ในอดีตเพราะไม่อาจไปอยู่ที่ยอดเขาจิ่วอี้ ทุกคนต่างก็รู้สึกว่าชีวิตนี้เจียงซ่างเจินคงไม่มีวาสนากับคำว่าเจ้าสำนักแล้ว ผลกลับกลายเป็นว่าอันดับแรกก็เกิดเรื่องไม่คาดฝัน เขาได้กลายเป็นเจ้าสำนักของสำนักเบื้องล่างแทนที่บรรพจารย์ผู้คุมกฎของสำนักใบถงที่ทรยศมาเข้าร่วมกับสำนักกุยหยก ตอนนี้ก็ยิ่งได้แหกกฎกลายเป็นเจ้าสำนักกุยหยก
คนผู้หนึ่งที่ไปก่อเรื่องในอุตรกุรุทวีปจนหมากระโดดไก่บินเช่นนี้ พอได้กลายเป็นเจ้าสำนักของสำนักเจินจิ้ง อยู่ดีๆ กลับเก็บหางทำตัวเป็นคนสำรวมขึ้นมาเสียอย่างนั้น แล้วพอได้เป็นเจ้าสำนักกุยหยก ในขณะที่ทุกคนต่างก็คิดว่าเจียงซ่างเจินจะต้องลงมือกับสำนักใบถงนั้นเอง เขากลับเดินทางไปเยือนสำนักใบถงที่คลอนแคลนอยู่ท่ามกลางลมฝน เป็นฝ่ายขอผูกสัมพันธ์เป็นพันธมิตรกับอีกฝ่าย
หลี่ฝูฉวีถาม “หลิวเหล่าเฉิงจะกลับมาเมื่อไหร่? เขาจะร่วมมือกับเจ้าสำนักเหวยมาเล่นงานเจ้าและข้าหรือไม่?”
หลิวจื้อเม่ายิ้มกล่าว “เจ้าประเมินตัวเองสูงเกินไป แล้วก็ประเมินข้าสูงไปหรือไม่? หรือว่าดูแคลนหลิวเหล่าเฉิง ยิ่งดูแคลนเจ้าสำนักเหวย?”
หลี่ฝูฉวีมีโทสะเล็กน้อย ทว่าต่อมาก็พยักหน้ารับ “เป็นเช่นนี้จริง”
หลิวจื้อเม่าเอ่ย “คนฉลาดอย่างพวกเรามักจะคิดว่าทุกหนทุกแห่งล้วนมีแต่ผลประโยชน์ที่สามารถฉกฉวยมาได้ตามใจชอบ ดังนั้นจึงคิดจะทำเรื่องบางอย่างให้มากกว่าเดิม แต่อันที่จริงคนที่ฉลาดยิ่งกว่าก็น่าจะรู้มาตั้งแต่แรกแล้วว่าเรื่องอะไรที่ตัวเองทำไม่ได้”
หลี่ฝูฉวีใคร่ครวญอยู่ชั่วขณะก็เอ่ยว่า “ข้าสู้เจ้าไม่ได้”
หลิวจื้อเม่ายิ้ม “ไม่ใช่ว่าเจ้าฉลาดสู้ข้าไม่ได้ ก็แค่ผู้ฝึกลมปราณที่มีชาติกำเนิดจากผู้ฝึกตนอิสระมักจะชอบคิดมาก เซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลของสำนักใหญ่ไม่มีเรื่องใดให้ต้องเป็นกังวล บนเส้นทางการฝึกตนก็ไม่จำเป็นต้องฝึกฝนจิตใจมากนัก แค่ทำไปตามลำดับขั้นตอนก็เดินขึ้นฟ้าได้ทีละก้าวแล้ว แต่ผู้ฝึกตนอิสระกลับไม่เหมือนกัน เรื่องเล็กเรื่องหนึ่ง หากคิดให้ง่ายเข้าไว้ก็อาจกลายเป็นหายนะใหญ่ที่มิอาจแก้ไข เจ้ารู้หรือไม่ว่าเรื่องที่ทำให้ข้าวุ่นวายใจที่สุดในชีวิตนี้ จนถึงทุกวันนี้ก็ยังปล่อยวางไม่ได้ คือเรื่องอะไร?”
