กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 644

สรุปบท บทที่ 644.2 รอคอยคนคนหนึ่ง: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!

สรุปเนื้อหา บทที่ 644.2 รอคอยคนคนหนึ่ง – กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet

บท บทที่ 644.2 รอคอยคนคนหนึ่ง ของ กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! ในหมวดนิยายกำลังภายใน เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย Internet อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที

วันนี้เฉินผิงอันออกจากตำหนักใหญ่ของคฤหาสน์หลบร้อน ยามที่ออกมาเดินเล่นนี้ หลินจวินปี้ได้ติดตามมาด้วย

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “มีความคิดหรือ?”

หลินจวินปี้เอ่ย “เรื่องของเรือข้ามฟากแปดทวี ตอนนี้พัฒนาไปได้ไม่ราบรื่นนัก แต่ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดไม่ได้อยู่ที่สองฝ่ายซึ่งทำการค้ากัน อยู่แค่ที่ความคิดเห็นของสำนักศึกษาและสถานศึกษาของใต้หล้าไพศาล”

เฉินผิงอันคล้ายจะประหลาดใจ “ไหนลองว่ามาสิ”

หลินจวินปี้กล่าวอย่างเป็นกังวล “หากก่อนหน้านี้เรือข้ามฟากแปดทวีปไม่ได้เปลี่ยนแปลงวิธีการซื้อขายกับกำแพงเมืองปราณกระบี่ ยังคงกระจัดกระจาย ต่างคนต่างทำการค้ากันไป บางทีศาลบุ๋นอาจไม่คิดจะเข้ามาก้าวก่าย เพียงแต่ว่าตอนนี้สถานการณ์ถูกพวกเราทำให้เปลี่ยนแปลง ไม่แน่ว่าศาลบุ๋นอาจมีการตอบโต้บางอย่างกลับมา บอกตามตรง พวกเราไปยุ่งกับผลประโยชน์ที่เป็นรากฐานจำนวนไม่น้อยของใต้หล้าไพศาล ทรัพยากรทุกส่วนที่ถูกขนส่งมายังภูเขาห้อยหัว ย่อมทำให้ทรัพยากรของใต้หล้าไพศาลลดน้อยไปส่วนหนึ่ง”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “คือเหตุผลข้อนี้”

หลินจวินปี้ถาม “หากศาลบุ๋นออกคำสั่งห้ามไม่ให้เรือข้ามฟากแปดทวีปเดินทางมาเยือนภูเขาห้อยหัว อนุญาตให้แค่ขนส่งทรัพยากรอยู่ในใต้หล้าไพศาลเท่านั้น พวกเราจะทำอย่างไรกันดี?”

แม้ว่าหลินจวินปี้จะเป็นผู้ฝึกกระบี่ แต่แท้จริงแล้วเขาเรียนวิชาหลากหลาย สองนิ้วของเขาทำมุทรา ใช้วิชาสายยันต์ขยุ้มดินกลายเป็นภูเขา สร้างภาพสถานการณ์ของใต้หล้าขึ้นมากลางอากาศ มันขยับหมุนไปตามคนทั้งสอง หลินจวินปี้ชี้ไปที่แผนที่ รวมลมปราณให้กลายเป็นน้ำ วาดเส้นทางการเดินเรือใหม่เอี่ยมขึ้นมาหลายเส้น เป็นเส้นทางที่ไปกลับระหว่างทวีปต่างๆ “ทรัพยากรของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ธวัลทวีป อนุญาตแค่ให้ขนส่งไปที่ทักษินาตยทวีป หลิวเสียทวีป ส่วนเกราะทองทวีปก็ให้ช่วยเหลือหรดีฝูเหยาทวีป เรือข้ามทวีปของอุตรกุรุทวีปกับแจกันสมบัติทวีปไปเยือนได้แค่อาคเนย์ใบถงทวีป แค่สร้างเส้นแนวป้องกันเลียบมหาสมุทรสามเส้นนี้ขึ้นมาและทำให้มันมั่นคง ราคาก็จะถูกกว่าการขนส่งทรัพยากรมาที่กำแพงเมืองปราณกระบี่หนึ่งถึงสองส่วน หรืออาจมากถึงสามส่วน ข้าเชื่อว่าเรือข้ามฟากแปดทวีปที่ไม่อาจตัดสินใจได้เองย่อมต้องทำตามแต่โดยดี ส่วนเรือข้ามทวีปแต่เดิมทั้งหมดของสามทวีปซึ่งมีทักษินาตยทวีปเป็นหนึ่งในนั้น ก็ยิ่งไม่มีทางมาเยือนภูเขาห้อยหัว”

