กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 645

สรุปบท บทที่ 645.2 ลงจากหัวกำแพงเมือง: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!

อ่านสรุป บทที่ 645.2 ลงจากหัวกำแพงเมือง จาก กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet

บทที่ บทที่ 645.2 ลงจากหัวกำแพงเมือง คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายกำลังภายใน กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย Internet อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง

กระโจมทัพทั้งหกสิบแห่งของใต้หล้าเปลี่ยวร้างส่งกองกำลังทหารไปชดเชยอย่างต่อเนื่อง การโจมตีเมืองแต่ละช่วงเวลาล้วนเชื่อมโยงติดกันอย่างแนบแน่น รอบคอบรัดกุม ใต้หล้าเปลี่ยวร้างตั้งท่าชัดเจนว่าจะไม่เปิดโอกาสให้กำแพงเมืองปราณกระบี่ได้หยุดพักแม้แต่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่ยินดีจะเปิดโอกาสให้เซียนกระบี่ห้าขอบเขตบนได้หายใจหายคอ ภายใต้สถานการณ์ที่ตึงเครียดกดดันอย่างถึงที่สุดนี้ กฎเกณฑ์ของสายอิ่นกวานที่แรกเริ่มเดิมทีทำให้เซียนกระบี่ออกกระบี่อย่างอึดอัดเหมือนถูกมัดมือมัดเท้า ได้แต่ทำตามระเบียบขั้นตอนไม่อาจออกกระบี่อย่างสาแก่ใจ เวลานี้กลับเริ่มค่อยๆ ปรากฏประสิทธิผล

ก่อนที่จะเป็นเช่นนี้ ในฐานะค่าตอบแทนที่ต้องจ่าย พลังพิฆาตของแต่ละคนที่แข็งแกร่งไร้เทียมทาน มาดของเซียนกระบี่ที่โดดเด่นสง่างามยามอยู่บนหัวกำแพงเมืองล้วนถูกทำให้เจือจางไปอย่างที่มองไม่เห็น ผลลัพธ์ที่แลกมาได้ก็คือพลังพิฆาตที่แข็งแกร่งขึ้นไปอีกระดับของตลอดทั้งค่ายกลกระบี่

ตอนนี้ต่อให้เซียนกระบี่บางท่านถอนตัวออกจากสนามรบเพื่อไปเลี้ยงกระบี่และพักผ่อน ข้อเสียก็ยังลดน้อยลงตามไปด้วย

เพราะการศึกษาและแทรกซึมที่สายอิ่นกวานมีต่อค่ายกลกระบี่นั้นลึกล้ำขึ้นเรื่อยๆ อย่าว่าแต่เซียนกระบี่ห้าขอบเขตบนเลย สายของอิ่นกวานไม่เพียงแต่คุ้นเคยกับกระบี่บินและวิชาอภินิหารของผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดและโอสถทองทุกคน ตอนนี้แม้แต่กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของผู้ฝึกกระบี่อีกสามขอบเขตที่เหลือก็ท่องจำได้อย่างขึ้นใจจนถึงขั้นที่เรียกว่าเกินจริงไปมาก

สายน้ำแปรปรวนไม่เคยแน่นอน ทหารไม่หน่ายการศึก ผู้ฝึกกระบี่บนหัวกำแพงเปลี่ยนค่ายกลไปอย่างต่อเนื่อง และยิ่งมีการสลับตำแหน่งกันเป็นระยะ ผู้ฝึกกระบี่หลายคนที่เดิมทีไม่เคยแม้แต่จะทักทายกันก็ได้มาร่วมงานกันอย่างปรองดอง

ใช้กระบี่บินทีละสองสามเล่มมาร่วมมือกัน ถึงขั้นที่ว่านำกระบี่บินหลายสิบเล่มมาสร้างเป็นค่ายกลกระบี่ เสริมด้วยวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิต ขอแค่อดทนจนผ่านการขัดเกลาให้กลมกลืนกันในช่วงแรกไปได้ พลานุภาพก็จะเพิ่มขึ้นอย่างพรวดพราด

