หยวนเป่าเอ่ยเสียงหนักจริงจัง “เอาวิชาตระกูลเซียนที่ตื้นเขินบางอย่างมาจัดพิมพ์รวมเล่มเป็นหนังสือ จากนั้นก็ให้ฮ่องเต้ของสี่แคว้นแจกจ่ายออกไป ทุกคนต้องฝึกตน นอกจากนี้ก็ผลักดันวิชาลับวรยุทธออกไปเป็นวงกว้างเช่นเดียวกัน ไม่มีธรณีประตู ต่อให้คุณสมบัติจะย่ำแย่แค่ไหน แต่ต่อให้ฝึกวิชาเซียนไม่ได้ก็ยังมีเส้นทางวิถีวรยุทธให้เลือกเดิน จะสำเร็จหรือไม่ ถึงอย่างไรก็ให้โอกาสไปแล้ว ก็อาศัยความสามารถของตัวเองป่ายปีนขึ้นไปแล้วกัน ไม่อย่างนั้นพวกเราทุ่มเงินฝนธัญพืชลงไปมากมายขนาดนั้นก็เพื่อชมเรื่องสนุกอย่างเดียวเท่านั้นหรือ? ถึงอย่างไรก็ต้องเอากำไรกลับมาบ้าง ถูกไหม?”
หยวนไหลเอ่ยเสียงเบา “จอมยุทธใช้วรยุทธสร้างความวุ่นวาย สำหรับราชสำนักแล้วจะต้องเป็นปัญหายุ่งยากอย่างมาก ใต้หล้าของพื้นที่มงคลรากบัวก็ยากที่จะถูกควบคุมให้อยู่ในกฎเกณฑ์ หากไม่ระวัง ที่ว่าการจะกลายเป็นแค่ของตกแต่งที่วางไว้เฉยๆ หากที่ว่าการและราชสำนักสูญเสียความน่าเกรงขามไป ถ้าอย่างนั้นการโคจรของระบบขุนเขาสายน้ำทั้งหมดก็จะเกิดปัญหาใหญ่ เฉาฉิงหล่างเคยบอกว่า ใต้หล้าแห่งหนึ่ง ต่อให้เล็กแค่ไหนก็ยังต้องเน้นย้ำในคำว่ามั่นคง”
หยวนเป่าหัวเราะเสียงเย็น “หากตาเฒ่าที่เป็นฮ่องเต้และพวกขุนนางทั้งหลายไม่ยอมทำงาน หรือทำได้ไม่ดี ถ้าอย่างนั้นก็เปลี่ยนหุ่นเชิดกลุ่มใหม่ที่เชื่อฟังคำสั่ง เอาคนที่กล้าฆ่าคน สามารถฆ่าคนได้ สยบผู้ฝึกลมปราณบนภูเขาได้ สังหารปรมาจารย์ในยุทธภพได้ ถอยไปพูดหนึ่งก้าว หากกลัวว่าสถานที่แห่งนั้นเล็กเกินไป บ่อเล็กมิอาจเลี้ยงเจียวหลง ก็ง่ายเลย พอมีต้นกล้าที่ดีก็จับออกมาจากในพื้นที่มงคล แล้วเอามาเลี้ยงไว้ที่ภูเขาลั่วพั่ว ภูเขามากมายขนาดนั้น จวนเซียนมากมายขนาดนั้น ปล่อยว่างไว้ก็เสียเปล่า ยกตัวอย่างเช่นผู้ฝึกลมปราณที่มีหวังว่าจะได้เลื่อนเป็นขอบเขตถ้ำสถิต ผู้ฝึกยุทธที่เป็นขอบเขตหกแล้ว ล้วนสามารถกลายมาเป็นลูกศิษย์ที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่อของภูเขาลั่วพั่ว เมื่อสะสมคุณความชอบไว้ได้มากพอก็ย่อมมีตำแหน่งที่ทาง มีเวทลับวิชาหมัดที่ดียิ่งกว่า มีวิชาตระกูลเซียนที่สูงยิ่งกว่าให้เล่าเรียน”
เสียงของหยวนไหลยิ่งเบาลงเรื่อยๆ “แล้วใจคนล่ะจะทำอย่างไร? ไหนเลยจะง่ายดายเพียงนั้น ท่านพี่ ลำพังเพียงแค่ภูเขาของอาจารย์ก็มีความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนที่ซับซ้อนมากมายขนาดนั้นแล้ว”
หยวนเป่าถลึงตาใส่น้องชายที่เป็นหนอนหนังสือผู้นี้ ไม่รู้จักทำตัวให้เบาใจบ้างเลย! มิน่าเล่าถึงพูดคุยกับเฉาฉิงหล่างได้ถูกคอมากที่สุด
