กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 640

สวนดอกเหมยคือเรือนที่มีระเบียงโค้งวกวนมากที่สุดในบรรดาสี่จวนส่วนตัวขนาดใหญ่ของภูเขาห้อยหัว แน่นอนว่าจุดที่มีชื่อเสียงมากที่สุดก็ยังคงเป็นต้นเหมย เพียงแต่ว่าต้นเหมยที่ปลูกไว้ในสวนดอกเหมยแห่งนี้เกิดขึ้นมาเองตามธรรมชาติ ไม่มีการหักดัดกิ่ง ถี่ห่างเป็นไปตามธรรมชาติ โค้งตรงตามแต่ใจ ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ก็ยังมีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วสารทิศ แน่นอนว่านี่ก็ยังเป็นเพราะสวนดอกเหมยได้ทุ่มเงินก้อนใหญ่ซื้อต้นเหมยตระกูลเซียนจำนวนมากจากเรือข้ามฟากของแปดทวีปเพื่อนำมาปลูกในสวนดอกเหมยแห่งนี้

จุดชมทัศนียภาพที่งดงามที่สุดของสวนดอกเหมยก็คือศาลาที่แขวนกรอบป้ายคำว่า ‘ปู้เจิงชุน’ (ไม่โอ้อวดตน)

ถัวเหยียนฮูหยินนั่งคุกเข่าอยู่บนเสื่อเย็นที่วัสดุทำมาจากไผ่เขียวบนภูเขาชิงเสิน มือทั้งสองวางทับซ้อนกันบนหัวเข่า รูปโฉมของนางงามเย้ายวน ใบหน้าประดับรอยยิ้ม

นางมองไปยังผู้ฝึกตนสามคนที่กำลังเดินขึ้นมาบนขั้นบันไดของศาลาช้าๆ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ในเมื่อเรื่องราวถูกเปิดเผยแล้วก็ยินดีจะรับการลงโทษ เพียงขอร้องให้เซียนกระบี่ใหญ่ลู่จือออกกระบี่ให้รวดเร็วฉับไวหน่อย”

เฉินผิงอันนั่งลงบนเสื่อ ตรงข้ามกับถัวเหยียนฮูหยิน ถามว่า “ไม่คิดจะแก้ตัวชดเชยอะไรบ้างหรือ? ภูตพืชหญ้าห้าขอบเขตบน ฝึกตนกันไม่ใช่ง่ายๆ”

ถัวเหยียนฮูหยินส่ายหน้า “แม้แต่เปียนจิ้งผู้นั้นก็ยังหาตัวเจอและฆ่าทิ้งไปแล้ว ข้าก็ถูกกำหนดมาแล้วว่าไม่อาจมีชีวิตอยู่รอดได้อีก ถ้าอย่างนั้นก็จะไม่ทำตัวเสแสร้งแล้ว”

เฉินผิงอันถาม “หรือว่าร่างจริงของปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานตนนั้นถูกฝังไว้ในสวนดอกเหมย? ไม่อย่างนั้นเหตุใดเจ้าถึงได้รู้ว่าเปียนจิ้งตายแล้ว?”

ถัวเหยียนฮูหยินเพียงคลี่ยิ้มไม่เอ่ยคำใด แล้วจึงผายมือให้กับสตรีร่างผอมสูงคนนั้น “เคยมีคนบอกว่าสตรีของกำแพงเมืองปราณกระบี่ คือเซียนกระบี่ลู่จือที่มีรูปโฉมงดงามที่สุด งามล่มบ้านล่มเมืองที่สุด คนกับกระบี่สอดคล้องกันได้ดีที่สุด วันนี้ได้พบหน้ากัน จึงรู้ว่าช่างสมคำเล่าลือจริงๆ”

ลู่จือขมวดคิ้ว

แต่เซียนกระบี่โฉวเหมียวกลับถอนหายใจ เพราะเขารู้ว่าคำพูดทำนองนี้ ใครเป็นคนพูด

เฉินผิงอันเอ่ย “ถ้าอย่างนั้นข้าจะถามเจ้าแค่เรื่องเดียว ทั้งๆ ที่เจ้าเกิดและเติบโตมาในใต้หล้าไพศาล เหตุใดถึงได้โน้มเอียงเข้าหาใต้หล้าเปลี่ยวร้างเช่นนี้?”

