ถึงท้ายที่สุด คนทั้งโต๊ะก็ถูกเจิ้งต้าเฟิงทำให้หมดความอดทน ตอนที่จากไปจึงไม่จ่ายเงิน
เจิ้งต้าเฟิงเรียกคนที่คุ้นหน้าคุ้นตากันคนหนึ่งให้นั่งลง คนคุ้นหน้าก็เรียกคนสนิทของตัวเองให้มาดื่มเหล้าด้วยกัน จากนั้นเจิ้งต้าเฟิงก็คิดจะเผ่นไปอย่างว่องไวดุจทาน้ำมันไว้ใต้รองเท้า
คิดไม่ถึงว่าสตรีออกเรือนแล้วจะตาแหลม ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “พี่ต้าเฟิง ท่านน่ะในกระเป๋าขาดเงิน หรือว่าในเป้าขาดไอ้จ้อนกันล่ะ หากขาดเงิน จ่ายค่าเหล้าไม่ไหว พวกเรามีความสัมพันธ์กันแบบใด ยกค่าเหล้าให้เปล่าๆ ก็ได้ แต่หากขาดไอ้จ้อน ข้าก็คงช่วยไม่ได้แล้วจริงๆ”
เจิ้งต้าเฟิงไม่หยุดเดิน แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน
หวงเอ้อเหนียงตบโต๊ะดังลั่น “เจิ้งต้าเฟิง! ไสหัวกลับมาหาข้าเดี๋ยวนี้ เต้าหู้ของเหล่าเหนียง ใจกล้ามากพอจึงไม่กลัวมีด ถ้าอย่างนั้นก็เชิญกินได้ตามสบาย (กินเต้าหู้/หลอกกินเต้าหู้ จะเปรียบเปรยหมายถึงการแตะอั๋ง ลวนลาม) แต่เงินค่าเหล้าท่านก็กล้าติดงั้นรึ? สวรรค์มอบความใจกล้าให้คนขี้ขลาดอย่างท่านตั้งแต่เมื่อไหร่?”
ขนบธรรมเนียมของเมืองเล็ก แต่ไหนแต่ไรมาก็บริสุทธิ์เรียบง่ายอยู่เสมอ
เจิ้งต้าเฟิงหันตัวกลับมา เดินเอื่อยเฉื่อยมาถึงโต๊ะคิดเงิน พูดกลั้วหัวเราะเบาๆ “ขาดเงินๆ มีตอนไหนที่ไม่ขาดเงินบ้างเล่า แต่อย่างอื่นน่ะไม่ขาดหรอก หวงเอ้อเหนียงเจ้ายังไม่รู้อีกหรือ? พี่ต้าเฟิงที่ดุดันราวพยัคฆ์ร้าย ย่อมไม่ใช่ชื่อเสียงเลื่อนลอยแน่นอน”
หวงเอ้อเหนียงเอนตัวพิงโต๊ะ แทะเมล็ดแตง “ตอนนี้ทำไมถึงไม่ไปเล่นพนันแล้วล่ะ? ขึ้นเขาจัดการรังแม่หมูได้แล้วรึ?”
เจิ้งต้าเฟิงหัวเราะหน้าเป็น “ข้าเล่นพนันก็เพื่อหาความสนุกไปอย่างนั้น ไม่เคยคาดหวังเงินทอง เจ้าเคยเห็นข้าชนะเดิมพันหรือไง?”
จากนั้นเจิ้งต้าเฟิงก็พูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความปรารถนาดี “เงินนับพันนับหมื่นที่ได้มาจากโต๊ะพนันก็เป็นแค่คันนาริมคลอง เงินแห่งความเป็นความตาย หมุนเวียนอยู่ในกระเป๋าหกสิบปี เมื่อมีฝีมือ เงินที่ได้จากทักษะ สืบทอดกันไปสามรุ่น พื้นดินเท่าฝ่ามือ เงินไร่นา อยู่ได้หมื่นหมื่นปี”
หวงเอ้อเหนียงกลอกตามองบน “ชอบนักล่ะเวลาท่านแสร้งทำเป็นคนมีความรู้เนี่ย”
เจิ้งต้าเฟิงมองเสื้อผ้าของสตรีออกเรือนแล้ว ยื่นมือออกไป “น้องสาว เนื้อผ้าบนตัวเจ้านี่ซื้อมาจากร้านไหนกัน แน่นหนาขนาดนี้ ขอพี่ต้าเฟิงดูหน่อยสิ”
สตรีเพียงแค่แทะเมล็ดแตง ไม่หลบไม่เลี่ยง นางไม่เชื่อหรอกว่าไอ้หมอนี่จะกล้าลูบคลำเนื้อผ้าตรงหน้าอกตัวเองจริงๆ
แล้วก็จริงดังคาด เจิ้งต้าเฟิงหดมือกลับไปอย่างขลาดๆ แสร้งทำเป็นเช็ดโต๊ะพลางพูดบ่นไปด้วยเพื่อหาบันไดลงให้ตัวเอง “น้องสาว ไม่ใช่ว่าพี่ชายบ่นเจ้าหรอกนะ ไยไม่หัดหาลูกจ้างที่มือเท้าคล่องแคล่วมาบ้าง ดูผิวโต๊ะนี่สิ มันแผล็บขนาดนี้ แมลงวันบินมาเกาะคงขยับไปไหนไม่ได้แล้ว หากไม่ทันระวังจะไม่ถูกภูเขาใหญ่สองลูกทับตายหรอกหรือ?”
