กระโจมทัพทั้งหกสิบแห่งของใต้หล้าเปลี่ยวร้างส่งกองกำลังทหารไปชดเชยอย่างต่อเนื่อง การโจมตีเมืองแต่ละช่วงเวลาล้วนเชื่อมโยงติดกันอย่างแนบแน่น รอบคอบรัดกุม ใต้หล้าเปลี่ยวร้างตั้งท่าชัดเจนว่าจะไม่เปิดโอกาสให้กำแพงเมืองปราณกระบี่ได้หยุดพักแม้แต่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่ยินดีจะเปิดโอกาสให้เซียนกระบี่ห้าขอบเขตบนได้หายใจหายคอ ภายใต้สถานการณ์ที่ตึงเครียดกดดันอย่างถึงที่สุดนี้ กฎเกณฑ์ของสายอิ่นกวานที่แรกเริ่มเดิมทีทำให้เซียนกระบี่ออกกระบี่อย่างอึดอัดเหมือนถูกมัดมือมัดเท้า ได้แต่ทำตามระเบียบขั้นตอนไม่อาจออกกระบี่อย่างสาแก่ใจ เวลานี้กลับเริ่มค่อยๆ ปรากฏประสิทธิผล
ก่อนที่จะเป็นเช่นนี้ ในฐานะค่าตอบแทนที่ต้องจ่าย พลังพิฆาตของแต่ละคนที่แข็งแกร่งไร้เทียมทาน มาดของเซียนกระบี่ที่โดดเด่นสง่างามยามอยู่บนหัวกำแพงเมืองล้วนถูกทำให้เจือจางไปอย่างที่มองไม่เห็น ผลลัพธ์ที่แลกมาได้ก็คือพลังพิฆาตที่แข็งแกร่งขึ้นไปอีกระดับของตลอดทั้งค่ายกลกระบี่
ตอนนี้ต่อให้เซียนกระบี่บางท่านถอนตัวออกจากสนามรบเพื่อไปเลี้ยงกระบี่และพักผ่อน ข้อเสียก็ยังลดน้อยลงตามไปด้วย
เพราะการศึกษาและแทรกซึมที่สายอิ่นกวานมีต่อค่ายกลกระบี่นั้นลึกล้ำขึ้นเรื่อยๆ อย่าว่าแต่เซียนกระบี่ห้าขอบเขตบนเลย สายของอิ่นกวานไม่เพียงแต่คุ้นเคยกับกระบี่บินและวิชาอภินิหารของผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดและโอสถทองทุกคน ตอนนี้แม้แต่กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของผู้ฝึกกระบี่อีกสามขอบเขตที่เหลือก็ท่องจำได้อย่างขึ้นใจจนถึงขั้นที่เรียกว่าเกินจริงไปมาก
สายน้ำแปรปรวนไม่เคยแน่นอน ทหารไม่หน่ายการศึก ผู้ฝึกกระบี่บนหัวกำแพงเปลี่ยนค่ายกลไปอย่างต่อเนื่อง และยิ่งมีการสลับตำแหน่งกันเป็นระยะ ผู้ฝึกกระบี่หลายคนที่เดิมทีไม่เคยแม้แต่จะทักทายกันก็ได้มาร่วมงานกันอย่างปรองดอง
ใช้กระบี่บินทีละสองสามเล่มมาร่วมมือกัน ถึงขั้นที่ว่านำกระบี่บินหลายสิบเล่มมาสร้างเป็นค่ายกลกระบี่ เสริมด้วยวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิต ขอแค่อดทนจนผ่านการขัดเกลาให้กลมกลืนกันในช่วงแรกไปได้ พลานุภาพก็จะเพิ่มขึ้นอย่างพรวดพราด
ลำพังเพียงแค่กระบี่บินและวิชาอภินิหารที่เป็นหนึ่งในห้าธาตุ เมื่อสร้างกันขึ้นเป็นค่ายกล ตอนนี้บนกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็มีค่ายกลกระบี่มากถึงสามสิบเอ็ดแห่งแล้ว
กำแพงเมืองปราณกระบี่ในอดีตก็เหมือนคนครอบครัวใหญ่ที่รากฐานของตระกูลลึกล้ำอุดมสมบูรณ์ สรุปแล้วมีเงินทองมีที่นามากแค่ไหนกันแน่ บางทีแม้แต่ตัวเองก็ยังไม่รู้ กำแพงเมืองปราณกระบี่ในทุกวันนี้จึงเป็นเหมือนการเก็บเอาเหรียญทองแดงจากทุกซอกมุมมาบันทึกลงบนบัญชี
สามารถมีสถานการณ์อย่างทุกวันนี้ได้ สายอิ่นกวานทุกคนล้วนเป็นบุคคลที่จะขาดไปไม่ได้แม้แต่คนเดียว