ถัวเหยียนฮูหยินยิ้มเอ่ย “กฎระเบียบที่นายท่านผู้เฒ่าหลี่เซิ่งตั้งไว้ย่อมดี เพียงแต่ผู้ฝึกตนรุ่นหลังทำได้ไม่ค่อยดีนัก ขึ้นมาบนภูเขา ฝึกตนอยู่บนมรรคา เทพเซียนมีมากมายนับพันนับหมื่น แต่มีสักกี่คนที่เห็นภูตพืชหญ้าซึ่งโชคดีสามารถกลายร่างเป็นมนุษย์อย่างพวกเราเป็นคนบ้าง? ไม่เพียงแต่ตัวข้าที่ต้องรับความยากลำบากมาจนเต็มกลืน เมื่อโชคดีหนีพ้นจากห้วงมหรรณพแห่งความทุกข์ทรมาน ทอดสายตามองไป หลายร้อยหลายพันปีผ่านไปแล้ว โลกมนุษย์กลับไม่เคยแตกต่างไปจากที่เคยเป็น นี่จึงเป็นเหตุให้ในใจรู้สึกเคียดแค้นมานานแล้ว”

นางหันหน้ามองไปยังทิศทางของประตูใหญ่ที่อยู่ใกล้กับสวนดอกเหมย หลังดึงสายตากลับมาก็ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “อันที่จริงก็ไม่ได้จะชื่นชอบใต้หล้าเปลี่ยวร้างสักเท่าไร ใต้หล้าที่สัตว์เดรัจฉานไร้อารยธรรมแห่งหนึ่งเป็นเจ้าของ อีกทั้งยังอยู่ห่างไกลขนาดนั้น เมื่อเทียบกับใต้หล้าไพศาลแล้วจะดีไปกว่ากันสักเท่าไรเชียว? ข้าก็แค่อยากจะได้เห็นคนบนภูเขาและล่างภูเขาของใต้หล้าไพศาลตายกันไปให้หมดกับตาตัวเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกผู้ฝึกตนที่ต้องตายอย่างสิ้นซากไปก่อนใคร มีเพียงพืชหญ้าที่ยังคงอยู่ดังเดิม หนึ่งขวบปีมีรุ่งโรจน์มีแห้งเหี่ยว ก่อกำเนิดต่อเนื่องไม่ดับสูญ เหตุผลข้อนี้ พอหรือไม่? ใต้เท้าอิ่นกวาน!”

เฉินผิงอันเอ่ย “หากเจ้าว่าพอก็พอแล้วล่ะ”

เซียนกระบี่โฉวเหมียวรู้สึกว่าการเดินทางมาเยือนสวนดอกเหมยครั้งนี้ราบรื่นจนน่าเหลือเชื่อ

ลู่จือพลันเอ่ยว่า “ผลงานทางการสู้รบที่ข้าสะสมไว้ หากไม่ใช้ก็เสียเปล่า จะเอามาแลกเปลี่ยนกับชีวิตนางแล้วกัน วันหน้าข้าจะเก็บนางไว้ข้างกาย ใต้เท้าอิ่นกวาน คิดว่าอย่างไร?”

โฉวเหมียวรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง

ถัวเหยียนฮูหยินก็ยิ่งตะลึงพรึงเพริด

เมื่อครู่นางมีใจคิดอยากตายจริงๆ

ก่อนหน้านี้คิดคำนวณมานับร้อยนับพันอย่าง หากไม่ต้องตาย ก็คงต้องอยู่ไม่สู้ตาย ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ถือว่านางไม่ได้โชคร้ายที่สุด จะดีจะชั่วในบรรดาเซียนกระบี่ก็ยังมีสตรี โชคดีที่ไม่ได้มีแค่บุรุษสกปรกเหล่านั้น ก็ไม่สู้ทำให้มันจบๆ ไป

ไม่ว่าอย่างไรถัวเหยียนฮูหยินก็คิดไม่ถึงว่าลู่จือจะเอ่ยเช่นนี้

ลู่จือพูดกับถัวเหยียนฮูหยินว่า “วันหน้าเจ้ามาติดตามข้าฝึกตน ไม่ต้องเป็นสาวใช้”

จากนั้นลู่จือก็มองเฉินผิงอัน หมายจะรู้คำตอบ

เฉินผิงอันคิดแล้วก็พยักหน้าเอ่ยว่า “ได้”

ร่างของถัวเหยียนฮูหยินอ่อนยวบทรุดลงบนพื้น น้ำตาคลอเจียนจะหยด

ตลอดทั้งสวนดอกเหมย ดอกเหมยแต่ละตนพากันแย้มกลีบบานสะพรั่ง นี่เป็นเพราะโชคชะตาของถัวเหยียนฮูหยินกับฟ้าดินขนาดเล็กแห่งนี้เชื่อมโยงถึงกัน จึงชักนำให้เกิดภาพเหตุการณ์ประหลาดแห่งฟ้าดินเช่นนี้

