กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 641

ความประทับใจที่ซ่งเหอมีต่อเปียนเหย่ย่ำแย่อย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นผลงานหรือนิสัยใจคอของเขาล้วนเอามาเป็นหน้าเป็นตาอะไรไม่ได้ คนผู้นี้คือจิตรกรตกอับคนหนึ่งของอดีตราชวงศ์สกุลหลู แต่ย้ายมาอยู่แคว้นต้าหลีที่ตอนนั้นยังเป็นแคว้นใต้อาณัติ คือคนต่างถิ่นน้อยคนนักที่มาลงหลักปักฐานอยู่ที่นี่ ดังนั้นจึงได้รับความสำคัญจากฮ่องเต้ของต้าหลีในยุคสมัยนั้น บนภาพวาดทุกภาพของเขาล้วนประทับตราหยกลัญจกรของฮ่องเต้ต้าหลีสองพระองค์ คาดว่าตัวเปียนเหย่เองคงคิดไม่ถึงว่าตนเองตายไปไม่ถึงร้อยปี เพียงแค่เพราะตอนนั้นเอาชีวิตอยู่รอดในราชวงศ์สกุลหลูไม่ได้จึงแล่นมาหาข้าวกินไปวันๆ ในใต้หล้าที่เป็นบ้านป่าเมืองเถื่อน ทุกวันนี้อยู่ดีๆ กลับกลายมาเป็นจิตรกรเอกในวงการภาพวาดของแจกันสมบัติทวีปเสียแล้ว ถ้อยคำสรรเสริญเยินยออะไรที่บอกว่า ‘เชี่ยวชาญเคล็ดลับการวาดวิหคบุปผา จัดวางองค์ประกอบได้อย่างยอดเยี่ยม สีสันสดใสเหมือนมีชีวิตจริง’ ‘ความรู้ลึกซึ้งเลิศล้ำ เป็นต้นแบบของทั้งอดีตและปัจจุบัน’ ล้วนผุดขึ้นมาไม่ขาดสาย

ตอนที่ซ่งเหอยังเด็กได้รับฟังคำสั่งสอนร่วมกับบรรดาองค์ชายทั้งหลายที่นี่ บางคนก็มีความเห็นตรงกับซ่งเหอ บอกว่าภาพวาดของคนผู้นี้สีสันฉูดฉาดเกินไป ตอนนั้นอดีตฮ่องเต้ไม่ได้มีคำวิจารณ์ต่อภาพวาดของเขาว่าดีหรือเลว เพียงบอกว่าวันหน้าไม่ว่าใครก็ตามที่ได้เป็นเจ้าของห้องห้องนี้ ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ก็ต้องเก็บภาพวาดของคนผู้นี้เอาไว้

แต่ในโถกระเบื้องใบนั้นกลับมีเทียบอักษรหนึ่งที่เป็นสมบัติล้ำค่าสมชื่ออย่างแท้จริง มีชื่อว่า ‘เทียบกลับบ้านเกิดไม่สู้หวนคืนบ้านเกิด’

ถึงขั้นที่สามารถเรียกได้ว่าเป็นสมบัติอันดับหนึ่งของห้องทรงพระอักษรแห่งต้าหลีห้องนี้

นั่นคือเทียบอักษรชิ้นหนึ่งของอาจารย์ซ่งเหอ ชุยฉานราชครูแห่งราชวงศ์ต้าหลี แน่นอนว่าต้องเป็นของจริง

เทียบอักษรของชุยฉาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวอักษรแบบหวัดนั้น เขียนได้เลิศล้ำยอดเยี่ยมอย่างถึงที่สุด ทั้งใต้หล้าไพศาลล้วนให้การยอมรับว่าหนึ่งคำมีค่าดุจทองพันชั่ง

ลูกศิษย์คนแรกของสายเหวินเซิ่งในอดีต ซิ่วหู่ฉุยชาน คู่ควรกับคำว่าซิ่ว (ปัก/ลายปัก/งานปัก) ก็เหมือนกับที่เฉินฉุนอันแห่งทักษินาตยทวีปคู่ควรกับคำว่าฉุน (บริสุทธิ์ไม่มีอะไรเจือปน)

ชุยฉานมีเทียบกลางมวลบุปผาสี่เทียบ เทียบเหนือเมฆสี่เมฆ เทียบริมน้ำพุสี่เทียบ เทียบยอดเขาสี่เทียบ รวมทั้งหมดสิบหกเทียบที่ได้รับการสืบทอดต่อกันมา