เฉินผิงอันพาหลินจวินปี้เดินเล่นไปด้วยกัน “เกี่ยวกับเรื่องของเรือข้ามฟากแปดทวีป ผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดซึ่งเจ้าพูดมานี้ อันที่จริงเซียนกระบี่โฉวเหมียวได้เตือนข้ามานานแล้ว เพียงแต่ว่าช่วยไม่ได้ จะเอาแต่กลัวว่าผลลัพธ์นี้จะเกิดขึ้นก็เลยไม่ทำอะไรเลยไม่ได้ ต้องเดินไปทีละก้าวดูกันไปทีละก้าว เมื่อมีเรือข้ามฟากลำใดมาจอดเทียบท่าที่ภูเขาห้อยหัว พวกเราก็ต้องถือว่าได้รับทรัพยากรเพิ่มมาก้อนหนึ่ง หวังเพียงว่าทางฝั่งของศาลบุ๋นจะคิดจนสรุปได้ผลลัพธ์ช้าหน่อย”

หลินจวินปี้ถาม “อาจารย์เหวินเซิ่งมีสิทธิ์พูดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ที่ศาลบุ๋นหรือ?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “ค่อนข้างยาก ลัทธิขงจื๊อให้ความสำคัญกับลำดับอาวุโส และพิถีพิถันเรื่องการลงมือทำอย่างมีเหตุผล”

หลินจวินปี้ถามอีก “บวกกับสกุลเฉินผู้รอบรู้ก็ยังไม่พอหรือ?”

เฉินผิงอันยังคงส่ายหน้า “ต่างคนต่างก็มีเรื่องที่ลำบากใจ”

หลินจวินปี้กัดฟัน “ข้าจะเขียนจดหมายลับฉบับหนึ่งส่งไปให้อาจารย์ ขอให้เขาช่วยพูดแทนสักคำสองคำ?”

เฉินผิงอันหยุดเดิน เอ่ยว่า “ต้องจำไว้ว่า เจ้าที่อยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่เป็นแค่ผู้ฝึกกระบี่หลินจวินปี้เท่านั้น อย่าได้ดึงเอาสายบุ๋นบ้านตัวเองมาเกี่ยวข้องด้วย ยิ่งอย่าได้ลากเอาราชสำนักเส้าหยวนลงน้ำ เพราะไม่เพียงแต่จะไม่มีประโยชน์ใดๆ ยังจะทำให้เจ้าต้องยุ่งวุ่นวายไปเปล่าๆ ถึงขั้นอาจจะเป็นเรื่องร้ายด้วย”

เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “น้ำใจนี้ ข้ารับไว้แล้ว”

อันที่จริงเฉินผิงอันสามารถพยักหน้าตอบตกลงได้ ไม่ว่าหลินจวินปี้จะทำไปโดยใช้อารมณ์เป็นหลัก หรือคิดจะวางแผนเล่นงานจิตใจคน ก็ควรให้หลินจวินปี้เขียนจดหมายขึ้นมาก่อน ใช้กระบี่บินส่งจดหมายนั้นไปที่ราชวงศ์เส้าหยวน แล้วค่อยให้เซียนกระบี่ไปดักเอามากลางทาง เฉินผิงอันอ่านเนื้อหาในจดหมายก่อนแล้วค่อยตัดสินใจว่าจะเก็บจดหมายฉบับนั้นเอาไว้ในเอกสารคดีลับของคฤหาสน์หลบร้อนที่มีเพียงอิ่นกวานคนเดียวเท่านั้นที่อ่านได้ หรือจะปล่อยไปยังทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางต่อ