จูเหลี่ยนไม่ได้เปิดปากเอ่ยอะไรแม้แต่คำเดียว
คำพูดของแม่นางน้อยจะบอกว่าถูกทั้งหมดไม่ได้ แต่ก็ไม่อาจพูดว่าผิดทั้งหมด
เพียงแต่เรื่องบางอย่างร้อยเรียงเชื่อมโยงกันเป็นทอดๆ ไม่ใช่แค่บวกลบอย่างง่ายๆ เหมือนของสำนักคำนวณ กลับกันยังเหมือนการสร้างเรือนหลังหนึ่ง หากเสาคานเบี้ยวเอียง นานวันเข้าเรือนทั้งหลังย่อมถล่มลงมา
แต่ว่าสามารถคิดให้มากพูดให้มากได้ ก็ถือว่าเป็นเรื่องดี ดังนั้นจูเหลี่ยนจึงไม่รีบร้อนที่จะโต้เถียงหรือยอมรับอะไร เพียงแค่ยิ้มมองแม่นางน้อย เป็นการบอกเป็นนัยให้นางมีความกล้าอีกนิด พูดความคิดในใจของตัวเองต่อไป
หยวนเป่ายกสองมือกอดอก หรี่ตาเอ่ยว่า “การที่ฝั่งของอาจารย์ต้องรู้สึกเหมือนถูกมัดมือมัดเท้าก็เพราะสถานการณ์วุ่นวายเกินไป แต่พื้นที่มงคลรากบัวกับภูเขาลั่วพั่วนั้นไม่เหมือนกัน อยู่ที่นี่ภูเขาลั่วพั่วของพวกเราก็คือเทพเทวาบนสวรรค์ของตลอดทั้งพื้นที่มงคล! เป็นคน ใครบ้างไม่กลัวตาย ไม่รู้จักทะนุถนอมชีวิต! ใต้หล้าไพศาลของพวกเรามีวิชาอภินิหารเลิศล้ำขนาดไหน ภายใต้สถานการณ์ใหญ่ที่ดำเนินไป ใจคนจะนับเป็นอะไรได้? ไม่แน่ว่าจะเออออคล้อยตามภูเขาลั่วพั่วเรายังแทบไม่ทัน”
เจิ้งต้าเฟิงยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “ตอนเป็นเด็กกลัวแต่ว่าอ่านหนังสือจะยาก ยามเป็นวัยรุ่นมักรู้สึกว่าการเป็นคนนั้นง่าย”
เด็กหนุ่มหยวนไหลรีบจดจำไว้ในใจทันที อันที่จริงความรู้ของท่านอาเจิ้งมีไม่น้อยเลยจริงๆ
จูเหลี่ยนเกาหัว พูดอย่างสะท้อนใจว่า “เมื่อวานเด็กหนุ่มขี่ม้าไม้ไผ่ คืนนี้เหตุใดกลายเป็นผู้เฒ่าผมขาวเสียแล้ว”
เว่ยป้อยิ้มถาม “หยวนเป่า ข้ามีคำถาม คนกลุ่มนี้มาถึงใต้หล้าไพศาลแล้วเอามาเลี้ยงไว้บนภูเขาใต้อาณัติของภูเขาลั่วพั่ว วันหน้าจะให้ทำอะไร?”
หยวนเป่าคิดไว้ในใจมานานแล้ว จึงหลุดปากตอบทันทีว่า “ก็ฝึกตนต่อไงล่ะ หรือไม่ก็คอยตรวจตราการฝึกวรยุทธของพวกเขา ขอแค่ผู้ฝึกลมปราณกลายเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกร หรือไม่ก็กลายเป็นปรมาจารย์ผู้ฝึกยุทธขอบเขตเจ็ดก็เอาไปขายให้กับกองกำลังฝ่ายต่างๆ ของแจกันสมบัติทวีป ถือเป็นการผูกบุญสัมพันธ์แล้วยังได้กำไรมาก้อนใหญ่ พวกคนที่หยิ่งทระนง ไม่ยินยอมจะตกเป็นวัตถุแลกเปลี่ยน ถ้าอย่างนั้นก็ต้องลงนามทำสัญญากับภูเขาลั่วพั่วของพวกเรา หลังออกไปจากภูเขาลั่วพั่วแล้ว คนพวกนี้จะต้องเอาเงินมาซื้ออิสระให้กับชีวิตของตัวเอง ก็แค่กำหนดเวลาไปว่ากี่สิบปีกี่ร้อยปี!”