ลู่จือขมวดคิ้วกล่าว “ถัวเหยียน ข้ามีข้อเรียกร้องต่อเจ้าเพียงข้อเดียว วันหน้าขอแค่เจอกับด่านแห่งความเป็นความตายอีกครั้ง ขอแค่มีบุรุษอยู่ตรงหน้าเจ้า อย่าได้ทำท่าทางเช่นนี้อีก แน่นอนว่าหากเขาคิดจะให้เจ้าตาย ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายหรอก”

ถัวเหยียนฮูหยินก้มตัวหมอบกราบลู่จือ “ถัวเหยียนขอบพระคุณสหายลู่จือ!”

ถัวเหยียนฮูหยินลุกขึ้นยืน เดินนวยนาดไปยืนอยู่ข้างกายลู่จือ

ต่อให้เป็นโฉวเหมียวก็จำต้องยอมรับว่า ถัวเหยียนฮูหยินเป็นสตรีที่งดงามจริงๆ

ส่วนอิ่นกวานหนุ่มผู้นั้นกำลังนั่งยองอยู่บนพื้น ม้วนเอาเสื่อไม้ไผ่ภูเขาชิงเสินที่มีมูลค่าควรเมืองชิ้นนั้นมา

เมื่อเทียบกับเหล้าถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ของบ้านตนก็นับว่าเป็นของแท้ที่มีราคามากกว่าจริงๆ

โฉวเหมียวแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น

ถัวเหยียนฮูหยินลังเลเล็กน้อย มองคนหนุ่มที่กำลังขยับตามเสื่อที่ม้วนก็อดไม่ไหวใช้เสียงในใจสอบถามลู่จือ “นี่คือ?”

ลู่จือยิ้มกล่าว “ใต้เท้าอิ่นกวานของพวกเราเกรงใจที่จะขุดดินกวาดค้นที่เรือนชุนฟาน แต่สวนดอกเหมยที่ไร้เจ้าของกลับยากที่จะหนีพ้นหายนะนี้แล้ว”

โฉวเหมียวยิ่งสงสัยมากกว่าเดิม

ฟังจากน้ำเสียงของเซียนกระบี่ใหญ่ลู่จือ ดูเหมือนว่าความประทับใจที่นางมีต่อใต้เท้าอิ่นกวานในทุกวันนี้จะไม่แย่เลย?

เฉินผิงอันม้วนเสื่อเสร็จแล้วก็เหน็บไว้ใต้รักแร้ ลุกขึ้นยืน “ลู่จือ ตกลงกันไว้ก่อนว่า สวนดอกเหมยสามารถหยั่งรากลงหลักปักฐานอยู่ที่ภูเขาห้อยหัว ไม่ได้อาศัยแค่ขอบเขตของถัวเหยียนฮูหยินเท่านั้น แต่ยังมีการใช้กลอุบายอันแยบยลอีกด้วย แล้วนี่ก็เป็นสิ่งที่เจ้าไม่ถนัดพอดี”

ลู่จือปรายตามองถัวเหยียนฮูหยิน “ไม่เป็นไร ขอแค่ไม่เสียดายชีวิต ผู้ฝึกตนก็ดี ภูตพืชหญ้าก็ช่าง ล้วนเป็นเรื่องของกระบี่เดียวทั้งสิ้น”

กล่าวมาถึงตรงนี้ ลู่จือก็เอ่ยอีกว่า “เฉินผิงอัน เจ้าเชี่ยวชาญเรื่องการวางแผนวุ่นวายยุ่งเหยิงอะไรนั่น วันหน้าก็ช่วยข้าจับตามองนางหน่อย”

แล้วลู่จือก็เอ่ยกับถัวเหยียนฮูหยินอีกครั้ง “บอกกับเจ้าตามตรง ตอนนี้ข้ายังไม่เชื่อใจเจ้า แต่ข้าสามารถรับรองได้ว่า พันปีให้หลัง เจ้าสามารถกลับคืนมามีอิสระได้ดังเดิม หากข้าตายไปก่อนบนมหามรรคา ตายไปภายในเวลาพันปีนี้ ก็จะมอบให้เฉินผิงอันเป็นคนจัดการ ถัวเหยียน หากเจ้ารู้ว่าเวลาหนึ่งพันปีนานเกินไปก็สามารถต่อรองกับข้าได้ เพียงแต่ข้าไม่ตอบตกลงก็เท่านั้น”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!