ลำพังเพียงแค่กระบี่บินและวิชาอภินิหารที่เป็นหนึ่งในห้าธาตุ เมื่อสร้างกันขึ้นเป็นค่ายกล ตอนนี้บนกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็มีค่ายกลกระบี่มากถึงสามสิบเอ็ดแห่งแล้ว

กำแพงเมืองปราณกระบี่ในอดีตก็เหมือนคนครอบครัวใหญ่ที่รากฐานของตระกูลลึกล้ำอุดมสมบูรณ์ สรุปแล้วมีเงินทองมีที่นามากแค่ไหนกันแน่ บางทีแม้แต่ตัวเองก็ยังไม่รู้ กำแพงเมืองปราณกระบี่ในทุกวันนี้จึงเป็นเหมือนการเก็บเอาเหรียญทองแดงจากทุกซอกมุมมาบันทึกลงบนบัญชี

สามารถมีสถานการณ์อย่างทุกวันนี้ได้ สายอิ่นกวานทุกคนล้วนเป็นบุคคลที่จะขาดไปไม่ได้แม้แต่คนเดียว

และในบรรดาคนเหล่านี้ ก็มีเซียนกระบี่โฉวเหมียวที่เข้าใจกระบี่บินและวิชาอภินิหารเป็นอย่างดี มีหลินจวินปี้ที่มองสถานการณ์ภาพรวมแล้วสรุปวางแผน ความคิดประหลาดที่ผุดวาบขึ้นมาในบางครั้งของกวอจู๋จิ่ว เป็นสามคนนี้ที่มีคุณความชอบมากที่สุด

แต่ช่วงเวลาระหว่างนี้ การวางแผลกลยุทธของสายอิ่นกวานก็ใช่ว่าจะไม่มีช่องโหว่เสียเลย ถึงขั้นที่ว่ายังเคยเกิดข้อผิดพลาด เป็นความผิดพลาดร้ายแรงที่จำเป็นต้องให้ผู้ฝึกกระบี่บนสนามรบใช้กระบี่บินและชีวิตของตัวเองไปชดเชย

ระหว่างผู้ฝึกกระบี่ของสายอิ่นกวานก็ใช่ว่าจะไม่เคยมีการทะเลาะเบาะแว้งที่ทำลายความปรองดอง ไม่เคยมีความไม่พอใจต่อกันเสียเลย เพราะถึงอย่างไรบนสนามรบเล็กๆ แห่งหนึ่งก็มักจะปรากฏกรณีสองอย่างที่เป็นทางแยกอยู่เสมอ หากก่อนที่ผลลัพธ์จะปรากฏ ทั้งสองกรณีนี้ไม่ว่าใครก็ไม่กล้าพูดว่าตัวเองจะมีโอกาสชนะมากกว่า ชนะได้อย่างมั่นคงกว่า หากสถานการณ์ของสงครามดำเนินไปได้ตามที่คาดการณ์ก็ยังพูดได้ง่าย แต่หากเกิดปัญหาขึ้นจะยุ่งยากอย่างมาก ฝ่ายที่ผิดจะต้องรู้สึกละอายใจ ส่วนฝ่ายที่ถูกก็จะรู้สึกอึดอัด

การโต้เถียงที่ดุเดือดรุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งเกิดขึ้นระหว่างสวีหนิงกับเฉากุ่น พวกเขาทะเลาะกันจนหน้าดำหน้าแดง อีกนิดเดียวทั้งสองฝ่ายก็เกือบจะได้ถามกระบี่กันแล้ว

กลยุทธหนึ่งที่คฤหาสน์หลบร้อนตั้งขึ้นมาเป็นเหตุให้ผู้ฝึกกระบี่เซียนดินของกำแพงเมืองปราณกระบี่รบตาย แล้วยังพาให้ผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตกลางอีกสามสิบเอ็ดคนกายดับกระบี่ย่อยยับ