เพียงแต่ว่าอยู่ด้วยกันนานวันเข้า เกี่ยวกับนิสัยของหลินจวินปี้ เฉินผิงอันก็พอจะเข้าใจได้คร่าวๆ แล้ว ชื่อเสียงและลาภยศ เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย สามารถไม่เลือกวิธีการ เพียงแต่ว่าสิ่งที่หลินจวินปี้แสวงหา หาใช่ผลประโยชน์ส่วนตนเพียงอย่างเดียวไม่ แม้จะมีจิตใจทะเยอทะยาน แต่กลับทำเพื่อใต้หล้าที่สงบสุขเช่นกัน

คิดมาถึงตรงนี้ เฉินผิงอันบอกความคิดนี้แก่หลินจวินปี้อย่างตรงไปตรงมา ให้เขาเขียนจดหมายฉบับนี้ แล้วก็ทำตามที่คิดไว้ สุดท้ายนำจดหมายนั้นกลับคืนมาสู่กองเอกสารของสายอิ่นกวาน พยายามหาโอกาส ใช้วิธีการที่ไม่เปิดเผยร่องรอยให้ใต้หล้าไพศาลรู้ความลับเล็กๆ เรื่องนี้

ไม่แน่ว่าวันใดในอนาคต อาจเป็นการเพิ่มบุปผาลงบนผ้าแพรให้แก่หลินจวินปี้ที่หวนคืนสู่ใต้หล้าไพศาล

หลินจวินปี้อึ้งตะลึงไปนาน ก่อนทอดถอนใจเอ่ยว่า “จะทำแบบนี้จริงๆ หรือ?”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ทำดีได้ดีตอบแทน มีอะไรให้ต้องแปลกใจ คนดีเดินเท้าไม่ทิ้งรอยเท้าเอาไว้ แน่นอนว่าย่อมดีที่สุด แต่ในเมื่อวิถีทางโลกทุกวันนี้ยังไม่อาจบริสุทธิ์ได้ทุกเรื่อง จิตคนยังไม่ใสกระจ่างได้ทุกคน ถ้าอย่างนั้นก็รอไปอีกหน่อย เคยได้ยินมาว่าในภาพวาดภาพอักษรมีคำกล่าวขานที่งดงามว่า ‘มหัศจรรย์ที่แท้จริงต้องรอครั้งหน้า’ ไม่ใช่หรือ? ข้าว่าการที่เป็นแบบนี้ได้ก็ถือว่าดีมากแล้ว จวินปี้ เกี่ยวกับเรื่องนี้ เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้สึกอึดอัดยากจะปล่อยวาง ไม่ใช่ว่าการทำความดีด้วยจิตใจที่ดีงามกับทุกเรื่องแล้วเรื่องราวจึงจะถือว่าเป็นเรื่องดีที่มีเพียงหนึ่งเดียว”

หลินจวินปี้ใคร่ครวญอยู่ชั่วครู่ก็ไม่ได้รู้สึกอึดอัดขัดใจอะไร จึงพยักหน้าตอบตกลงอย่างรวดเร็ว

เฉินผิงอันกล่าว “หากศาลบุ๋นทำแบบนี้จริง ก็ไม่ใช่เพราะความเห็นแก่ตัวของใครคนใดคนหนึ่ง หรือเป็นเพราะมีอคติต่อกำแพงเมืองปราณกระบี่”