และในบรรดาคนเหล่านี้ ก็มีเซียนกระบี่โฉวเหมียวที่เข้าใจกระบี่บินและวิชาอภินิหารเป็นอย่างดี มีหลินจวินปี้ที่มองสถานการณ์ภาพรวมแล้วสรุปวางแผน ความคิดประหลาดที่ผุดวาบขึ้นมาในบางครั้งของกวอจู๋จิ่ว เป็นสามคนนี้ที่มีคุณความชอบมากที่สุด
แต่ช่วงเวลาระหว่างนี้ การวางแผลกลยุทธของสายอิ่นกวานก็ใช่ว่าจะไม่มีช่องโหว่เสียเลย ถึงขั้นที่ว่ายังเคยเกิดข้อผิดพลาด เป็นความผิดพลาดร้ายแรงที่จำเป็นต้องให้ผู้ฝึกกระบี่บนสนามรบใช้กระบี่บินและชีวิตของตัวเองไปชดเชย
ระหว่างผู้ฝึกกระบี่ของสายอิ่นกวานก็ใช่ว่าจะไม่เคยมีการทะเลาะเบาะแว้งที่ทำลายความปรองดอง ไม่เคยมีความไม่พอใจต่อกันเสียเลย เพราะถึงอย่างไรบนสนามรบเล็กๆ แห่งหนึ่งก็มักจะปรากฏกรณีสองอย่างที่เป็นทางแยกอยู่เสมอ หากก่อนที่ผลลัพธ์จะปรากฏ ทั้งสองกรณีนี้ไม่ว่าใครก็ไม่กล้าพูดว่าตัวเองจะมีโอกาสชนะมากกว่า ชนะได้อย่างมั่นคงกว่า หากสถานการณ์ของสงครามดำเนินไปได้ตามที่คาดการณ์ก็ยังพูดได้ง่าย แต่หากเกิดปัญหาขึ้นจะยุ่งยากอย่างมาก ฝ่ายที่ผิดจะต้องรู้สึกละอายใจ ส่วนฝ่ายที่ถูกก็จะรู้สึกอึดอัด
การโต้เถียงที่ดุเดือดรุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งเกิดขึ้นระหว่างสวีหนิงกับเฉากุ่น พวกเขาทะเลาะกันจนหน้าดำหน้าแดง อีกนิดเดียวทั้งสองฝ่ายก็เกือบจะได้ถามกระบี่กันแล้ว
กลยุทธหนึ่งที่คฤหาสน์หลบร้อนตั้งขึ้นมาเป็นเหตุให้ผู้ฝึกกระบี่เซียนดินของกำแพงเมืองปราณกระบี่รบตาย แล้วยังพาให้ผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตกลางอีกสามสิบเอ็ดคนกายดับกระบี่ย่อยยับ
ทุกคนต่างก็เจ็บปวดใจ เสวียนเซินที่รับผิดชอบกำหนดรายละเอียดของกลยุทธก็ยิ่งเจ็บปวดเคียดแค้น คำพูดของสวีหนิงที่แม้ว่าแรกเริ่มจะเป็นแค่คำบ่น แต่ถึงอย่างไรก็เป็นการราดน้ำมันลงบนกองเพลิง เสวียนเซินสีหน้าหม่นหมอง ในใจรู้สึกผิด จึงไม่ได้ตอบโต้อะไร เฉากุ่นที่สนิทกับเสวียนเซินมากทนไม่ไหวจึงเปิดปากด่าอีกฝ่ายไปโดยตรง บอกให้สวีหนิงทำปากให้สะอาดหน่อย เลิกทำตัวเป็นคนลาดหลังเกิดเรื่องเสียที
สวีหนิงจึงทักทายบรรพบุรุษสิบแปดรุ่นของเสวียนเซินไปรอบหนึ่ง
เสวียนเซินมีฝีมือการเล่นหมากล้อมสูง ไม่อย่างนั้นก็คงจะไม่ประลองกับหลินจวินปี้บ่อยๆ แล้วยังสามารถผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะกับอีกฝ่ายได้ด้วย แน่นอนว่าฝีปากด่าคนก็ยิ่งร้ายกาจ ด่าเสียจนสวีหนิงหน้าเขียวคล้ำ ทำท่าจะถามกระบี่
ตอนนั้นบรรยากาศในห้องโถงเคร่งเครียดอย่างถึงที่สุด หากเกิดการถามกระบี่กันขึ้นมาจริงๆ ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร สำหรับสายอิ่นกวานแล้ว อันที่จริงก็ไม่ถือว่ามีผู้ชนะ
หลัวเจินอี้จึงเอ่ยประโยคหนึ่งว่า หากก่อนหน้านี้เลือกใช้วิธีของสวีหนิง มีหรือจะเกิดความเสียหายมากขนาดนี้ หากจำไม่ผิด เป็นเพราะพวกเจ้าที่โต้เถียงเขา แล้วแบบนี้จะเรียกว่าสวีหนิงทำตัวเป็นคนฉลาดหลังจบเรื่องได้อย่างไร
