กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 641

สรุปบท บทที่ 641.2 ผู้ที่ยินดีค้ำประคองผืนฟ้า โปรดลุกขึ้นยืน: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!

อ่านสรุป บทที่ 641.2 ผู้ที่ยินดีค้ำประคองผืนฟ้า โปรดลุกขึ้นยืน จาก กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet

บทที่ บทที่ 641.2 ผู้ที่ยินดีค้ำประคองผืนฟ้า โปรดลุกขึ้นยืน คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายกำลังภายใน กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย Internet อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง

หยวนเป่าเอ่ยเสียงหนักจริงจัง “เอาวิชาตระกูลเซียนที่ตื้นเขินบางอย่างมาจัดพิมพ์รวมเล่มเป็นหนังสือ จากนั้นก็ให้ฮ่องเต้ของสี่แคว้นแจกจ่ายออกไป ทุกคนต้องฝึกตน นอกจากนี้ก็ผลักดันวิชาลับวรยุทธออกไปเป็นวงกว้างเช่นเดียวกัน ไม่มีธรณีประตู ต่อให้คุณสมบัติจะย่ำแย่แค่ไหน แต่ต่อให้ฝึกวิชาเซียนไม่ได้ก็ยังมีเส้นทางวิถีวรยุทธให้เลือกเดิน จะสำเร็จหรือไม่ ถึงอย่างไรก็ให้โอกาสไปแล้ว ก็อาศัยความสามารถของตัวเองป่ายปีนขึ้นไปแล้วกัน ไม่อย่างนั้นพวกเราทุ่มเงินฝนธัญพืชลงไปมากมายขนาดนั้นก็เพื่อชมเรื่องสนุกอย่างเดียวเท่านั้นหรือ? ถึงอย่างไรก็ต้องเอากำไรกลับมาบ้าง ถูกไหม?”

หยวนไหลเอ่ยเสียงเบา “จอมยุทธใช้วรยุทธสร้างความวุ่นวาย สำหรับราชสำนักแล้วจะต้องเป็นปัญหายุ่งยากอย่างมาก ใต้หล้าของพื้นที่มงคลรากบัวก็ยากที่จะถูกควบคุมให้อยู่ในกฎเกณฑ์ หากไม่ระวัง ที่ว่าการจะกลายเป็นแค่ของตกแต่งที่วางไว้เฉยๆ หากที่ว่าการและราชสำนักสูญเสียความน่าเกรงขามไป ถ้าอย่างนั้นการโคจรของระบบขุนเขาสายน้ำทั้งหมดก็จะเกิดปัญหาใหญ่ เฉาฉิงหล่างเคยบอกว่า ใต้หล้าแห่งหนึ่ง ต่อให้เล็กแค่ไหนก็ยังต้องเน้นย้ำในคำว่ามั่นคง”

หยวนเป่าหัวเราะเสียงเย็น “หากตาเฒ่าที่เป็นฮ่องเต้และพวกขุนนางทั้งหลายไม่ยอมทำงาน หรือทำได้ไม่ดี ถ้าอย่างนั้นก็เปลี่ยนหุ่นเชิดกลุ่มใหม่ที่เชื่อฟังคำสั่ง เอาคนที่กล้าฆ่าคน สามารถฆ่าคนได้ สยบผู้ฝึกลมปราณบนภูเขาได้ สังหารปรมาจารย์ในยุทธภพได้ ถอยไปพูดหนึ่งก้าว หากกลัวว่าสถานที่แห่งนั้นเล็กเกินไป บ่อเล็กมิอาจเลี้ยงเจียวหลง ก็ง่ายเลย พอมีต้นกล้าที่ดีก็จับออกมาจากในพื้นที่มงคล แล้วเอามาเลี้ยงไว้ที่ภูเขาลั่วพั่ว ภูเขามากมายขนาดนั้น จวนเซียนมากมายขนาดนั้น ปล่อยว่างไว้ก็เสียเปล่า ยกตัวอย่างเช่นผู้ฝึกลมปราณที่มีหวังว่าจะได้เลื่อนเป็นขอบเขตถ้ำสถิต ผู้ฝึกยุทธที่เป็นขอบเขตหกแล้ว ล้วนสามารถกลายมาเป็นลูกศิษย์ที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่อของภูเขาลั่วพั่ว เมื่อสะสมคุณความชอบไว้ได้มากพอก็ย่อมมีตำแหน่งที่ทาง มีเวทลับวิชาหมัดที่ดียิ่งกว่า มีวิชาตระกูลเซียนที่สูงยิ่งกว่าให้เล่าเรียน”