เฉินผิงอันเอ่ยด้วยน้ำเสียงจนใจ “เปิดประตูเชื้อเชิญขโมย ก็เพียงแค่เพื่อปิดประตูตีสนัข สามารถเหนื่อยครั้งเดียวแล้วสบายไปตลอดชาติ กำจัดภัยร้ายใหญ่หลวงอย่างใต้หล้าเปลี่ยวร้างไปได้ นับแต่โบราณมาศาลบุ๋นก็มีความคิดเช่นนี้มาโดยตลอด เพียงแต่ว่าความคิดเช่นนี้ หากปิดประตูแล้วถกเถียงกันย่อมไม่มีปัญหา แต่ไม่อาจเอามาพูดกับคนข้างนอกได้ พูดออกไปไม่ได้แม้แต่คำเดียว ห่อสัมภาระคำว่าเมตตาธรรมคุณธรรมที่อยู่บนร่างหนักเกินไป หากพูดถึงแค่เรื่องเปิดประตูเชิญขโมยนี้ มีสายบุ๋นสายใดมาเป็นผู้แบกรับคำด่าได้บ้าง? แต่ถึงอย่างไรก็ต้องมีคนที่เป็นคนเปิด เป็นคนริเริ่มสนับสนุนเรื่องนี้กระมัง? บันทึกที่อยู่ในศาลบุ๋นจะต้องบันทึกเอาไว้อย่างชัดเจนแน่นอน เมื่อประตูใหญ่เปิดออก สิ่งมีชีวิตและชาวบ้านในหลายทวีปมวดม้วยมรณา ต่อให้สุดท้ายแล้วผลลัพธ์จะออกมาดี แล้วจะอย่างไร? ลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อทุกคนของสายนั้นจะข้ามผ่านด่านมโนธรรมในใจตัวเองไปได้อย่างไร? จะเจ็บปวดรวดร้าว ผิดหวังต่ออริยะปราชญ์สายบุ๋นของตัวเองหรือไม่? เป็นอริยะผู้ทรงคุณธรรมที่มีเทวรูปตั้งบูชาอยู่ในศาลบุ๋น แต่กลับย่ำยีชีวิตคนเช่นนี้ นี่จะต่างจากคนถ่อยที่เห็นแก่ลาภยศชื่อเสียงตรงไหน? โชคชะตาบุ๋นและระบบการสืบทอดของหนึ่งสายจะต้องล่มสลายไปนับแต่นี้จริงๆ หรือ? ขอแค่เกี่ยวพันกับการช่วงชิงของสายบุ๋น เหล่าอริยะปราชญ์สามารถหยุดอยู่บนเส้นบรรทัดฐานต่ำสุดของการช่วงชิงกันระหว่างวิญญูชน แต่ลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อมีมากมายนับไม่ถ้วน บัณฑิตครึ่งๆ กลางๆ ก็มีมากขนาดนั้น พวกเขาจะรักษามาดของสุภาพชนผู้สูงส่งสง่างามไว้ได้อย่างไร?”

“ปัญหาที่ใหญ่ยิ่งกว่านั้นอยู่ที่ว่า ในสายหนึ่งยังมีพวกคนที่เอาแต่คิดถึงเกียรติยศชื่อเสียงของสายบุ๋นบ้านตัวเอง ไม่สนใจความผิดความถูก ถึงเวลานั้นคนกลุ่มนี้จะต้องทะเลาะกับคนนอกรุนแรงที่สุด เรื่องเลวร้ายยิ่งเลวร้ายมากกว่าเดิม เรื่องผิดก็ยิ่งผิดเข้าไปอีก พวกอริยะปราชญ์จะเก็บกวาดกันอย่างไร? จะรับมือกับคำวิพากษ์วิจารณ์ของคนนอกก่อน หรือว่าจะสยบอารมณ์แข็งกร้าวของพวกลูกศิษย์สายบุ๋นบ้านตัวเองก่อน? หรือจะให้พูดประโยคหนึ่งไปก่อนว่า เป็นพวกเราที่ทำผิดก่อน ส่วนพวกเจ้าก็หุบปากอย่าด่าคน?”

“บัณฑิต ผู้ฝึกตน สืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้วก็ยังไม่ใช่เรื่องของบุคคลหรอกหรือ?”

กล่าวมาถึงตรงนี้ เฉินผิงอันก็ตบไหล่หลินจวินปี้ “พูดถึงแค่คนข้างกายของเจ้า อาจารย์ซีหลูสหายต่างวัยของเจ้าคนนั้น ก็ไม่ใช่ว่าเพราะวิ่งไปทุบเทวรูป ฉกฉวยโอกาสช่วงชิงผลประโยชน์ หลังจบเรื่องถึงได้มีชื่อเสียงโด่งดังหรอกหรือ? หากจะบอกว่าเขาไม่มีวิชาความรู้เอาเสียเลย แล้วเขาจะเขียน ‘ตำราหมากล้อมศาลาแห่งความชื่นมื่น’ ออกมาได้อย่างไร? หากจะบอกว่าเขาไม่เคยมีคุณความชอบต่อสายบุ๋นของราชวงศ์เส้าหยวนเสียเลย ข้าว่าก็ไม่แน่เสมอไปหรอก”

