กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 648

สรุปบท บทที่ 648.1 ไร้กระบี่ให้ออก: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!

สรุปเนื้อหา บทที่ 648.1 ไร้กระบี่ให้ออก – กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet

บท บทที่ 648.1 ไร้กระบี่ให้ออก ของ กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! ในหมวดนิยายกำลังภายใน เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย Internet อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที

หมัดของผู้ฝึกยุทธเฉาสือ

กระบี่ของผู้ฝึกกระบี่หนิงเหยา

ราวกับว่าเกิดมาก็ได้ครอบครองภาพบรรยากาศอันยิ่งใหญ่แห่งฟ้าดินที่ลี้ลับมหัศจรรย์อย่างยิ่ง

‘นกในกรง’ กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มแรกของเฉินผิงอัน ‘กฎเกณฑ์’ กระบี่บินของฉีจิ่งหลงที่ว่ากันว่าได้มาจากการอ่านตำรา ทั้งสองคนสามารถใช้วิชาอภินิหารของกระบี่บินสร้างฟ้าดินขนาดเล็กแห่งหนึ่งขึ้นมาได้ แต่เมื่อเทียบกับสองฝ่ายแรกแล้วกลับเป็นคนละเรื่องกันเลย

ดังนั้นเมื่อหนิงเหยาเดินนำออกจากขบวน ถือเจี้ยนเซียนบุกทะลวงค่ายกลรบ

กองทัพใหญ่เผ่าปีศาจที่เดิมทีก็หยุดชะงักมิอาจเดินหน้ากลับต้องเริ่มถอยร่นอย่างที่มิอาจควบคุมตัวเองได้ นี่เป็นเหตุให้กองกำลังทหารของเส้นแนวรบแรกของกองทัพใหญ่ยิ่งเบียดเสียดกันจนแทบขยับเขยื้อนไม่ได้

บางทีนี่อาจเป็นดั่งคำกล่าวที่ว่าฟ้าให้กำเนิดหมื่นสรรพสิ่ง หมื่นสรรพสิ่งก็มีสัญชาตญาณต่อการเปลี่ยนแปลงของฟ้าดิน เหมือนกับที่คนสามารถสัมผัสได้ถึงความร้อนความหนาวของการผลัดเปลี่ยนสี่ฤดูกาลกระมัง

อันที่จริงเฉินผิงอันก็คาดหวังให้หนิงเหยาได้ออกกระบี่อย่างไร้ความกังวลมาโดยตลอด แต่ไหนแต่ไรมาเขายังไม่เคยเห็นหนิงเหยาที่แท้จริงบนสนามรบมาก่อน

ส่วนเจี้ยนเซียนที่เฉินผิงอันต้องผ่านความยากลำบากนานัปการกว่าจะพอกำราบพยศมันได้บ้าง ยามอยู่ในมือของตน นิสัยของอีกฝ่ายเอาแต่ใจราวกับนายท่านใหญ่ ผลคือพอไปอยู่ในมือหนิงเหยากลับว่านอนสอนง่ายราวกับเด็กหญิงตัวน้อยๆ แต่เฉินผิงอันไม่ถือสาแม้แต่น้อย

หนิงเหยาเดินไปข้างหน้าช้าๆ ไม่ได้รีบร้อนปล่อยกระบี่แรกออกไป

เจี้ยนเซียนในมือของนางมีแสงสีทองไหลวน บวกกับชุดคลุมอาคมสีทองที่เดิมทีก็สะดุดตาผู้คนบนสนามรบอยู่แล้ว ยิ่งขับให้หนิงเหยาที่อยู่บนสนามรบเวลานี้ปานประหนึ่งองค์เทพผู้สูงศักดิ์ที่ลงมาเดินเยื้องย่างอยู่ในโลกมนุษย์