เว่ยป้อถามอีก “หากคนกลุ่มนี้ไปสร้างหายนะให้กับผู้อื่น บัญชีเลอะเลือนครั้งนี้จะคิดกันอย่างไร?”
หยวนเป่าขมวดคิ้ว “จะต้องสนเรื่องพวกนี้ไปทำไม? คนใช้ชีวิตอยู่ในยุทธภพ เป็นตายต้องรับผิดชอบกันเอาเอง ในเมื่อหาเรื่องใส่ตัวเองแล้วความสามารถไม่มากพอย่อมถูกคนเหยียบย่ำ ผู้ที่หมัดใหญ่กว่าย่อมมีเหตุผลมากกว่า วิถีทางโลกทั้งบนและล่างภูเขาล้วนเป็นอย่างนี้เสมอมา! อาศัยอะไรถึงมาคิดบัญชีลงบนหัวภูเขาลั่วพั่วเรา?”
สีหน้าของจูเหลี่ยนยังคงเป็นปกติ
เจิ้งต้าเฟิงกลอกตามองบน
เว่ยป้อยื่นสองนิ้วออกมาจับต่างหูสีทองของตัวเอง รู้สึกกลัดกลุ้มเล็กน้อย
ลูกศิษย์ที่หลูป๋ายเซี่ยงรับมา ช่างช่วยประหยัดแรงกายแรงใจได้ดีจริงๆ
หยวนเป่ากำสองมือเป็นหมัดแน่น เน้นเสียงเอ่ยจริงจัง “อยู่ที่พื้นที่มงคลรากบัว พวกเราคือเทพเทวาบนสวรรค์ สามารถควบคุมจัดการพวกเขาได้ทุกเรื่อง ผู้ที่ปฏิบัติตามรุ่งเรือง ผู้ที่ต่อต้านมอดม้วย! วันหน้าออกไปจากภูเขาลั่วพั่วก็จะไม่มีความเกี่ยวข้องกับภูเขาลั่วพั่วของพวกเราอีกแล้ว เหลือเพียงแค่การค้าขายเท่านั้น อะไรที่เรียกว่าฟ้าดินเลี้ยงชีวิต นี่คือมหามรรคายิ่งใหญ่งดงามที่ภูเขาลั่วพั่วของพวกเราทุ่มเงินฝนธัญพืชหลายพันเหรียญสร้างขึ้นมาต่างหาก! วันหน้าก็จะยังทุ่มเงินต่อไปอีก ทุ่มเงินฝนธัญพืชมากกว่าเดิมอีก เพราะอะไร?”
หยวนเป่ามีโทสะเล็กน้อย “การก่อกำเนิดของวัตถุดิบวิเศษแห่งฟ้าดินช้าเกินไป สถานที่ดีเยี่ยมเหมาะแก่การฝึกตนที่เกิดจากปราณวิญญาณมารวมตัวกันล่ะ จะเร็วกว่ากันได้สักแค่ไหนกันเชียว? หรือจะต้องให้พวกเราขาดทุนแบบนี้ไปตลอด? อาจารย์ของข้าหาเงินมาได้ไม่ง่าย ลำบากอย่างมาก! ไม่เหมือนคนบางคนที่นั่งอาบแดด นั่งเล่นหมากล้อม ชมหิมะตกอยู่บนภูเขา”
จูเหลี่ยนยิ้มพลางโบกมือ “หยวนเป่า ภูเขาลั่วพั่วของพวกเรา ไม่เพียงแต่การปรึกษากันระหว่างเจ้าและข้าในตอนนี้ ต่อให้วันหน้าทะเลาะกันก็ต้องระมัดระวังสี่คำว่า ‘ว่ากันตามสถานการณ์’ ไม่อย่างนั้นต่อให้มีเหตุผลก็จะกลายเป็นว่าเจ้าไร้เหตุผล”
หยวนเป่าพยักหน้ารับ “ข้าฟังอาจารย์ผู้เฒ่าจู”
เจิ้งต้าเฟิงแทะเมล็ดแตง คำพูดของแม่นางน้อยทำเอามโนธรรมในใจของเขากระวนกระวายขึ้นมานิดๆ แล้วจริงๆ