สิบหกเทียบกระจายอยู่ในเก้าทวีป ล้วนตกอยู่ในมือของนักสะสมใหญ่ที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วหล้า คนหนึ่งในนั้นคือผู้ฝึกตนใหญ่บนยอดเขาของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง เขาเคียดแค้นชุยฉานอย่างมาก ต้องทุ่มทรัพยากรไปมหาศาลถึงจะสามารถซื้อเทียบตัวอักษรสองเทียบอย่าง ‘เทียบขอทานขอข้าว’ และ ‘เทียบชิงตำแหน่ง’ มาได้ เขาเอามาเผาทำลายต่อหน้าทุกคน ถูกมองว่าเป็นวีรกรรมที่ยิ่งใหญ่ ชวนให้ทุกคนสาสมใจยิ่งนัก

เพียงแต่ว่าร้อยปีให้หลังความจริงถึงได้ปรากฏ ผู้ฝึกตนเฒ่าที่เรียกตัวเองว่า ‘ผู้ที่รังเกียจชุยฉานที่สุด ข้าคืออันดับหนึ่ง’ ผู้นี้กลับถูกลูกหลานเอาความลับมาเปิดเผย คนนอกถึงได้รู้ว่าเจ้าตะพาบเฒ่าผู้นี้ทำลายเพียงแค่เทียบของปลอมสองเทียบเท่านั้น ส่วนผลงานจริงกลับเก็บรักษาเอาไว้ให้สืบทอดต่อกันไปในตระกูล

นอกจากนี้ยังเล่าลือกันว่าสกุลหลิวของธวัลทวีป นครจักรพรรดิขาว เจ้าประมุขสกุลอวี้แผ่นดินกลาง เจียงซ่างเจินแห่งสำนักกุยหยก ต่างก็เก็บรักษาเทียบชิ้นหนึ่งเอาไว้

ชุยฉานเดินเข้ามาในห้อง ประสานมือคารวะแล้วเอ่ยว่า ‘ฝ่าบาท เริ่มประชุมกันได้แล้ว’

เป็นมารยาทระหว่างจักรพรรดิกับขุนนาง

ฮ่องเต้หนุ่มรีบลุกขึ้นยืน คารวะกลับคืน คือมารยาทระหว่างอาจารย์และศิษย์

อันที่จริงไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ เพียงแต่ซ่งเหอกลับทำทุกครั้งไม่มีข้อยกเว้น ต่อให้อยู่ต่อหน้าขุนนางหลักคนสำคัญที่มาประชุมเล็ก เขาก็ยังทำเช่นนี้

ชุยฉานนั่งลงได้ไม่นานเท่าไร เจ้ากรมพิธีการและรองเจ้ากรมรวมทั้งสิ้นสามคนก็พากันคารวะแล้วนั่งลง

จากนั้นก็เป็นคนบนภูเขาของแจกันสมบัติทวีปแต่ละท่าน

เจ้าสำนักโองการเทพ เซียนลัทธิเต๋า เทียนจวินใหญ่ฉีเจิน

ผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของต้าหลี หร่วนฉงเจ้าสำนักกระบี่หลงเฉวียน

บรรพจารย์ของศาลลมหิมะ ผู้เฒ่าที่บรรลุมรรคาซึ่งมีหน้าตาอ่อนเยาว์ ช่วงนี้เขาเพิ่งจะปรากฏตัวอีกครั้ง ซึ่งเป็นช่วงการประลองสามครั้งระหว่างสวมลมฟ้ากับภูเขาตะวันเที่ยง

ภูเขาเจินอู่ บุรุษสะพายกระบี่ท่านหนึ่งที่เพิ่งได้เลื่อนขั้นเป็นผู้คุมกฎของศาลบรรพจารย์