ทุกคนต่างก็เจ็บปวดใจ เสวียนเซินที่รับผิดชอบกำหนดรายละเอียดของกลยุทธก็ยิ่งเจ็บปวดเคียดแค้น คำพูดของสวีหนิงที่แม้ว่าแรกเริ่มจะเป็นแค่คำบ่น แต่ถึงอย่างไรก็เป็นการราดน้ำมันลงบนกองเพลิง เสวียนเซินสีหน้าหม่นหมอง ในใจรู้สึกผิด จึงไม่ได้ตอบโต้อะไร เฉากุ่นที่สนิทกับเสวียนเซินมากทนไม่ไหวจึงเปิดปากด่าอีกฝ่ายไปโดยตรง บอกให้สวีหนิงทำปากให้สะอาดหน่อย เลิกทำตัวเป็นคนลาดหลังเกิดเรื่องเสียที

สวีหนิงจึงทักทายบรรพบุรุษสิบแปดรุ่นของเสวียนเซินไปรอบหนึ่ง

เสวียนเซินมีฝีมือการเล่นหมากล้อมสูง ไม่อย่างนั้นก็คงจะไม่ประลองกับหลินจวินปี้บ่อยๆ แล้วยังสามารถผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะกับอีกฝ่ายได้ด้วย แน่นอนว่าฝีปากด่าคนก็ยิ่งร้ายกาจ ด่าเสียจนสวีหนิงหน้าเขียวคล้ำ ทำท่าจะถามกระบี่

ตอนนั้นบรรยากาศในห้องโถงเคร่งเครียดอย่างถึงที่สุด หากเกิดการถามกระบี่กันขึ้นมาจริงๆ ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร สำหรับสายอิ่นกวานแล้ว อันที่จริงก็ไม่ถือว่ามีผู้ชนะ

หลัวเจินอี้จึงเอ่ยประโยคหนึ่งว่า หากก่อนหน้านี้เลือกใช้วิธีของสวีหนิง มีหรือจะเกิดความเสียหายมากขนาดนี้ หากจำไม่ผิด เป็นเพราะพวกเจ้าที่โต้เถียงเขา แล้วแบบนี้จะเรียกว่าสวีหนิงทำตัวเป็นคนฉลาดหลังจบเรื่องได้อย่างไร

เดิมทีฉางไท่ชิงก็เป็นภูเขาลูกเดียวกับสวีหนิงและหลัวเจินอี้อยู่แล้ว แล้วก็ยิ่งเป็นสหายร่วมเป็นร่วมตายกับสวีหนิง จึงเอ่ยประโยคที่รุนแรงยิ่งกว่าบอกว่า ก่อนเกิดเรื่องโง่ หลังจบเรื่องทำผิดไม่ยอมรับ ก็โง่ยิ่งกว่า

ซ่งเกาหยวนผู้ฝึกกระบี่ต่างถิ่นที่ถึงแม้เวลาปกติจะสนิทกับพวกหลัวเจินอี้ แต่สำหรับเรื่องนี้ เห็นได้ชัดว่ายืนอยู่ฝ่ายเดียวกับเฉากุ่น เสวียนเซิน จึงเปิดฉากทะเลาะกับฉางไท่ชิงอย่างรุนแรง

หลินจวินปี้พยายามห้ามทัพ ผลคือทั้งสองฝ่ายต่างก็ไม่มีใครฟัง ต่งปู้เต๋อไม่ดาจด่าสวีหนิงและเสวียนเซินได้ แต่คิดจะด่าหลินจวินปี้กลับไม่มีปัญหา

กวอจู๋จิ่วไม่เคยเห็นเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน จึงไม่รู้ว่าควรทำตัวอย่างไร ราวกับว่าไม่ว่าจะพูดอะไรก็ผิดไปหมด

หากไม่เป็นเพราะเฉินผิงอันกับโฉวเหมียวต่างก็อดทนข่มกลั้นเอาไว้ได้ ภูเขาสองลูกที่ถูกอำพรางไว้ของผู้ฝึกกระบี่ในท้องถิ่นและผู้ฝึกกระบี่ต่างถิ่นก็คงจะเกิดรอยร้าวเพราะเรื่องในครั้งนี้ไปแล้ว