หลี่ฝูฉวีส่ายหน้า
หลิวจื้อเม่าเอ่ย “นั่นคือหลังจากที่ข้ากลายเป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสาม ได้ทำอาวุธวิเศษระดับล่างชิ้นหนึ่งเสียหายเพราะความโง่ของตัวเอง ตอนนั้นข้ารู้สึกเพียงว่าฟ้าดินมืดมน ชีวิตนี้คงจบเห่แน่แล้ว เกือบจะล้มแล้วลุกไม่ขึ้นอีกเลย คิดว่ามหามรรคาขาดสะบั้นอย่างสิ้นเชิงแล้ว หลังจากนั้นมาต่อให้มีอันตรายรายล้อม ชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้ายอยู่หลายครั้ง แต่ก็ไม่เคยหมดอาลัยตายอยากเท่าครั้งนั้นมาก่อน”
หลี่ฝูฉวีกล่าวอย่างจริงใจ “ไม่อาจจินตนาการได้เลยจริงๆ”
หลังจากที่เหวยอิ๋งเจ้าสำนักคนใหม่มาถึงเกาะชิงเสียก็พักอยู่ในเรือน เก็บตัวเงียบไม่ออกมาข้างนอก
เมื่อไม่มีอะไรทำ เหวยอิ๋งก็สร้างม้วนภาพขุนเขาสายน้ำขึ้นมาในห้องโถงใหญ่ แล้ววาดวงกลมขีดเขียนลงไปด้านบน
ยกตัวอย่างเช่นวงกลมไว้ที่ภูเขาพีอวิ๋นขุนเขาเหนือและสำนักกระบี่หลงเฉวียน วงขุนเขากลางกับสำนักศึกษากวานหูไว้ด้วยกัน ขุนเขาใต้กับนครมังกรเฒ่า ขุนเขาตะวันออกกับภูเขาเจินอู่ ขุนเขาตะวันตกกับศาลลมหิมะ สกุลเจียงอวิ๋นหลินกับแคว้นชิงหลวน…
เหวยอิ๋งเงยหน้า ยิ้มเอ่ย “ผู้ถวายงานหลิวไม่จำเป็นต้องถือสากฎระเบียบยิบย่อย เข้ามาในจวนโดยตรงได้เลย”
หลิวเหล่าเฉิงมาถึงนอกห้องโถงใหญ่ เหวยอิ๋งจึงโบกมือสลายม้วนภาพวาดนั้นไป
หลิวเหล่าเฉิงมองม้วนภาพแค่แวบเดียว
เหวยอิ๋งนั่งลงพร้อมกับหลิวเหล่าเฉิง เหวยอิ๋งไม่ได้นั่งบนตำแหน่งประธาน แต่นั่งขนาบข้างซ้ายขวากันอย่างเท่าเทียม
หลิวเหล่าเฉิงเอ่ย “ไม่ได้ต้อนรับเจ้าสำนัก นับว่าเสียมารยาทอย่างยิ่งแล้ว”
เหวยอิ๋งยิ้มกล่าว “ผู้ฝึกตนอย่างเราๆ แค่ถามใจตัวเองก็พอ”
แม้ว่าหลิวเหล่าเฉิงจะลงนามพันธมิตรขุนเขาที่เมืองหลวงต้าหลีเอาไว้ แต่เหวยอิ๋งเป็นเจ้าสำนักคนใหม่ มีสิทธิ์ที่จะรู้เรื่องนั้น ไม่ถือว่าผิดสัญญา
เหวยอิ๋งฟังแล้วก็เอ่ยว่า “ราชครูชุยช่างทำให้คนเลื่อมใสนัก ในเมื่อสำนักเจินจิ้งเลือกที่ตั้งเป็นแจกันสมบัติทวีป แน่นอนว่าควรต้องทุ่มเทสุดแรงกายแรงใจ นอกจากทิ้งเมล็ดพันธ์มหามรรคาบางส่วนเอาไว้ ส่วนที่เหลือหากควรออกเงินก็ออกเงิน ควรออกกำลังคนออกแรงก็ยิ่งเป็นเรื่องสมเหตุสมผล ผู้ถวายงานหลิวสามารถรายงานกลับไปที่ฮ่องเต้ต้าหลีได้เลยว่า นอกเหนือจากเมล็ดพันธ์มหามรรคาเหล่านั้น ผู้ฝึกตนสำนักเจินจิ้งทุกคนซึ่งรวมถึงข้า หลิวเหล่าเฉิง หลี่ฝูฉวี และกองกำลังใต้อาณัติทั้งหมด ล้วนยินดีให้ราชสำนักต้าหลีเรียกตัวไปใช้งาน”