ในสายตาของคนนอก ขอแค่ภูเขาเจินอู่มีหม่าขู่เสวียนคนเดียวก็มีอนาคตแล้ว

แต่อันที่จริงศาลลมหิมะเองก็ไม่เลว มีเว่ยจิ้นแห่งหอเทพเซียนอยู่คนหนึ่ง แต่ความไม่เพียงพอในความสมบูรณ์แบบเพียงอย่างเดียวก็คือ เว่ยจิ้นไม่ได้มีความผูกผันกับศาลลมหิมะมากนัก สาเหตุเพราะการสืบทอดทางฝ่ายอาจารย์จึงทำให้ห่างเหินเย็นชากับศาลลมหิมะมาโดยตลอด และตอนนี้ก็ยิ่งไปอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ไม่อย่างนั้นวันนี้ก็น่าจะมีตำแหน่งที่นั่งของเซียนกระบี่เว่ยจิ้นอยู่ด้วย

ผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของสำนักเจินจิ้ง หลิวเหล่าเฉิงแห่งทะเลสาบซูเจี่ยนที่มีชาติกำเนิดจากผู้ฝึกตนอิสระ

วิญญูชนใหญ่ท่านหนึ่งของสำนักศึกษากวานหู

เจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาหลินลู่บนภูเขาพีอวิ๋น

ฝูฉีเจ้านครมังกรเฒ่า

บรรพบุรุษสกุลเกาเกอหยางแห่งราชวงศ์ต้าสุย

ซานจวินใหญ่แห่งห้าขุนเขาใหม่ของแจกันสมบัติทวีป เพียงแต่ว่าวันนี้มาเยือนแค่สี่ท่าน คนหนึ่งในนั้นก็คือเว่ยป้อแห่งขุนเขาเหนือและจิ้นชิงแห่งขุนเขากลาง

มีเพียงฟ่านจวิ้นเม่าแห่งขุนเขาใต้ที่ไม่ได้ปรากฏตัว

จวี้จื่อแห่งสำนักโม่

สวี่รั่วจอมยุทธพเนจรสำนักโม่ที่ชอบวางกระบี่พาดขวางไว้ด้านหลัง

บรรพบุรุษท่านหนึ่งของสกุลเจียงอวิ๋นหลิน

เทพวารีสองท่านจากภาคกลางของแจกันสมบัติทวีป

เล่าลือกันว่าต้องการนำน้ำของหกแม่น้ำสิบสองลำคลองมารวมตัวกันกลายเป็นลำน้ำใหญ่ที่ไหลลงสู่มหาสมุทร!

ดูท่าข่าวลือที่น่าตะลึงพรึงเพริดนี้จะไม่ใช่แค่ข่าวโคมลอยเสียแล้ว

เจ้าประมุขสกุลสวี่นครลมเย็น หลังจากได้รับเสื้อเกราะโหวจื่อไปก็เหมือนพยัคฆ์ติดปีก พลังพิฆาตสูงมาก

สตรีคนหนึ่งของภูเขาตะวันเที่ยงที่มีรูปลักษณ์อ่อนเยาว์ ว่ากันว่าคือบรรพจารย์ท่านหนึ่งที่ช่วงนี้เริ่มดูแลเรื่องเงินทอง เมื่อเทียบกับบรรพจารย์ผู้ฝึกกระบี่ของภูเขาตะวันเที่ยงกลุ่มนั้นแล้ว นางก็คือคนที่ไร้นามไร้ชื่อเสียง

วันนี้นางนั่งอยู่ปลายแถว

เมื่อเทียบกับอดีตภูเขาผู้นำของต้าหลีทั้งหลายแล้ว ที่นั่งของนางยังค่อนไปทางด้านหลังยิ่งกว่า

ตามหลักแล้วภูเขาตะวันเที่ยงกับนครลมเย็นคือพันธมิตรที่มีความสัมพันธ์ลึกล้ำมาก แต่ก่อนหน้านี้ที่เจ้าประมุขสกุลสวี่รอเข้าเฝ้าอยู่ที่อื่น เห็นผู้ฝึกตนหญิงจากภูเขาตะวันเที่ยงข้างกายผู้นี้ก็แค่พยักหน้าทักทายเท่านั้น ขนาดจะพูดคุยปราศรัยด้วยยังคร้านจะทำ