อาศัยโอกาสนี้ เฉินผิงอันใช้เสียงในใจสอบถามรายละเอียดของการฝ่ายทะลวงค่ายกลก่อนหน้านี้มาจากเฉินซานชิวและเยี่ยนจั๋ว ยกตัวอย่างเช่นจำนวนคร่าวๆ รูปโฉม วิชาอภินิหารและวัตถุแห่งชะตาชีวิตของผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกร ขอบเขตโอสถทองเผ่าปีศาจที่ขอบเขตสูงมากพอ แล้วก็ยังไม่ได้รับบาดเจ็บ ก่อนหน้านี้ระหว่างที่ถอยร่น ความคิดจิตใจส่วนใหญ่ของเฉินผิงอันอยู่ที่การตามหาผู้ฝึกกระบี่เดนตายที่หลบซ่อนตัวอยู่ ทำให้พลาดเรื่องอะไรไปหลายๆ อย่างอย่างเลี่ยงไม่ได้

หากถามเตี๋ยจ้างหรือต่งฮว่าฝูก็เปลืองน้ำลายเปล่า ตลอดทางที่เข่นฆ่าปล่อยกระบี่บินพุ่งชนอุตลุดนี้ คาดว่าแม้แต่คุณความชอบใหญ่ๆ ที่ตัวเองสร้างไว้ สองคนนี้ก็คงจำไม่ได้ด้วยซ้ำ

เฉินผิงอันใช้ริ้วคลื่นเสียงในหัวใจเอ่ยเตือนทุกคนด้วยน้ำเสียงรัวเร็ว “การบุกทะลวงขบวนรบต่อจากนี้พวกเจ้าไม่ต้องสนใจเรื่องการสังหารศัตรูให้ตายคาที่มากนัก ข้ากับฟ่านต้าเช่อจะคอยช่วยแทงกระบี่ซ้ำให้เอง นอกจากหนิงเหยาที่ฝ่าค่ายกลซึ่งไม่ต้องคิดอะไรมาก เรื่องที่สำคัญที่สุดในการออกกระบี่ของซานชิวพวกเจ้าสี่คนก็คืออาศัย ‘อาการบาดเจ็บโดยไม่ทันระวัง’ จากการโจมตีเป็นวงกว้าง มาบีบให้พวกนักรบเดนตายเปิดเผยพิรุธ แล้วข้าจะชี้ตัว ชี้ตำแหน่งคนเหล่านั้นให้เอง หากโอกาสเหมาะสมพวกเจ้าสามารถออกกระบี่จัดการได้ด้วยตัวเอง ข้ากับฟ่านต้าเช่อจะดูสถานการณ์ก่อนแล้วค่อยลงมือ จะคอยตามติดไปด้านหลัง หากไม่มีเวลาพอให้คิดพิจารณาจริงๆ ก็คอยฟังคำเตือนจากข้า ดูเวลาและสถานที่ให้เหมาะสม พยายามช่วยกันล้อมสังหารอีกฝ่ายให้ได้”

อันที่จริงฟ่านต้าเช่อตื่นเต้นเล็กน้อย ถึงอย่างไรก็ยังคงกังวลว่าตัวเองจะเป็นภาระของสหาย เวลานี้พอได้ฟังการวางแผนจัดกำลังอย่างละเอียดจากเฉินผิงอันก็พอจะวางใจได้หลายส่วน

“ต้าเช่ออ่า”

เฉินผิงอันเอ่ยกับฟ่านต้าเช่อเพียงคนเดียว “พอหัวร้อน ความองอาจห้าวหาญที่เสแสร้งแกล้งทำจะไม่ใช่ความองอาจห้าวหาญได้อย่างไร?”