เสียงของหยวนไหลยิ่งเบาลงเรื่อยๆ “แล้วใจคนล่ะจะทำอย่างไร? ไหนเลยจะง่ายดายเพียงนั้น ท่านพี่ ลำพังเพียงแค่ภูเขาของอาจารย์ก็มีความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนที่ซับซ้อนมากมายขนาดนั้นแล้ว”

หยวนเป่าถลึงตาใส่น้องชายที่เป็นหนอนหนังสือผู้นี้ ไม่รู้จักทำตัวให้เบาใจบ้างเลย! มิน่าเล่าถึงพูดคุยกับเฉาฉิงหล่างได้ถูกคอมากที่สุด

จูเหลี่ยนไม่ได้เปิดปากเอ่ยอะไรแม้แต่คำเดียว

คำพูดของแม่นางน้อยจะบอกว่าถูกทั้งหมดไม่ได้ แต่ก็ไม่อาจพูดว่าผิดทั้งหมด

เพียงแต่เรื่องบางอย่างร้อยเรียงเชื่อมโยงกันเป็นทอดๆ ไม่ใช่แค่บวกลบอย่างง่ายๆ เหมือนของสำนักคำนวณ กลับกันยังเหมือนการสร้างเรือนหลังหนึ่ง หากเสาคานเบี้ยวเอียง นานวันเข้าเรือนทั้งหลังย่อมถล่มลงมา

แต่ว่าสามารถคิดให้มากพูดให้มากได้ ก็ถือว่าเป็นเรื่องดี ดังนั้นจูเหลี่ยนจึงไม่รีบร้อนที่จะโต้เถียงหรือยอมรับอะไร เพียงแค่ยิ้มมองแม่นางน้อย เป็นการบอกเป็นนัยให้นางมีความกล้าอีกนิด พูดความคิดในใจของตัวเองต่อไป

หยวนเป่ายกสองมือกอดอก หรี่ตาเอ่ยว่า “การที่ฝั่งของอาจารย์ต้องรู้สึกเหมือนถูกมัดมือมัดเท้าก็เพราะสถานการณ์วุ่นวายเกินไป แต่พื้นที่มงคลรากบัวกับภูเขาลั่วพั่วนั้นไม่เหมือนกัน อยู่ที่นี่ภูเขาลั่วพั่วของพวกเราก็คือเทพเทวาบนสวรรค์ของตลอดทั้งพื้นที่มงคล! เป็นคน ใครบ้างไม่กลัวตาย ไม่รู้จักทะนุถนอมชีวิต! ใต้หล้าไพศาลของพวกเรามีวิชาอภินิหารเลิศล้ำขนาดไหน ภายใต้สถานการณ์ใหญ่ที่ดำเนินไป ใจคนจะนับเป็นอะไรได้? ไม่แน่ว่าจะเออออคล้อยตามภูเขาลั่วพั่วเรายังแทบไม่ทัน”

เจิ้งต้าเฟิงยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “ตอนเป็นเด็กกลัวแต่ว่าอ่านหนังสือจะยาก ยามเป็นวัยรุ่นมักรู้สึกว่าการเป็นคนนั้นง่าย”

เด็กหนุ่มหยวนไหลรีบจดจำไว้ในใจทันที อันที่จริงความรู้ของท่านอาเจิ้งมีไม่น้อยเลยจริงๆ

