กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 639

กุ้ยฮูหยินทำเพียงแค่ดื่มชา ท่วงท่าผ่อนคลาย ไม่ได้เอ่ยคำใด

ทั้งสองฝ่ายพูดคุยกันจนได้ข้อสรุปคร่าวๆ แล้วว่าจะเตรียมของขวัญอะไร รวมไปถึงหลังเข้าไปในเรือนชุนฟานแล้วจะปฏิบัติตัวอย่างไร โดยภาพรวมก็คือจะเลียนแบบตระกูลฝู ตระกูลติงก่อนหน้านี้ที่พูดให้น้อยมองดูให้มาก พูดน้อยย่อมไม่มีทางทำผิดพลาด

โหวเผิงวางถ้วยชาลง บนสีหน้าปรากฏแววประหลาด

หม่าจื้อคุยธุระจบก็ไม่ดื่มชาอีกต่อไป แต่เริ่มดื่มเหล้าหมักกุ้ยฮวาของตัวเองไป

โหวเผิงถามเบาๆ “อิ่นกวานคนใหม่ชื่อว่าเฉินผิงอัน?”

หม่าจื้อพยายามตีหน้าเคร่ง แต่ก็ยังอดไม่ไหว หัวเราะเสียงดังเอ่ยว่า “น้องโหวเผิง เจ้าคิดอะไรอยู่น่ะ?!”

จินซู่มึนงงไม่เข้าใจ

กุ้ยฮูหยินอธิบายเสียงเบาว่า “ใต้เท้าอิ่นกวานคนใหม่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ คือเซียนกระบี่หนุ่มอายุน้อย ชื่อว่าเฉินผิงอัน”

โหวเผิงเอ่ยเสริมมาประโยคหนึ่งว่า “พูดภาษาทางการของใต้หล้าไพศาลได้คล่องแคล่วยิ่ง”

จินซู่ก็แอบหัวเราะอย่างอดไม่ไหว นางเองก็ไม่ต่างจากหม่าจื้อ เพียงแต่ไม่ได้หัวเราะเสียงดังอย่างฝ่ายหลังก็เท่านั้น

ช่วยไม่ได้ นางกับผู้อาวุโสหม่าจื้อล้วนคุ้นเคยกับเฉินผิงอันผู้นั้นดี

เฉินผิงอันที่มาจากราชวงศ์ต้าหลีคนนั้น ในอดีตก็เคยมาพักบนเรือนเล็กกุยม่ายที่ห่างจากที่แห่งนี้ไปไม่ไกล

ขนาดจินซู่ยังคิดว่าเรื่องนี้ไม่มีทางเป็นไปได้

ความคิดของเจ้าของเรือโหวผู้นี้ก็ช่างบรรเจิดไปหน่อยหรือไม่

คนสองคนก็แค่มีชื่อแซ่เหมือนกันว่าเฉินผิงอันก็เท่านั้น

จะกลายเป็นคนคนเดียวกันได้อย่างไร

เป็นไปได้หรือ?

ในความทรงจำของจินซู่ นั่นก็คือผู้โดยสารที่ระหว่างเดินทางท่องเที่ยวอยู่บนเรือข้ามฟากยังควักเงินจ่ายให้จิตรกรมากฝีมือบนเกาะกุ้ยฮวาวาดภาพให้เป็นที่ระลึก

คนหนุ่มต่างถิ่นที่สวมชุดสะอาดสะอ้าน แต่กลับกลบกลิ่นอายความยากจนไม่ได้

ดูเหมือนว่าปีนั้นจะยังสะพายกระบี่เล่มหนึ่งด้วย? แต่เขากลับเป็นผู้ฝึกยุทธเต็มตัวที่ขอบเขตไม่สูงคนหนึ่ง

สุดท้ายภายใต้คำสั่งของอาจารย์ จินซู่ยังไปเดินเที่ยวตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ของภูเขาห้อยหัวร่วมกับเด็กหนุ่ม

อยู่ในกรอบ คร่ำครึ น่าเบื่อ

ก็คือเด็กหนุ่มต่างถิ่นที่เป็นเช่นนี้

ในความทรงจำอันพร่าเลือน ดูเหมือนว่าผิวของเขาจะค่อนข้างดำคล้ำ ตัวไม่สูง พูดเสียงไม่ดังนัก แล้วก็ชอบเหลียวซ้ายแลขวามองไปทั่ว แต่เวลาที่พูดคุยกับคนอื่นกลับมีแววตาที่ใสกระจ่าง ดวงตาไม่ล่อกแล่ก จะมองและรับฟังคนที่พูดคุยด้วยอย่างตั้งใจ

โหวเผิงเอ่ย “ในเมื่อแม้แต่ผู้เฒ่าติงก็ยังกลับคืนไปยังนครมังกรเฒ่าได้อย่างปลอดภัย ถ้าอย่างนั้นข้าก็คงจะคิดมากไปเอง”