หลิวเหล่าเฉิงเงียบงันไปชั่วครู่ก็ลุกขึ้นยืนกุมหมัด “เจ้าสำนักมองการณ์ไกล”
เหวยอิ๋งลุกขึ้นยิ้มกล่าว “ผู้ถวายงานหลิว มีเรื่องหนึ่งที่อยากจะขอให้ช่วย”
หลิวเหล่าเฉิงไม่แม้แต่จะถามว่าเป็นเรื่องอะไร เขาพยักหน้าตอบรับทันที
สุดท้ายเหวยอิ๋งหยิบกระบี่ยาวเล่มหนึ่งขึ้นมาจากบนโต๊ะ ออกจากจวนไปกับหลิวเหล่าเฉิง ไปพบสตรีผู้หนึ่งที่เดินเล่นอยู่ริมน้ำของเกาะกงหลิ่ว
สุยโย่วเปียน
อันที่จริงหลิวเหล่าเฉิงประหลาดใจเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเหตุใดเจ้าสำนักหนุ่มผู้นี้ถึงต้องการพบสุยโย่วเปียน แล้วยังจะต้องปรากฏตัวพร้อมกับตนด้วย
เหวยอิ๋งเดินไปหยุดอยู่ข้างกายนาง “หากไม่ลากผู้ถวายงานหลิวมาด้วย ข้ากลัวว่าเจ้าจะตายเปล่าไปอีกครั้ง”
ส่วนเรื่องที่ว่าเหตุใดสุยโย่วเปียนถึงยังมีชีวิตกลับมาได้ เหวยอิ๋งไม่คิดจะถาม แล้วเหตุใดถึงไม่ติดตามเจียงซ่างเจินกลับสำนักกุยหยก เพื่อหลบเลี่ยงตน เหวยอิ๋งก็ยิ่งไม่มีทางถาม
เพราะคำตอบหรือความจริงของเรื่องราวมากมายใต้หล้านี้ แท้จริงแล้วไม่ได้สำคัญเลยแม้แต่น้อย
สุยโย่วเปียนหยุดเดิน “พูดจบแล้วหรือ?”
เหวยอิ๋งยิ้มบาง “ไม่ว่าจะอย่างไร การที่ได้พบหน้ากันอีกครั้งเร็วขนาดนี้ ก็ชวนให้แปลกใจยิ่งนัก”
เหวยอิ๋งยกกระบี่ยาวในมือขึ้น “นี่คือกระบี่ชือซินของเจ้า ข้าช่วยเก็บกลับมาให้ ระดับขั้นไม่สูง แต่ชื่อดีมาก”
เหวยอิ๋งโยนกระบี่ยาวเล่มนั้นไปให้สุยโย่วเปียนเบาๆ
สุยโย่วเปียนกลับไม่ได้รับเอาไว้ รอกระทั่งกระบี่ยาวร่วงหล่นลงพื้น นางก็เตะมันให้หล่นลงไปในทะเลสาบซูเจี่ยน กระบี่ยาวจมดิ่งลึกลงไปใต้ทะเลสาบ “รอให้ขอบเขตข้าสูงมากพอแล้ว ย่อมมาเก็บกระบี่กลับไปเอง”
เหวยอิ๋งพยักหน้ารับ “ดีมาก”
สุยโย่วเปียนเดินไปข้างหน้าต่ออีกครั้ง
เหวยอิ๋งยืนอยู่ที่เดิม
ท่านอาเจียงสั่งความเขามาสองเรื่อง ล้วนเป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับกิจการใหญ่พันปีของสำนักเจินจิ้งแม้แต่น้อย
เรื่องหนึ่ง อย่าได้ไปหาเรื่องสุยโย่วเปียนอีก
อีกเรื่องหนึ่ง ให้ดูแลเด็กที่เขาอุ้มกลับมาจากอุตรกุรุทวีปคนนั้นให้ดี ค่าใช้จ่ายทั้งหมดให้จดลงบัญชีเอาไว้ สกุลเจียงจะตอบแทนกลับคืนให้เป็นเท่าตัว
เหวยอิ๋งรับปากทั้งสองเรื่อง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!