จูเหลี่ยนเกาหัว พูดอย่างสะท้อนใจว่า “เมื่อวานเด็กหนุ่มขี่ม้าไม้ไผ่ คืนนี้เหตุใดกลายเป็นผู้เฒ่าผมขาวเสียแล้ว”

เว่ยป้อยิ้มถาม “หยวนเป่า ข้ามีคำถาม คนกลุ่มนี้มาถึงใต้หล้าไพศาลแล้วเอามาเลี้ยงไว้บนภูเขาใต้อาณัติของภูเขาลั่วพั่ว วันหน้าจะให้ทำอะไร?”

หยวนเป่าคิดไว้ในใจมานานแล้ว จึงหลุดปากตอบทันทีว่า “ก็ฝึกตนต่อไงล่ะ หรือไม่ก็คอยตรวจตราการฝึกวรยุทธของพวกเขา ขอแค่ผู้ฝึกลมปราณกลายเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกร หรือไม่ก็กลายเป็นปรมาจารย์ผู้ฝึกยุทธขอบเขตเจ็ดก็เอาไปขายให้กับกองกำลังฝ่ายต่างๆ ของแจกันสมบัติทวีป ถือเป็นการผูกบุญสัมพันธ์แล้วยังได้กำไรมาก้อนใหญ่ พวกคนที่หยิ่งทระนง ไม่ยินยอมจะตกเป็นวัตถุแลกเปลี่ยน ถ้าอย่างนั้นก็ต้องลงนามทำสัญญากับภูเขาลั่วพั่วของพวกเรา หลังออกไปจากภูเขาลั่วพั่วแล้ว คนพวกนี้จะต้องเอาเงินมาซื้ออิสระให้กับชีวิตของตัวเอง ก็แค่กำหนดเวลาไปว่ากี่สิบปีกี่ร้อยปี!”

เว่ยป้อถามอีก “หากคนกลุ่มนี้ไปสร้างหายนะให้กับผู้อื่น บัญชีเลอะเลือนครั้งนี้จะคิดกันอย่างไร?”

หยวนเป่าขมวดคิ้ว “จะต้องสนเรื่องพวกนี้ไปทำไม? คนใช้ชีวิตอยู่ในยุทธภพ เป็นตายต้องรับผิดชอบกันเอาเอง ในเมื่อหาเรื่องใส่ตัวเองแล้วความสามารถไม่มากพอย่อมถูกคนเหยียบย่ำ ผู้ที่หมัดใหญ่กว่าย่อมมีเหตุผลมากกว่า วิถีทางโลกทั้งบนและล่างภูเขาล้วนเป็นอย่างนี้เสมอมา! อาศัยอะไรถึงมาคิดบัญชีลงบนหัวภูเขาลั่วพั่วเรา?”

สีหน้าของจูเหลี่ยนยังคงเป็นปกติ

เจิ้งต้าเฟิงกลอกตามองบน

เว่ยป้อยื่นสองนิ้วออกมาจับต่างหูสีทองของตัวเอง รู้สึกกลัดกลุ้มเล็กน้อย

ลูกศิษย์ที่หลูป๋ายเซี่ยงรับมา ช่างช่วยประหยัดแรงกายแรงใจได้ดีจริงๆ

หยวนเป่ากำสองมือเป็นหมัดแน่น เน้นเสียงเอ่ยจริงจัง “อยู่ที่พื้นที่มงคลรากบัว พวกเราคือเทพเทวาบนสวรรค์ สามารถควบคุมจัดการพวกเขาได้ทุกเรื่อง ผู้ที่ปฏิบัติตามรุ่งเรือง ผู้ที่ต่อต้านมอดม้วย! วันหน้าออกไปจากภูเขาลั่วพั่วก็จะไม่มีความเกี่ยวข้องกับภูเขาลั่วพั่วของพวกเราอีกแล้ว เหลือเพียงแค่การค้าขายเท่านั้น อะไรที่เรียกว่าฟ้าดินเลี้ยงชีวิต นี่คือมหามรรคายิ่งใหญ่งดงามที่ภูเขาลั่วพั่วของพวกเราทุ่มเงินฝนธัญพืชหลายพันเหรียญสร้างขึ้นมาต่างหาก! วันหน้าก็จะยังทุ่มเงินต่อไปอีก ทุ่มเงินฝนธัญพืชมากกว่าเดิมอีก เพราะอะไร?”