การประจบสอพลอของบัณฑิตบางคน นั่นต้องเรียกว่าน่าดูดุจหมู่ผกาห้อมล้อมบานสะพรั่ง แต่แท้จริงรากกลับเน่าเละมานานแล้ว คนเหล่านี้หากตั้งใจจริงขึ้นมาก็ง่ายที่จะเดินไปถึงตำแหน่งสูง แล้วก็บอกไม่ได้ว่าคนพวกนี้ไม่ทำอะไรเลยสักอย่าง แค่อยู่ในตำแหน่งรับเงินเดือนไปอย่างเดียวเท่านั้น การที่วิถีทางโลกซับซ้อน ก็หนีไม่พ้นเพราะคนเลวทำเรื่องดี คนดีทำผิดพลาด ความดีความเลวของเรื่องบางเรื่องจึงเปลี่ยนแปลงกันไปตามสถานที่ เปลี่ยนแปลงไปตามบุคคล

ยิ่งนานวันคนบนโลกก็ได้รับข้อมูลข่าวสารมาง่ายขึ้นเรื่อยๆ สามารถเอาข้อเท็จจริงต่างๆ มาร้อยเรียงกันเป็นความจริง อีกทั้งยังคุ้นเคยที่จะทำเช่นนี้ วิถีทางโลกก็ควรจะดีมากขึ้นเรื่อยๆ

แต่ก็คงจะเป็นดั่งคำที่ว่า คลังอาหารเต็มล้น คนจึงจะรู้จักมารยาท

ไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง ก็ยากมากที่จะไม่ผิดหวัง รู้มามากแล้ว ต่อให้จะยังต้องผิดหวัง แต่ถึงอย่างไรก็พอจะมองเห็นความหวังได้เสี้ยวหนึ่ง

กลัวก็แต่ว่าคนคนหนึ่งจะใช้ความสิ้นหวังของตัวเองไปทำลายความหวังของคนอื่นตามใจชอบ

เฉินผิงอันยิ้มถาม “หลินจวินปี้ เจ้ายอมรับคนผู้นี้จากใจจริงจริงหรือ?”

หลินจวินปี้ไม่พูดไม่จา

เกี่ยวกับเรื่องทุบทำลายเทวรูป หลินจวินปี้ไม่ยอมรับก็จริง แต่ก็ไม่ถึงขั้นด่าคนเขาคล้อยตามอิ่นกวานหนุ่มผู้นี้ ถ้าอย่างนั้นเขาหลินจวินปี้ก็จะคงเป็นคนถ่อยต่ำช้าคนหนึ่ง

แล้วนับประสาอะไรกับที่หลินจวินปี้ก็รู้สึกยอมรับในตัวของอาจารย์ซีหลูอยู่หลายเรื่อง

อากาศฤดูใบไม้ร่วงเย็นสบายปลอดโปร่ง สังหารโจรไปนับไม่ถ้วน

วันนี้กวอจู๋จิ่วพลิกสมุดเล่มเกิงเปิ่น พอเปิดไปหลายๆ หน้าเข้า หน้าผากแม่นางน้อยก็มีเม็ดเหงื่อผุดซึม

อาจารย์เคยบอกว่า เมื่อไหร่ที่จำนวนคนในการสู้รบเกิดความเสียหายเกินครึ่ง ผู้ฝึกกระบี่สายอิ่นกวานต้องมาประชุมกันครั้งหนึ่ง

วันนี้มีคนมาเยือนคฤหาสน์หลบร้อน แต่ก็ยอมรักษากฎแต่โดยดี ยืนรออยู่แค่นอกประตูเท่านั้น

เซียนกระบี่ขู่เซี่ยจะออกไปจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง จำเป็นต้องคุ้มกันพวกจินเจินเมิ่ง อวี้เจวี้ยนฟู จูเหมยสามคนเดินทางไปยังภูเขาห้อยหัว แล้วค่อยส่งไปที่อาณาเขตของทักษินาตยทวีป จากนั้นจึงจะเดินทางกลับ

จูเหมยเองก็รู้สึกดีใจ บรรยากาศกลมเกลียวปรองดอง ควรจะเป็นอย่างนี้มาตั้งนานแล้ว

คำพูดของจูเหมยกระชับสั้นได้ใจความ “หลินจวินปี้ เจอกันที่บ้านเกิดนะ”