ฟ่านต้าเช่อสูดลมหายใจเข้าลึก ยิ้มเอ่ยว่า “ก็จริงนะ”

รูปลักษณ์ของต่งฮว่าฝูในเวลานี้ก้ำกึ่งอยู่ระหว่างเด็กหนุ่มกับบุรุษหนุ่ม มีเพียงชื่อที่บิดามารดาตั้งให้ ไม่มีฉายาที่สหายในยุทธภพที่ตั้งให้ผิดๆ ต่งถ่านดำ ตัวเขาก็ดำอยู่จริงๆ และคาดว่าชีวิตนี้ก็คงสลัดฉายานี้ไม่หลุดแล้ว ต่งถ่านดำที่ทุ่มทองพันชั่ง กับต่งฮว่าฝูที่ไม่คิดติดหนี้

แต่เขาดันถือหงจวงที่ชื่อมีกลิ่นอายของสตรีเข้มข้น แล้วลักษณะยัง ‘อ่อนหวาน’ อย่างมาก เพราะตัวกระบี่บอบบางราวกับกิ่งหลิว

เจิ้นเยว่ในมือของเตี๋ยจ้าง เถ้าแก่ใหญ่สตรีที่มีแขนข้างเดียว แต่แท้จริงแล้วมีเรือนร่างอรชร คือสตรีที่หน้าตางามพิสุทธิ์คนหนึ่ง ทว่ากระบี่ที่พกกลับเป็นกระบี่ใหญ่ที่ตัวกระบี่กว้างมาก

ต่งฮว่าฝูกับเตี๋ยจ้างที่จิตสังหารเข้มข้นที่สุดตามติดอยู่ด้านหลังของหนิงเหยา หนึ่งซ้ายหนึ่งขวา พยายามช่วยหนิงเหยาที่ฝ่าทะลวงค่ายกลนำหน้าไปก่อนฉีกกระชากกองทัพใหญ่เผ่าปีศาจให้เกิดช่องที่ใหญ่ยิ่งกว่าเดิม

หากจะบอกว่าการออกกระบี่ของหนิงเหยาที่เป็นผู้นำจะเป็นตัวตัดสินความเร็วในการฝ่าขบวนรบของผู้ฝึกกระบี่กลุ่มของพวกเขา ถ้าอย่างนั้นหน้าที่ของเตี๋ยจ้างกับต่งฮว่าฝูก็ไม่เบาเหมือนกัน หากพลังสังหารจากค่ายกลกระบี่ของทั้งเจ็ดคนไม่ใหญ่มากพอ ต่อให้ทะลวงขบวนรบสำเร็จ ใช้ความเร็วที่มากที่สุดบุกลงใต้ขยับเข้าใกล้แม่น้ำเส้นยาวสีทองที่มีเซียนกระบี่เฝ้าพิทักษ์เส้นนั้น อันที่จริงก็ไม่ได้มีความหมายต่อตลอดทั้งสถานการณ์การสู้รบสักเท่าไร

เฉินซานชิวกับเยี่ยนจั๋วที่ตำแหน่งคร่าวๆ อยู่ด้านหลังต่งฮว่าฝูและเตี๋ยจ้างจำเป็นต้องคอยช่วยคนทั้งสองสร้างความมั่นคงให้กับเส้นแนวรบ สังหารเผ่าปีศาจที่อยู่ในแนวขวางของสนามรบให้ได้มากกว่าเดิม

การบุกทะลวงขบวนรบกำลังจะเริ่มขึ้น

เฉินผิงอันก็เก็บสีหน้าอารมณ์ ปล่อยสมาธิจมจ่อมอยู่กับหน้าที่ตรงหน้า ขี่กระบี่แนบติดพื้นสูงแค่ไม่กี่ฉื่อเท่านั้น บางทีตัวตนของตนอาจหลอกพวกผู้ฝึกกระบี่ที่เป็นนักรบเดนตายบางคนไม่ได้ แต่ก็มีผลประโยชน์แบบแอบแฝงอยู่อย่างหนึ่ง หากผู้ฝึกกระบี่เหล่านั้นพยายามจะรักษาความมั่นคงให้กับสถานการณ์บนสนามรบ โดยใช้เสียงในใจบอกกล่าวแก่ผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจคนสำคัญนอกเหนือจากพวกเดนตาย ถ้าอย่างนั้นขอแค่มีการสบตากันเกิดขึ้นแล้วมองมาทาง ‘ผู้ฝึกกระบี่เด็กหนุ่ม’ โดยไม่ทันระวัง เฉินผิงอันก็จะมีโอกาสในการตามหาศัตรูที่เป็นคนสำคัญได้มากขึ้น