หยวนเป่ามีโทสะเล็กน้อย “การก่อกำเนิดของวัตถุดิบวิเศษแห่งฟ้าดินช้าเกินไป สถานที่ดีเยี่ยมเหมาะแก่การฝึกตนที่เกิดจากปราณวิญญาณมารวมตัวกันล่ะ จะเร็วกว่ากันได้สักแค่ไหนกันเชียว? หรือจะต้องให้พวกเราขาดทุนแบบนี้ไปตลอด? อาจารย์ของข้าหาเงินมาได้ไม่ง่าย ลำบากอย่างมาก! ไม่เหมือนคนบางคนที่นั่งอาบแดด นั่งเล่นหมากล้อม ชมหิมะตกอยู่บนภูเขา”

จูเหลี่ยนยิ้มพลางโบกมือ “หยวนเป่า ภูเขาลั่วพั่วของพวกเรา ไม่เพียงแต่การปรึกษากันระหว่างเจ้าและข้าในตอนนี้ ต่อให้วันหน้าทะเลาะกันก็ต้องระมัดระวังสี่คำว่า ‘ว่ากันตามสถานการณ์’ ไม่อย่างนั้นต่อให้มีเหตุผลก็จะกลายเป็นว่าเจ้าไร้เหตุผล”

หยวนเป่าพยักหน้ารับ “ข้าฟังอาจารย์ผู้เฒ่าจู”

เจิ้งต้าเฟิงแทะเมล็ดแตง คำพูดของแม่นางน้อยทำเอามโนธรรมในใจของเขากระวนกระวายขึ้นมานิดๆ แล้วจริงๆ

หยวนเป่าสูดลมหายใจเข้าลึก สายตาฉายแววมุ่งมั่น มองไปทางเจิ้งต้าเฟิงและเว่ยป้อ “พวกเจ้าหากใครเห็นพวกเขาแล้วไม่ชอบขี้หน้า ย่อมได้ วันหน้าข้าจะเป็นคนรับผิดชอบออกหมัดสังหาร กวาดล้างตระกูลเอง ถือเสียว่าเลี้ยงเศษสวะไม่ได้ความพวกนี้มาอย่างเสียเปล่า”

เฉินยวนจีหวังว่าสหายของตนจะพูดให้น้อยหน่อย ดังนั้นจึงขยิบตาแรงๆ อยู่นานแล้ว และเวลานี้ก็ขยับเปลือกตาไม่ขึ้นแล้ว นางขยิบนานจนปวดตา

กลายเป็นว่าตอนนี้ต้องเริ่มนวดตาแทน

หยวนเป่าบีบมือของเฉินยวนจีเบาๆ บอกเป็นนัยให้นางรู้ว่าตนเข้าใจแล้ว

ตลอดทั้งภูเขาลั่วพั่วก็มีเฉินยวนจีนี่แหละที่นางถูกชะตาด้วยมากที่สุด ถือเป็นเพื่อนของนาง

คนอื่นๆ หากไม่ได้มาอยู่เฉยกินข้าวให้สิ้นเปลือง ก็เป็นพวกที่ชอบหลอกลวงคนอื่น หรือไม่ก็เป็นคนที่เอาแต่ปั้นหน้ายิ้มตาหยีไม่ทำอะไรเป็นการเป็นงาน แล้วยังมีพวกที่สมองเลอะเลือน ไม่รู้ว่าวันๆ คิดแต่เรื่องอะไรอยู่