หม่าจื้อพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม เกี่ยวกับเรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องพูดคุยอะไรกันมาก ต่างคนต่างรู้ดีอยู่ในใจก็พอ

ภูเขาไม่แปรเปลี่ยน แต่สายน้ำไหลริน

จอกแหนใบหนึ่งลอยกลับคืนสู่มหาสมุทรใหญ่ ชีวิตคนมีที่ใดที่ไม่อาจพบเจอกันได้

พบเจอถือเป็นวาสนา ทว่าวาสนาก็แบ่งออกเป็นบุญสัมพันธ์และกรรมสัมพันธ์

หากมีหนึ่งในหมื่นของหนึ่งในหมื่นของหนึ่งในหมื่นนั้นจริงๆ

ถ้าอย่างนั้นก็เท่ากับว่ามีบุญสัมพันธ์หล่นจากฟ้ามาใส่เกาะกุ้ยฮวา

ทว่าสำหรับตระกูลใหญ่แห่งอื่นของนครมังกรเฒ่านอกเหนือจากตระกูลฟ่านแล้ว กลับบอกได้ยาก

เจิ้งต้าเฟิงปรมาจารย์ผู้ฝึกยุทธของร้านยาฮุยเฉิงนัดหมายกับตระกูลฝูที่หอเติงหลง ฝูฉีที่ใช้อาวุธกึ่งเซียนชิ้นหนึ่ง หลังจบเรื่องก็ยิ่งเคยดักฆ่าเจิ้งต้าเฟิง นอกจากตระกูลฟ่านและตระกูลซุนแล้ว แซ่ใหญ่แซ่อื่นของนครมังกรเฒ่ากลับทำตัวเป็นคนที่ได้เห็นล้วนมีส่วนแบ่ง เข้าร่วมกับเรื่องในครั้งนี้ ช่วยตระกูลฝูรับผิดชอบดักทางคนต่างถิ่นของร้านยาฮุยเฉิงกลุ่มนั้น

ตระกูลติงที่เป็นหนึ่งในนั้นยังลากเอาสำนักใบถงที่เดิมทียิ่งใหญ่มากบารมีมาเกี่ยวข้องด้วย

สำนักตระกูลเซียนอันดับหนึ่งในใบถงทวีปที่เคยเป็นดั่งดวงตะวันกลางนภา ว่ากันว่าทุกวันนี้มีชีวิตที่ไม่ค่อยดีเท่าไร เรื่องอย่างเรือนรั่วแล้วยังมาเจอฝนตกทั้งวันคืน หิมะที่ตกลงบนน้ำค้างแข็ง ราดน้ำมันลงบนกองเพลิง เรื่องแล้วเรื่องเล่าเกิดขึ้นติดต่อกัน สรุปก็คือสภาพน่าสังเวชอย่างยิ่ง ตอนนี้ตระกูลติงก็ยิ่งเป็นดั่งปลาที่ติดร่างแหไปด้วย อยู่ดีไม่ว่าดีก็เจอกับหายนะ ส่วนแบ่งทางการค้าหลายอย่างกลับถูกคนแย่งชิงไปอย่างลับๆ เพียงแต่ว่าตระกูลอื่นๆ ก็ไม่ได้ทำเกินกว่าเหตุมากนัก ตระกูลติงเองก็สามารถอดทนข่มกลั้นได้ แล้วนับประสาอะไรกับที่ในภาพรวมแล้วตระกูลติงยังคงได้เงินก้อนใหญ่มาร่วมกับตระกูลฝู เพียงแต่ว่าในอนาคตการที่ตระกูลติงจะอยู่ในอันดับรั้งท้ายของนครมังกรเฒ่าก็คือแนวโน้มของสถานการณ์ใหญ่แล้ว

ดังนั้นตระกูลติงจึงจำต้องกระตือรือร้นต่อเรื่องเรือข้ามทวีปอย่างมาก พวกเขาหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะใช้สิ่งนี้มาทำลายสถานการณ์ที่ชะงักงัน นั่นก็เพื่อให้ตัวเองได้ตีสนิทมีความสัมพันธ์กับเรือนชุนฟาน

หม่าจื้อและโหวเผิงเองก็เป็นคนเก่าแก่ในยุทธภพแล้ว ดังนั้นจึงสามารถจินตนาการได้เลยว่า ตระกูลติงจะต้องให้ราคาที่ต่ำมากอย่างแน่นอน ยอมตัดใจทิ้งช่องทางการหาเงินของเรือข้ามฟากลำหนึ่ง เพื่อรับประกันว่าภายใต้เงื่อนไขที่ไม่ขาดทุน จะต้องมีความสัมพันธ์ควันธูปกับกำแพงเมืองปราณกระบี่มากกว่าเพื่อนร่วมอาชีพคนอื่นๆ ให้จงได้