คิดจะทำการค้าครั้งใหญ่ก็ต้องคิดเล็กคิดน้อยทุกบาททุกสตางค์

เมื่อผู้ฝึกกระบี่ทั้งหกคนรุดหน้าไปเรื่อยๆ

เฉินผิงอันที่คอยคุมหลัง ตำแหน่งก็เคลื่อนมาอยู่ท้ายสุดของสนามรบโดยไม่ทันรู้ตัว แล้วจู่ๆ เขาก็พลันคลี่ยิ้ม

ต้องเป็นหนิงเหยาที่สวมชุดคลุมอาคมจินหลี่ตัวนั้นถึงจะงดงามที่สุดจริงๆ

ส่วนเรื่องที่ก่อนหน้านี้เขาเพิ่งจะรังเกียจว่าคุณชายผู่อวี๋สวมชุดคลุมสีขาวหิมะ กลับจดจำไม่ได้แล้ว

แน่นอนว่าเมื่อหนิงเหยาอยู่ในสนามรบ ไม่ว่าเวทอำพรางตาใดๆ ก็ไม่มีประโยชน์เลยสักนิด หนึ่งเพราะผู้ฝึกกระบี่ข้างกายที่เป็นเพื่อนสนิทของนางล้วนเป็นคนรุ่นเยาว์มากพรสวรรค์ที่อยู่ในช่วงเวลาปียิ่งใหญ่อันดีงามนี้ด้วยกัน ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นก็คือการออกกระบี่ของหนิงเหยาโดดเด่นสะดุดตามากเกินไป

เพราะถึงอย่างไรคนที่เชิดชูหลักการที่ว่ามีฝีมือมากก็ไม่กลัวว่าจะทับตัวตาย หากใช้กำลังแค่สี่ส่วนก็สามารถสังหารศัตรูได้ก็จะไม่ใช่กำลังห้าส่วนเด็ดขาด แล้วพอตัดสินใจเด็ดขาดขึ้นมา แม้แต่หน้ากากของสตรีก็ยังยินดีสวมใส่ ถึงขั้นที่ว่ายังแสร้งเป็นพวกเดียวกับเผ่าปีศาจได้อย่างเฉินผิงอันนี้ ก็มีให้เห็นไม่เยอะจริงๆ

ร่างของหนิงเหยาพุ่งวูบออกไป พริบตาเดียวก็ห่างไปข้างหน้าหลายสิบจั้ง ปาดกระบี่ออกไปในแนวขวาง

ในขณะที่หนิงเหยาหยุดชะงักอยู่บนสนามรบครู่เล็กๆ นั้น อันที่จริงกองทัพใหญ่เผ่าปีศาจรอบด้านได้พากันถอยร่นหนีตายอย่างบ้าคลั่ง เพียงแต่ว่าเมื่อนางเอ่ยสองคำง่ายๆ ว่า ‘มานี่’ ภาพเหตุการณ์ประหลาดก็พลันเกิดขึ้น

สี่ทิศรอบกายหนิงเหยาล้วนมีปณิธานกระบี่บริสุทธิ์ยุคบรรพกาลที่เหมือนได้รับคำสั่งจึงพากันพุ่งลงมาสู่พื้นดินในแนวดิ่ง ปณิธานกระบี่ที่เดิมทีเป็นเส้นๆ กลุ่มๆ เหมือนสิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญา ไม่เพียงแต่ถูกผู้ฝึกกระบี่เด็กรุ่นหลังของกำแพงเมืองปราณกระบี่คนหนึ่งสั่งให้เผยกายเป็นครั้งแรก ยังสามารถดูดซับเอาปราณกระบี่เปี่ยมล้นที่อยู่ในฟ้าดิน ปณิธานแก่นกระบี่สี่เส้นที่สูงขึ้นไปเหนือทะเลเมฆ ลึกลงไปถึงใต้ดินนั้นพากันขยายใหญ่อย่างต่อเนื่อง จนกลายมาเป็นเหมือนเสาต้นหนึ่งในบ้านหลังใหญ่