อืม แม่หนูหน่วนซู่นั่นเป็นข้อยกเว้น มานะขันแข็ง ไม่แก่งแย่งกับใคร น่ารักน่าเอ็นดูอย่างมาก

จูเหลี่ยนเอ่ย “หยวนเป่า คำพูดของเจ้า ข้าพอจะเข้าใจแล้ว และก็จำเอาไว้แล้ว วางใจเถอะ ข้าจะไม่จงใจปล่อยผ่านไปทั้งอย่างนี้ ไม่แน่ว่าครั้งหน้าที่ประชุมกันในศาลบรรพจารย์ ก็จะยกเอาแนวทางความคิดนี้ของเจ้าออกมาพูดด้วย การปรึกษาพูดคุยกันในศาลบรรพจารย์ไม่ใช่เรื่องเล่น ทุกประโยคล้วนมีบันทึกไว้ ดังนั้นช่วงนี้ทางที่ดีที่สุดเจ้าควรคิดให้รอบคอบรัดกุมอีกหน่อย หลีกเลี่ยงไม่ให้ถึงเวลานั้นถูกคนหาช่องโหว่ได้ ข้าจะแนะนำเจ้าเรื่องหนึ่ง เจ้าจะฟังหรือไม่?”

หยวนเป่ายิ้มกล่าว “อาจารย์ผู้เฒ่าจูโปรดพูด!”

จูเหลี่ยนมองเด็กหนุ่มหยวนไหลที่มีท่าทางระมัดระวังแล้วเอ่ยว่า “หยวนไหลเห็นต่างกับเจ้ามากไม่ใช่หรือ? ถ้าอย่างนั้นวันหน้าเจ้าก็ลองวางมาดของพี่สาวลง พยายามใช้จิตใจที่สงบเป็นกลางมาโน้มน้าวหยวนไหลให้ได้ก่อน เจ้าลองคิดดูนะ หากแม้แต่หยวนไหลเจ้าก็ยังโน้มน้าวไม่ได้ ต่อให้ข้ายินดีเอาเรื่องนี้ไปอยู่ในรายการเรื่องที่จะยกมาปรึกษากันในศาลบรรพจารย์ แต่เจ้าคิดว่าตัวเองจะมีความมั่นใจจริงๆ หรือ? เจ้าคิดว่ามีเหตุผลหรือไม่?”

จูเหลี่ยนพลันรู้สึกกระอักกระอ่วนเสียเอง “แบบนี้ไม่ค่อยดีเท่าไรเลย เกรงใจแย่”

เว่ยป้อยิ้มกล่าว “ถ้าอย่างนั้นรออีกเดี๋ยวข้าค่อยไป?”

จูเหลี่ยนกลับลุกขึ้นยืนแล้ว “ธุระใหญ่ของซานจวินสำคัญกว่า รีบไปรีบกลับ จะได้เอาทรัพย์สินหลายๆ ก้อนกลับมาด้วย”

ร่างของเว่ยป้อหายวับไป พริบตาเดียวก็ห่างไปไกลพันลี้

เจิ้งต้าเฟิงบอกแม่หนูหน่วนซู่ว่าไม่ต้องตึงเครียด ยิ่งไม่ต้องตามเฉินหลิงจวินไปที่เมืองหงจู๋ซึ่งเป็นจุดรวมตัวกันของแม่น้ำสามสายแห่งนั้น

เจิ้งต้าเฟิงแทะเมล็ดแตงต่ออีกครั้ง

ภูเขาลั่วพั่วของพวกเรา จะมีคนถูกรังแกในถิ่นของบ้านตัวเองงั้นหรือ? ล้อท่านปู่เจ้าเล่นหรืออย่างไร