หยวนเป่าสูดลมหายใจเข้าลึก สายตาฉายแววมุ่งมั่น มองไปทางเจิ้งต้าเฟิงและเว่ยป้อ “พวกเจ้าหากใครเห็นพวกเขาแล้วไม่ชอบขี้หน้า ย่อมได้ วันหน้าข้าจะเป็นคนรับผิดชอบออกหมัดสังหาร กวาดล้างตระกูลเอง ถือเสียว่าเลี้ยงเศษสวะไม่ได้ความพวกนี้มาอย่างเสียเปล่า”
เฉินยวนจีหวังว่าสหายของตนจะพูดให้น้อยหน่อย ดังนั้นจึงขยิบตาแรงๆ อยู่นานแล้ว และเวลานี้ก็ขยับเปลือกตาไม่ขึ้นแล้ว นางขยิบนานจนปวดตา
กลายเป็นว่าตอนนี้ต้องเริ่มนวดตาแทน
หยวนเป่าบีบมือของเฉินยวนจีเบาๆ บอกเป็นนัยให้นางรู้ว่าตนเข้าใจแล้ว
ตลอดทั้งภูเขาลั่วพั่วก็มีเฉินยวนจีนี่แหละที่นางถูกชะตาด้วยมากที่สุด ถือเป็นเพื่อนของนาง
คนอื่นๆ หากไม่ได้มาอยู่เฉยกินข้าวให้สิ้นเปลือง ก็เป็นพวกที่ชอบหลอกลวงคนอื่น หรือไม่ก็เป็นคนที่เอาแต่ปั้นหน้ายิ้มตาหยีไม่ทำอะไรเป็นการเป็นงาน แล้วยังมีพวกที่สมองเลอะเลือน ไม่รู้ว่าวันๆ คิดแต่เรื่องอะไรอยู่
อืม แม่หนูหน่วนซู่นั่นเป็นข้อยกเว้น มานะขันแข็ง ไม่แก่งแย่งกับใคร น่ารักน่าเอ็นดูอย่างมาก
จูเหลี่ยนเอ่ย “หยวนเป่า คำพูดของเจ้า ข้าพอจะเข้าใจแล้ว และก็จำเอาไว้แล้ว วางใจเถอะ ข้าจะไม่จงใจปล่อยผ่านไปทั้งอย่างนี้ ไม่แน่ว่าครั้งหน้าที่ประชุมกันในศาลบรรพจารย์ ก็จะยกเอาแนวทางความคิดนี้ของเจ้าออกมาพูดด้วย การปรึกษาพูดคุยกันในศาลบรรพจารย์ไม่ใช่เรื่องเล่น ทุกประโยคล้วนมีบันทึกไว้ ดังนั้นช่วงนี้ทางที่ดีที่สุดเจ้าควรคิดให้รอบคอบรัดกุมอีกหน่อย หลีกเลี่ยงไม่ให้ถึงเวลานั้นถูกคนหาช่องโหว่ได้ ข้าจะแนะนำเจ้าเรื่องหนึ่ง เจ้าจะฟังหรือไม่?”
หยวนเป่ายิ้มกล่าว “อาจารย์ผู้เฒ่าจูโปรดพูด!”
จูเหลี่ยนมองเด็กหนุ่มหยวนไหลที่มีท่าทางระมัดระวังแล้วเอ่ยว่า “หยวนไหลเห็นต่างกับเจ้ามากไม่ใช่หรือ? ถ้าอย่างนั้นวันหน้าเจ้าก็ลองวางมาดของพี่สาวลง พยายามใช้จิตใจที่สงบเป็นกลางมาโน้มน้าวหยวนไหลให้ได้ก่อน เจ้าลองคิดดูนะ หากแม้แต่หยวนไหลเจ้าก็ยังโน้มน้าวไม่ได้ ต่อให้ข้ายินดีเอาเรื่องนี้ไปอยู่ในรายการเรื่องที่จะยกมาปรึกษากันในศาลบรรพจารย์ แต่เจ้าคิดว่าตัวเองจะมีความมั่นใจจริงๆ หรือ? เจ้าคิดว่ามีเหตุผลหรือไม่?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!