จากนั้นหม่าจื้อและโหวเผิงก็ออกไปจากเกาะกุ้ยฮวาด้วยกัน จะต้องไปนั่งพูดคุยกับพวกผู้ดูแลเรือข้ามฟากสองสามคนที่สนิทสนมกันก่อน จากนั้นค่อยต่างคนต่างไปเยือนเรือนชุนฟานตามเวลาที่นัดหมาย พกพาเอาของขวัญหนักไปเป็นแขก

ในเรือนเล็กบนเกาะกุ้ยฮวาเหลือแค่อาจารย์และศิษย์สองคนแล้ว พอไม่มีคนนอกอยู่ด้วย จินซู่ก็เริ่มบ่นเรื่องวิสัยทัศน์คับแคบของพวกผู้เฒ่าตระกูลฟ่านกับอาจารย์ตัวเอง

กุ้ยฮูหยินยิ้มกล่าว “ตระกูลฟ่านมีบรรยากาศอย่างเช่นทุกวันนี้ได้ พวกผู้เฒ่าที่มองดูเหมือนถือทิฐิดื้อรั้นเหล่านั้น ยังไม่ต้องพูดถึงคนไม่กี่คนที่พอเริ่มมีอายุก็นอนเสวยสุข คนอื่นๆ ล้วนออกแรงกันมาก มีคุณความชอบใหญ่หลวง การที่เจ้ารู้สึกว่าพวกเขาโลกแคบไม่รู้จักมองการณ์ไกล ก็เพียงแค่เพราะเจ้าเอนเอียงเข้าหาซุนเจียซู่ที่ร่วมกับตระกูลฟ่านควักเงินให้ภูเขาลั่วพั่วมากกว่า”

จินซู่เขินอายเล็กน้อย

กุ้ยฮูหยินพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ปฏิบัติต่อคนและสิ่งของ สามารถมีความชอบความรังเกียจได้ แต่มุมมองและการปฏิบัติต่อโลกใบนี้ไม่ควรใส่อารมณ์ความรู้สึกส่วนตัวมากเกินไปนัก นี่ก็คือเจตจำนงดั้งเดิมของการฝึกจิตใจที่ผู้ฝึกตนคนหนึ่งสมควรมี ต่อให้ไม่ใช่ผู้ฝึกตนแล้วก็ยิ่งควรจะเป็นเช่นนี้”

“ไม่อย่างนั้นในฐานะคนของตระกูลฟ่าน หากเจ้าแต่งงานกับซุนเจียซู่ แต่งเข้าตระกูลซุน หากเจ้าไม่พูดอะไรสักอย่าง เอาแต่ตั้งใจฝึกบำเพ็ญตนอย่างเดียว ไม่ดูแลเรื่องงานบ้านงานเรือน นั่นก็ยังถือว่าดี ไม่อย่างนั้นหากเจ้าไม่ระวังก็อาจทำให้ตระกูลฟ่านและตระกูลซุนผูกปมแค้นต่อกัน”

น้อยครั้งนักที่อาจารย์จะมีท่าทางเข้มงวดจริงจังเช่นนี้ จินซู่ไม่กล้าก่อกวน ได้แต่จดจำไว้ในใจ

นั่งนิ่งๆ กันไปครู่หนึ่ง กุ้ยฮูหยินก็บอกจินซู่ว่าไม่ต้องอยู่เป็นเพื่อนตน หากจะไปเดินเล่นที่ร้านค้าแถวหน้าผาหมีลู่ของภูเขาห้อยหัว อาจารย์ก็ไม่ขัดขวาง

จินซู่ไม่รู้สึกสนใจ ทุกวันนี้บรรยากาศของภูเขาห้อยหัวประหลาดยิ่ง แม้แต่เกาะกุ้ยฮวาก็ยังถูกบรรยากาศนั้นแผ่มาปกคลุม นางจึงไม่มีความคิดเช่นนี้

เพียงแค่ออกจากเรือนไปฝึกบำเพ็ญตน

จินซู่จากไปได้ไม่นานเท่าไร เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น

กุ้ยฮูหยินลุกขึ้นยืนพลางยิ้มกล่าว “เชิญคุณชายเฉินเข้ามา”

คนหนุ่มผู้หนึ่งฉีกหน้ากากบุรุษสีหน้าทึ่มทื่อออกจากใบหน้า กุมหมัดยิ้มกล่าว “กุ้ยฮูหยิน รบกวนแล้ว”

กุ้ยฮูหยินคลี่ยิ้มอบอุ่น เอ่ยสัพยอกว่า “แขกที่หาได้ยากๆ”

เฉินผิงอันนั่งลงแล้วก็เอ่ยขออภัยว่า “กุ้ยฮูหยินอย่าคิดอะไรมาก ข้าก็แค่มาขอเหล้าหมักกุ้ยฮวาสักกาหนึ่งเท่านั้น”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!