จากนั้นเจิ้งต้าเฟิงก็นวดคลึงปลายคาง โชคดีที่เจ้าขุนเขาหนุ่มไม่ได้อยู่บนภูเขา ไม่อย่างนั้นด้วยนิสัยของเฉินผิงอันในทุกวันนี้ คาดว่าคงปล่อยหนึ่งหมัดไปก่อน อย่างมากสุดก็หาสถานที่ที่ไร้ผู้คนสะบั้นสายน้ำบางแห่งแล้วค่อยพูดคุยกันด้วยเหตุผล

……

ในห้องทรงพระอักษรของฮ่องเต้ต้าหลี อันที่จริงห้องแห่งนี้ไม่ใหญ่นัก

แต่หากคิดจะเข้ามาในนี้ นั่งลงพูดคุย หมวกขุนนางก็ต้องใหญ่มากพอ หรือไม่ก็ต้องมีขอบเขตสูงมากพอ

ซ่งเหอฮ่องเต้หนุ่มหลับตาทำสมาธิ วันนี้แหกกฎไม่มีการประชุมในท้องพระโรง ก็เพื่อการประชุมที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้

อีกทั้งสถานการณ์ยังค่อนข้างพิเศษ ส่วนใหญ่ผู้ที่มาร่วมล้วนเป็นผู้ฝึกตน ขุนนางของต้าหลีมีน้อยจนนับนิ้วได้ แค่เจ้ากรมพิธีการและรองเจ้ากรมอีกสองท่าน รวมเป็นสามคนเท่านั้น

ซ่งเหอลืมตาขึ้น น่าจะเหลือเวลาอีกประมาณหนึ่งก้านธูป ฮ่องเต้หนุ่มมองโต๊ะหนังสือ บนโต๊ะมีภาพวาดขุนเขาสายน้ำของหลี่อิ๋งชิว เป็นอดีตฮ่องเต้ที่นำมาวางไว้ที่นี่ หลังจากซ่งเหอสืบทอดราชบัลลังก์ก็ไม่เคยเอาของชิ้นใดในห้องออกไป เพียงแค่เพิ่มของบางชิ้นเข้ามาเท่านั้น แต่ภายหลังรู้สึกว่าดูเกะกะเกินไปก็เลยเอาออกไปเงียบๆ

สิ่งที่ใช้บรรจุแกนม้วนภาพขุนเขาสายน้ำของหลี่อิ๋งชิวคือโถกระเบื้องเคลือบชิ้นหนึ่งที่ถ้ำสวรรค์หลีจูในอดีตเป็นผู้สร้าง อันที่จริงมองมันแล้วรู้สึกขวางหูขวางตาไม่นอย

หลี่อิ๋งชิวไม่ใช่คนบนภูเขา แต่ไหนแต่ไรมาพิณ หมากล้อม พู่กัน ภาพวาดของล่างภูเขาล้วนไม่เข้าตาตระกูลเซียนบนภูเขา แต่ก็มีบางส่วนที่เป็นข้อยกเว้น หลี่อิ๋งชิวคือคนผู้หนึ่งที่มีชื่ออยู่ในประวัติศาสตร์วงการภาพวาดของต้าสุย ไม่เพียงแต่สกุลซ่งต้าหลีเท่านั้นที่ชื่นชอบ อันที่จริงตระกูลเซียนบนภูเขาหลายแห่งของแจกันสมบัติทวีปก็ชื่นชอบผลงานของเขามากเช่นกัน

ในกระบอกกระเบื้องเคลือบนอกจากม้วนภาพขุนเขาสายน้ำฝีมือของหลี่อิ๋งชิวแล้วยังมีภาพวาดวิหคคู่บุปผาของเปียนเหย่อีกด้วย

ซ่งมู่ชำเลืองตามองม้วนภาพทั้งหลายที่อยู่ในโถกระเบื้อง ฮ่องเต้หนุ่มอยากจะเอ่ยขอโทษหลี่อิ๋งชิวจริงๆ ลำบากภาพขุนเขาสายน้ำของท่านผู้เฒ่าแล้วที่ต้องมาเป็นเพื่อนบ้านกับภาพวิหคบุปผาของคนผู้นี้

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!