หลังจากที่โฉวเหมียวมองสบตากับเฉินผิงอัน เซียนกระบี่โฉวเหมียวก็เป็นคนที่บอกให้สวีหนิงหุบปากก่อน

จากนั้นเฉินผิงอันจึงเปิดปากถามพวกเขาว่าสรุปแล้วอยากจะพูดคุยกันด้วยเหตุผลหรืออยากจะระบายอารมณ์ใส่กันกันแน่? หากจะคุยด้วยเหตุผลก็ไม่จำเป็นต้องคุย ความเสียหายทางการศึกใหญ่หลวงขนาดนี้ล้วนเป็นเพราะกลยุทธที่ผิดพลาดของคนทั้งสายอิ่นกวาน ทุกคนล้วนมีส่วนที่ต้องรับผิดชอบ อีกทั้งยังเป็นเขาอิ่นกวานที่มีความผิดใหญ่หลวงที่สุด เพราะเขาเป็นคนตั้งกฎ การเลือกและตัดกลยุทธแต่ละอย่างล้วนอิงไปตามกฎเกณฑ์ การซักไซ้เอาผิดหลังจบเรื่องใช่ว่าจะทำไม่ได้ อีกทั้งยังเป็นเรื่องที่ต้องทำด้วย แต่ห้ามกล่าวโทษแค่คนใดคนหนึ่งเด็ดขาด คิดจะดึงปัญหาออกมาทำให้เป็นเรื่องใหญ่ ตามมาคิดบัญชีกันย้อนหลัง กล้าคิดบัญชีกันแบบนี้ ศาลของสายอิ่นกวานเล็กเกินไป ปรนนิบัติไม่ไหว ขออภัยที่รับใช้ไม่ได้

หากใครมีไฟโทสะแล้วหวังว่าจะอาศัยการด่าสักคำสองคำมาระบายอารมณ์ ก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้ หรือต่อให้จะถามกระบี่กันอย่างสาแก่ใจสักครั้งก็ได้เหมือนกัน ทว่าให้จับกลุ่มกันสามต่อสาม เติ้งเหลียงกับหลัวเจินอี้ เฉากุ่นกับฉางไท่ฉิง เสวียนเซินกับสวีหนิง ถือเสียว่าเป็นการเฝ้าด่านผ่านด่านที่มาช้าไปครั้งหนึ่ง หลังสู้กันเสร็จก็ให้จบกันแต่เพียงเท่านี้ ทว่าบนสมุดบัญชีเล่มนั้นของข้าคงจะต้องเขียนวีรกรรมยิ่งใหญ่ของนายท่านเซียนกระบี่ทั้งหลายไว้ให้มากขึ้นแล้ว

ทุกคนในห้องโถงพากันเงียบงัน

เฉินผิงอันถึงได้ร่วมกับโฉวเหมียวและหลินจวินปี้ทบทวนกระดาน วิเคราะห์ผลได้ผลเสียจากแผนการของเฉากุ่นอย่างละเอียดอีกครั้ง ไม่ได้ปฏิเสธกลยุทธนั้นทั้งหมดเพียงแค่เพราะผลลัพธ์ออกมาแย่

มาถึงเวลานี้ ผู้ฝึกกระบี่ส่วนใหญ่ก็ล้วนสงบอารมณ์กันได้มากแล้ว

กวอจู๋จิ่วกระโดดผลุงขึ้น “เก็บเงินๆ!”

ทุกคนที่แพ้เงินเดิมพันต่างหันมามองโฉวเหมียว

โฉวเหมียวมองเฉินผิงอันด้วยสีหน้าจนใจ ยิ้มเจื่อนเอ่ยว่า “ไม่คิดว่าจะต้องเสียชื่อเสียงไปด้วย ถ้าอย่างนั้นแบ่งกันสี่ต่อหกคงไม่ได้แล้ว ห้าต่อห้าดีกว่า”

เฉินผิงอันด่าอย่างขุ่นเคือง “มารดาเจ้าเถอะ โฉวเหมียวเจ้าไม่ใช่หน้าม้าของข้าสักหน่อย!”