หลินจวินปี้พยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม

เข้ามาในประตูก็เห็นเฉินผิงอันยืนเอนตัวพิงผนังบังตา ถือน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่กำลังดื่มเหล้า พอผูกไว้ตรงเอวเรียบร้อยแล้วก็เอ่ยเบาๆ ว่า “จวินปี้ หากตอนนี้เจ้าออกไปจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็ถือว่าได้กำไรมากแล้ว ไม่เคยขาดทุนอะไรเลย หลังจากนี้อาจได้กำไรมากกว่าเดิม แต่ก็อาจจะต้องเสียมากเหมือนกัน โดยทั่วไปแล้ว เวลานี้เจ้าจึงสามารถลุกออกจากโต๊ะเดิมพันได้แล้ว”

เด็กหนุ่มชุดขาวจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ผู้ฝึกกระบี่ที่มีพรสวรรค์ผู้นี้พูดด้วยสีหน้าแช่มชื่นเบิกบาน “เดิมพันมากก็ได้กำไรมาก!”

แล้วหลินจวินปี้ก็ยิ้มกล่าวอีกว่า “แล้วนับประสาอะไรกับที่คำนวณไว้ได้อย่างแม่นยำแล้วว่าใต้เท้าอิ่นกวานต้องไม่มีทางปล่อยให้ข้าตายอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่อย่างแน่นอน”

เฉินผิงอันถาม “ตอนอยู่นอกประตู การคิดคำนวณใจคน แน่นอนว่ายังมี แต่ดูเหมือนว่าเจ้าจะอารมณ์ดียิ่งกว่ายามที่เล่นหมากล้อมกับคนอื่นในอดีตแล้วหรือเปล่า?”

หลินจวินปี้อืมรับหนึ่งที

เฉินผิงอันเอ่ยเบาๆ “ความสามารถของเมื่อก่อน อย่าทิ้งไป เรื่องอย่างยามที่อยู่นอกประตูนี้ก็ทำตัวให้ชินเข้าไว้ แบบนั้นก็จะดีมากเลย”

หลินจวินปี้พยักหน้ารับ

เฉินผิงอันเอ่ย “คนที่เห็นใจคนได้ลึกยิ่งกว่า จิตดั้งเดิมก็คือปลาในหุบเหว คือเจียวใต้บ่อ ไม่ต้องกลัวเรื่องนี้”

หลินจวินปี้ถาม “หมายความว่าอย่างไร?”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “แสงจันทร์อยู่บนน้ำ ขอแค่ยินดีเบิกตามองก็จะมองเห็น แค่เอื้อมมือก็สัมผัสได้ถึง”

หลินจวินปี้ลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ยังเอ่ยอย่างตรงไปตรงมาว่า “ใต้เท้าอิ่นกวาน ท่านพบเจอพวกคนอย่างเหยียนลวี่ เจี่ยงกวนเฉิงแล้วไม่รู้สึกรังเกียจหรือ?”

เฉินผิงอันเอ่ย “ข้างกายพวกเขาก็ยังมีคนอย่างอวี้เจวี้ยนฟู จูเหมยไม่ใช่หรือ? แล้วนับประสาอะไรกับที่คนส่วนใหญ่ จริงๆ แล้วก็เป็นคนที่ไม่ยินดีจะพูดหรือจำต้องพูดเสียมากกว่า”

หลินจวินปี้ถาม “ใต้เท้าอิ่นกวาน จะไปสนามรบเมื่อไหร่?”

เฉินผิงอันยิ้ม “ต่อให้จะไป ก็ได้แต่แอบไปเท่านั้น”

จากนั้นหลินจวินปี้ก็เห็นว่าอิ่นกวานหนุ่มทำท่าทางประหลาดอย่างหนึ่ง เขายกสองมือขึ้นเสยปาดลูบเส้นผม

หลินจวินปี้ไม่กล้าถามอะไรมาก กวาดตามองไปรอบด้านก็ไม่เห็นสตรีผู้นั้น พวกหมี่อวี้ กู้เจี้ยนหลงทำอย่างนี้ เป็นเรื่องปกติมาก เพียงแต่อิ่นกวานหนุ่มทำอย่างนี้ เขารู้สึกแปลกๆ พิกล

เฉินผิงอันมองท้องฟ้าแล้วเอ่ยว่า “ข้ากำลังรอคอยคนคนหนึ่ง เขาคือมือกระบี่ผู้หนึ่ง”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!