กลับเป็นนางที่เป็นฝ่ายลุกขึ้นยืนคารวะเขาก่อนนั่งลงอีกครั้ง

ผู้ฝึกตนและสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำรวมแล้วสามสิบหกท่าน ก่อนหน้านี้ได้รวมตัวกันอยู่ในห้องโถงแห่งหนึ่ง คนส่วนใหญ่ต่างพูดคุยกัน ยกตัวอย่างเช่นสกุลเจียงอวิ๋นหลินกับตระกูลฝูนครมังกรเฒ่าเป็นบ้านดองกัน ส่วนสกุลสวี่นครลมเย็นก็เป็นบ้านดองกับสกุลหยวนเสาคานแห่งแคว้น ดังนั้นจึงพอจะมีความสัมพันธ์ควันธูปกับรองเจ้ากรมพิธีการฝ่ายขวาอยู่บ้าง ส่วนเจ้ากรมพิธีการก็ยิ่งนั่งอยู่ข้างกายหร่วนฉง พูดจาสนิทสนมชิดเชื้อ ซานจวินสองท่านอย่างเว่ยป้อและจิ้นชิงต่างฝ่ายต่างรังเกียจกันเอง ส่วนซานจวินใหม่อีกสองท่านก็ดูเหมือนว่าความสัมพันธ์จะไม่เลว จึงคุยเรื่องเป็นการเป็นงานกันอยู่ ฉีเจินพูดคุยกับจวี้จื่อแห่งสำนักโม่อย่างถูกคอ แม้แต่บรรพบุรุษสกุลเกาเกอหยาง จะดีจะชั่วก็เก็บตัวอยู่ในสำนักศึกษาหลินลู่บนภูเขาพีอวิ๋นมานานหลายปี บวกกับที่มีวิญญูชนใหญ่จากสำนักศึกษากวานหูอยู่ด้วย จึงสามารถพูดคุยเรื่องการศึกษาหาความรู้กันได้

น่าสงสารผู้ฝึกตนหญิงจากภูเขาตะวันเที่ยงคนนี้ที่ไม่มีใครพอจะพูดคุยด้วยได้แม้แต่คนเดียว

ชุยฉานลุกขึ้นยืนแล้วพูดเข้าประเด็นทันที “วันนี้เรียกทุกท่านมารวมตัวกันเพราะจะประชุมสิบเรื่อง”

ในห้องกับนอกห้องคือฟ้าดินสองแห่ง

ทุกคนต่างก็ตั้งใจทำสมาธิ ไม่มีสีหน้าผ่อนคลายใดๆ

นอกจากที่การประชุมในห้องทรงพระอักษรวันนี้มีความเกี่ยวข้องกับทุกคนอย่างแนบแน่นแล้ว ขอบเขตที่เป็นดั่งเมฆหมอกล้อมวนของราชครูต้าหลีในทุกวันนี้ก็เป็นกุญแจสำคัญเช่นกัน

ส่วนคนสำคัญสามท่านของกรมพิธีการก็ยิ่งเงี่ยหูตั้งใจฟังเหมือนนักเรียนกำลังฟังคำสอนของครู

ชุยฉานเอ่ย “เรื่องแรก ราชสำนักจะประกาศภูเขาผู้ช่วยผู้สืบทอดของห้าขุนเขา”

ซานจวินสี่ท่านย่อมต้องฟังเรื่องนี้อย่างตั้งใจ เพราะเกี่ยวพันกับมหามรรคาของพวกเขา

ในความเป็นจริงแล้วเรื่องนี้ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องในบ้านของห้าขุนเขาเท่านั้น ยังเกี่ยวพันไปถึงผลประโยชน์ส่วนตนของทุกคนที่นั่งอยู่ด้วย

เจ้ากรมพิธีการลุกขึ้นยืน เปิดสมุดเล่มหนึ่งออกและเริ่มร่ายรายชื่อ

พอเจ้ากรมพิธีการเอ่ยคำสุดท้ายจบก็มองชุยฉาน ชุยฉานที่ยืนอยู่ตลอดเวลาผงกศีรษะเบาๆ เจ้ากรมพิธีการผู้เฒ่าถึงได้นั่งลง

ชุยฉานเอ่ย “เรื่องที่สอง เลือกภูเขาสำรองสำนักอักษรจงจากกลุ่มคนที่ได้รับความไว้วางใจจากทุกท่าน”

เจ้าประมุขสกุลสวี่นครลมเย็นยืดเอวตั้งตรง นั่งสงบอย่างสำรวม

ผู้ฝึกตนหญิงของภูเขาตะวันเที่ยงคนนั้นก็รีบสำรวมสีหน้า

ดูเหมือนสตรีจะไม่กล้ามองอริยะหร่วนฉงแห่งสำนักกระบี่หลงเฉวียนตรงๆ สักเท่าไร

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!