เดิมทีฉางไท่ชิงก็เป็นภูเขาลูกเดียวกับสวีหนิงและหลัวเจินอี้อยู่แล้ว แล้วก็ยิ่งเป็นสหายร่วมเป็นร่วมตายกับสวีหนิง จึงเอ่ยประโยคที่รุนแรงยิ่งกว่าบอกว่า ก่อนเกิดเรื่องโง่ หลังจบเรื่องทำผิดไม่ยอมรับ ก็โง่ยิ่งกว่า
ซ่งเกาหยวนผู้ฝึกกระบี่ต่างถิ่นที่ถึงแม้เวลาปกติจะสนิทกับพวกหลัวเจินอี้ แต่สำหรับเรื่องนี้ เห็นได้ชัดว่ายืนอยู่ฝ่ายเดียวกับเฉากุ่น เสวียนเซิน จึงเปิดฉากทะเลาะกับฉางไท่ชิงอย่างรุนแรง
หลินจวินปี้พยายามห้ามทัพ ผลคือทั้งสองฝ่ายต่างก็ไม่มีใครฟัง ต่งปู้เต๋อไม่ดาจด่าสวีหนิงและเสวียนเซินได้ แต่คิดจะด่าหลินจวินปี้กลับไม่มีปัญหา
กวอจู๋จิ่วไม่เคยเห็นเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน จึงไม่รู้ว่าควรทำตัวอย่างไร ราวกับว่าไม่ว่าจะพูดอะไรก็ผิดไปหมด
หากไม่เป็นเพราะเฉินผิงอันกับโฉวเหมียวต่างก็อดทนข่มกลั้นเอาไว้ได้ ภูเขาสองลูกที่ถูกอำพรางไว้ของผู้ฝึกกระบี่ในท้องถิ่นและผู้ฝึกกระบี่ต่างถิ่นก็คงจะเกิดรอยร้าวเพราะเรื่องในครั้งนี้ไปแล้ว
หลังจากที่โฉวเหมียวมองสบตากับเฉินผิงอัน เซียนกระบี่โฉวเหมียวก็เป็นคนที่บอกให้สวีหนิงหุบปากก่อน
จากนั้นเฉินผิงอันจึงเปิดปากถามพวกเขาว่าสรุปแล้วอยากจะพูดคุยกันด้วยเหตุผลหรืออยากจะระบายอารมณ์ใส่กันกันแน่? หากจะคุยด้วยเหตุผลก็ไม่จำเป็นต้องคุย ความเสียหายทางการศึกใหญ่หลวงขนาดนี้ล้วนเป็นเพราะกลยุทธที่ผิดพลาดของคนทั้งสายอิ่นกวาน ทุกคนล้วนมีส่วนที่ต้องรับผิดชอบ อีกทั้งยังเป็นเขาอิ่นกวานที่มีความผิดใหญ่หลวงที่สุด เพราะเขาเป็นคนตั้งกฎ การเลือกและตัดกลยุทธแต่ละอย่างล้วนอิงไปตามกฎเกณฑ์ การซักไซ้เอาผิดหลังจบเรื่องใช่ว่าจะทำไม่ได้ อีกทั้งยังเป็นเรื่องที่ต้องทำด้วย แต่ห้ามกล่าวโทษแค่คนใดคนหนึ่งเด็ดขาด คิดจะดึงปัญหาออกมาทำให้เป็นเรื่องใหญ่ ตามมาคิดบัญชีกันย้อนหลัง กล้าคิดบัญชีกันแบบนี้ ศาลของสายอิ่นกวานเล็กเกินไป ปรนนิบัติไม่ไหว ขออภัยที่รับใช้ไม่ได้
หากใครมีไฟโทสะแล้วหวังว่าจะอาศัยการด่าสักคำสองคำมาระบายอารมณ์ ก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้ หรือต่อให้จะถามกระบี่กันอย่างสาแก่ใจสักครั้งก็ได้เหมือนกัน ทว่าให้จับกลุ่มกันสามต่อสาม เติ้งเหลียงกับหลัวเจินอี้ เฉากุ่นกับฉางไท่ฉิง เสวียนเซินกับสวีหนิง ถือเสียว่าเป็นการเฝ้าด่านผ่านด่านที่มาช้าไปครั้งหนึ่ง หลังสู้กันเสร็จก็ให้จบกันแต่เพียงเท่านี้ ทว่าบนสมุดบัญชีเล่มนั้นของข้าคงจะต้องเขียนวีรกรรมยิ่งใหญ่ของนายท่านเซียนกระบี่ทั้งหลายไว้ให้มากขึ้นแล้ว
ทุกคนในห้องโถงพากันเงียบงัน
เฉินผิงอันถึงได้ร่วมกับโฉวเหมียวและหลินจวินปี้ทบทวนกระดาน วิเคราะห์ผลได้ผลเสียจากแผนการของเฉากุ่นอย่างละเอียดอีกครั้ง ไม่ได้ปฏิเสธกลยุทธนั้นทั้งหมดเพียงแค่เพราะผลลัพธ์ออกมาแย่
มาถึงเวลานี้ ผู้ฝึกกระบี่ส่วนใหญ่ก็ล้วนสงบอารมณ์กันได้มากแล้ว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!