กู้เจี้ยนหลงเอ่ยอย่างขลาดๆ “ใต้เท้าอิ่นกวาน ขอให้ข้าได้พูดจาอย่างเป็นธรรมสักคำ แยกแยะเรื่องเงินๆ ทองๆ อย่างชัดเจนจึงจะเป็นลูกผู้ชาย แบบนี้ดูไม่ค่อยมีคุณธรรมสักเท่าไหร่เลยนะ”

หวังซินสุ่ยพยักหน้า “ใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธเคือง แสร้งทำเป็นตกตะลึง อะไรที่มากเกินไปก็ไม่ดี”

กวอจู๋จิ่วถอนหายใจ

เพื่อหาเงินส่วนตัวเล็กๆ น้อยๆ อาจารย์ก็ช่างลำบากแล้วจริงๆ

เฉินผิงอันพลันหันมามองม้วนภาพบนพื้นแล้วเอ่ยเสียงหนักว่า “ต้องเตรียมให้เซียนกระบี่ออกจากหัวกำแพงเมือง ไปช่วยแบ่งแยกสนามรบแล้ว”

เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน “ก่อนหน้านี้มีโอกาสไปเยือนหัวกำแพงเมืองอยู่หลายครั้ง ข้าล้วนยอมถอยให้พวกเจ้า เพราะคิดว่าเหลือเอาไว้ก่อน ดังนั้นตอนนี้ข้ายังพอจะมีเวลาอีกประมาณยี่สิบวันที่สามารถออกจากคฤหาสน์หลบร้อนไปฆ่าปีศาจ เวลาระหว่างนี้โฉวเหมียวกับหลินจวินปี้รับผิดชอบดูแลสถานการณ์โดยรวม หากมีเรื่องที่ยากจะตัดสินใจได้จริงๆ พวกเจ้าก็ใช้กระบี่บิน ‘อิ่นกวาน’ ส่งข่าวไปแจ้งเซียนกระบี่เว่ยจิ้นที่หัวกำแพงเมือง เขาจะแจ้งให้ข้ากลับเข้ามาจัดการเรื่องนี้ชั่วคราว”

หลัวเจินอี้ลังเลเล็กน้อย กำลังจะพูดโน้มน้าวใต้เท้าอิ่นกวานท่านนี้ว่าอย่าทำอะไรโดยใช้อารมณ์

แต่นางก็จำต้องยอมรับว่า เมื่อผู้ฝึกกระบี่ของสายอิ่นกวานสามารถร่วมมือกันอย่างรู้ใจมากขึ้น อันที่จริงการที่เฉินผิงอันนั่งบัญชาการณ์อยู่ในคฤหาสน์หลบร้อนก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะสามารถเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ใหญ่ได้มากนัก แต่มีหรือไม่มีเฉินผิงอันอยู่ที่นี่ ถึงอย่างไรก็ยังแตกต่างกัน อย่างน้อยที่สุดการโต้เถียงบางอย่างที่ไม่มีความจำเป็นก็จะลดน้อยลง

คิดไม่ถึงว่าโฉวเหมียวจะใช้เสียงในใจพูดกับหลัวเจินอี้ว่า “ปล่อยให้เขาไป คนที่ในใจอัดอั้นมากที่สุดไม่ใช่พวกเรา คนผู้หนึ่งที่ตั้งแต่ต้นจนจบไม่เคยแสดงอารมณ์แม้แต่น้อยมาเป็นเวลานานถึงปีกว่า นับว่าไม่ง่ายเลย”

หลัวเจินอี้พลันกระจ่างแจ้ง หากไม่เป็นเพราะโฉวเหมียวเอ่ยเตือน นางก็ไม่เคยสนใจเรื่องนี้มาก่อนจริงๆ

——

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!