแท่นบินทะยานในยุคบรรพกาล
เจินเหรินผู้เฒ่าคือลูกศิษย์ที่เทียนจวินใหญ่รับมาตอนอยู่ในใต้หล้าไพศาล บ้านเกิดของเขาอยู่ที่นี่ แต่เจินเหรินผู้เฒ่าก็ไม่ได้ต่างจากผู้เฒ่าแจวเรือที่ในอดีตเคยถ่อเรือออกทะเลเพื่อเจ้าลัทธิสามลู่เฉินสักเท่าไร ผู้ฝึกตน ก่อนที่จะขึ้นไปบนภูเขา ถือกำเนิดขึ้นที่ใด ที่นั่นก็คือบ้านเกิดแห่งแรก ขึ้นภูเขาไปแล้ว ฝึกตนอยู่ที่ใด ก็คือบ้านเกิดที่ทำให้จิตใจสงบได้อย่างแท้จริง ดังนั้นเจินเหรินผู้เฒ่าที่เฝ้าพิทักษ์ภูเขาห้อยหัวก็ดี หรือผู้เฒ่าแจวเรือที่ล่องลอยอยู่บนมหาสมุทรชั่วนาตาปีก็ช่าง พวกเขาต่างก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้ไปฝึกตนสร้างมหามรรคาอยู่ที่ใต้หล้ามืดสลัว เพียงแต่ว่ามหามรรคาสูงส่ง เส้นทางยาวไกล หากไม่มีคนนำทาง ขอบเขตไม่พอ แล้วจะบินทะยานไปสู่ใต้หล้าแห่งอื่นได้อย่างไร
เจินเหรินผู้เฒ่ามองผู้ฝึกตนที่แอบเข้ามาในภูเขาห้อยหัวกลุ่มนั้นแล้วก็พลันหมดความสนใจ ในเมื่ออาจารย์ออกคำสั่งไว้แล้วว่าไม่ต้องสนเรื่องอะไรทั้งนั้น เจินเหรินผู้เฒ่าจึงแค่ร่ายคาถามาปรากฎตัวที่ศาลาจัวฟ่างที่ร้างผู้คนเพราะเป็นเวลาดึกสงัด และเสี้ยววินาทีถัดมา เจินจวินที่สังหารเจียวหลงนับไม่ถ้วนแล้วนำมาหลอมเป็นไม้ปัดฝุ่นแห่งชะตาชีวิตของตนท่านนี้ก็มาปรากฏตัวอยู่เหนือมหาสมุทร เพราะไม่มีอะไรทำจึงมาทอดสายตามองไกลๆ ไปยังร่องเจียวหลงแห่งนั้น
ทายาทของเผ่าพันธุ์มังกรที่แท้จริงทั้งหมดในร่องเจียวหลง หากไม่เป็นเพราะเจียงอวิ๋นเซิงเอ่ยประโยคหนึ่งกับเจินจวินท่านนี้ พวกมันก็คงตายกันไปอย่างสิ้นซากนานแล้ว เจินจวินเพียงแค่ต้องเฝ้าตอรอกระต่าย ดักเจียวเฒ่าที่ไปโปรยฝนทั้งหลายกลางทางแล้วสังหารทิ้งซะ ป่านนี้ไม้ปัดฝุ่นของเขาก็คงเลื่อนเป็นระดับอาวุธเซียนนานแล้ว
สะสมทีละเล็กทีละน้อยจนมากเข้า ทำให้วัตถุบนภูเขากลายมามีระดับขั้นของอาวุธเซียน นี่ก็คือความสามารถของเจินจวินผู้เฒ่าท่านนี้
หวนนึกถึงเรื่องลับเก่าแก่เรื่องนั้น เจินเหรินผู้เฒ่าที่ยืนอยู่บนพื้นผิวทะเลที่ลูกคลื่นสีมรกตซัดสาดก็ให้สะทกสะท้อนใจ
ปีนั้นคนเพียงคนเดียวที่เกลี้ยกล่อมให้เซียนกระบี่ผู้นั้นเก็บกระบี่ได้ อันที่จริงมีเพียงลู่เฉิน
ออกไปนอกหกขั้ว ท่องไปอย่างอิสระเสรี พื้นที่กว้างใหญ่ไพศาล
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!