สุดท้ายก็มีเสาปณิธานกระบี่สี่ต้นที่เชื่อมโยงฟ้าและดินเข้าด้วยกันตั้งตระหง่านอยู่สี่ทิศของฟ้าดินแห่งนั้น

จากนั้นเพียงเสี้ยววินาทีก็แบ่งปณิธานกระบี่เล็กยิบย่อยออกมาอีกนับไม่ถ้วน ตัดสลับฉวัดเฉวียน แผ่ปกคลุมไปทั่วทั้งฟ้าดิน

คราวนี้รอบกายของหนิงเหยาไม่เหลือคนรอดชีวิตอยู่บนสนามรบแม้แต่คนเดียว อีกทั้งกองทัพใหญ่เผ่าปีศาจทั้งหมดที่ไม่ว่าจะเป็นเรือนกาย จิตวิญญาณ วัตถุแห่งชะตาชีวิตหรืออาวุธก็ล้วนแตกกระจายเละเทะไปพร้อมกัน

หนิงเหยาทะยานร่างไปข้างหน้าอีกครั้ง ทิ้งระยะห่างจากผู้ฝึกกระบี่ด้านหลังมาช่วงใหญ่

ปณิธานกระบี่สี่กลุ่มนั้นกลับมารวมตัวเป็นเส้นเดียวกันได้ด้วยตัวเอง แล้วจึงติดตามล้อมวนอยู่รอบกายหนิงเหยาราวกับเงาตามตัว

เป็นเหตุให้นอกค่ายกลใหญ่ปราณกระบี่ของหนิงเหยาเองแล้วยังมีปณิธานกระบี่คอยปกป้องอยู่ด้วย

อันที่จริงกระบี่ยาวสีทองที่อยู่ในมือไม่ได้มีพื้นที่ให้แสดงฝีมือสักเท่าไร

ฟ่านต้าเช่อที่ต่อให้จะเป็นคนกันเอง พอเห็นภาพนี้อยู่ไกลๆ ก็ยังรู้สึกชาไปทั้งหนังหัว

หากหลินจวินปี้มีโอกาสได้เห็นภาพนี้ คาดว่าคงบอกกับตัวเองว่าแม้จะแพ้ แต่ก็แพ้อย่างสมเกียรติแล้ว จะไม่รู้สึกเสียใจผิดหวังแม้แต่น้อย กลับมีแต่จะยิ่งรู้สึกดีใจ

พ่ายแพ้ให้แก่หนิงเหยาบนเส้นทางวิถีกระบี่ มีอะไรน่าอายหรือ?

ไม่เชื่อก็ลองไปถามผังหยวนจี้ ฉีโซ่วและเกาเหย่โหวดูสิ มีใครมีความสามารถที่จะขอให้หนิงเหยาลงมือด้วยตัวเองได้บ้าง?

ลองย้อนกลับไปมองดู

ก่อนที่หนิงเหยาจะกลายเป็นผู้ฝึกกระบี่โอสถทอง ยามที่อยู่บนสนามรบ บางทีหลักๆ แล้วอาจทำไปเพื่อการหลอมกระบี่และสังหารศัตรู แต่ขณะเดียวกันก็พยายามจะดูแลความปลอดภัยให้พวกเพื่อนๆ ให้ได้มากที่สุดด้วย

แต่เมื่อหนิงเหยาได้เดินทางไปเยือนใต้หล้าไพศาลมารอบหนึ่งแล้วหวนกลับคืนมาสู่กำแพงเมืองปราณกระบี่ สงครามสามครั้งก่อนหน้านี้ก็ดูเหมือนว่านางจะแค่ช่วยพวกเตี๋ยจ้าง เฉินซานชิวฝึกวิชากระบี่เท่านั้น

ดูเหมือนว่าจะไม่มีวิชากระบี่ใดให้นางฝึกได้อีกแล้ว

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!