สตรีเพียงแค่หัวเราะเสียงเย็น “ยังมีหน้ามาเรียกข้าว่าน้องสาว? ท่านลองนับนิ้วคำนวณดูสิว่าไม่เคยมาอุดหนุนข้านานแค่ไหนแล้ว?”
เจิ้งต้าเฟิงฟุบตัวลงบนโต๊ะ หันหน้าไปมองโต๊ะเหล้าที่ผู้คนส่งเสียงพูดคุยกันจอแจ แล้วยิ้มเอ่ยว่า “ทุกวันนี้ยังต้องอุดหนุนอะไรอีกเล่า ขาดเงินค่าเหล้าข้าแค่ไม่กี่ถ้วยก็ไม่เป็นไรหรอก”
สตรีฉวยโอกาสที่ชายฉกรรจ์หลังค่อมหันไปมองทางอื่น ดวงตาของนางแดงก่ำ เพียงแต่ไม่นานนางก็ปกปิดมันไว้ได้
ดูเหมือนว่าผ่านไปแค่ชั่วพริบตา เวลาก็ผ่านไปนานหลายปีขนาดนี้แล้ว
ตอนที่นางเพิ่งเปิดร้านนี้ยังเป็นแค่หญิงสาวคนหนึ่ง แล้วก็ดูงดงามกว่าตอนนี้ ไม่มีริ้วรอยที่หางตา มือสองข้างก็ยิ่งนุ่มนิ่ม หวนนึกถึงอดีตอันห่างไกล ยามที่นางปลุกความกล้ายกเหล้าไปวางบนโต๊ะให้ลูกค้า ลูกตาของผีขี้เหล้าแทบทุกคนล้วนชำเลืองมองมาที่หน้าอกนาง มีเพียงบุรุษหนุ่มคนเดียวที่มองหน้าอกด้วย แล้วก็ชอบมองมือเล็กๆ ของนางด้วย เขาจะชอบพูดคำพูดน่าฟังมากมาย เป็นถ้อยคำสุภาพไพเราะเหมือนคำพูดในตำรา ฟังไม่เข้าใจ แต่กลับทำให้คนชื่นใจ
การที่ร้านสามารถอดทนจนผ่านพ้นวันเวลาแห่งความยากลำบากน่าอดสูเหล่านั้นมาได้ บุรุษที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ช่วยเหลือไว้มากมาย ไม่ได้เรียบง่ายเพียงแค่มาดื่มเหล้าเท่านั้น
เพียงแต่ว่าปีนั้นช่วงเวลาที่นางงดงามมากที่สุด นางกลับเอาแต่ขุ่นเคืองอับอายกับถ้อยคำเหล่านั้น ทุกวันนี้อายุเยอะแล้ว รู้จักเรื่องราวทางโลกและนิสัยใจคอของคนมากขึ้นแล้ว และตัวนางเองก็ไม่น่ามองเหมือนเดิมอีกแล้ว
นางรู้สึกเพียงว่าเจิ้งต้าเฟิงไม่เหมือนบุรุษทั่วไป
อันที่จริงสายตาและปากของเขาก็ไม่ได้อยู่เฉย แต่มือกลับซื่อสัตย์อย่างมาก
ผ่านมานานมากสตรีถึงเพิ่งมารู้ภายหลังว่า ที่แท้นี่ต่างหากถึงจะเรียกว่าคนซื่อสัตย์อย่างแท้จริง
เจิ้งต้าเฟิงหันหน้ากลับมา “ตามกฎเดิม ลงบัญชีไว้ ใช่แล้ว ขอเหล้าให้พี่ต้าเฟิงอีกชามสิ”
สตรีออกเรือนแล้วกระแทกชามลงบนโต๊ะ ไปตักเหล้ามารินใส่ชามด้วยตัวเอง นางหันหน้าเข้าหาไหเหล้า ตอนที่ก้มตัวลง นางก็รู้ว่าชายฉกรรจ์ต้องกำลังมองตนอยู่อย่างแน่นอน
หวงเอ้อเหนียงรินเหล้าแล้วกลับมายืนพิงโต๊ะคิดเงินอีกครั้ง มองชายฉกรรจ์ที่จิบเหล้าคำเล็กๆ แล้วเอ่ยเสียงเบาว่า “คนกลุ่มของหลิวตาใหญ่กำลังหมายตาบ้านของท่าน ระวังหน่อย ไม่แน่ว่าครั้งนี้ที่กลับมาเมืองเล็กก็คงมาเพราะท่าน”
เจิ้งต้าเฟิงพยักหน้ารับ “ยังคงเป็นน้องสาวที่รู้จักเห็นใจคนอื่น”
“กำลังพูดเป็นการเป็นงานกับท่านอยู่นะ!”
หวงเอ้อเหนียงเพิ่มระดับน้ำเสียงเล็กน้อย ขมวดคิ้วเอ่ยว่า “อย่าได้ไม่เก็บไปใส่ใจ ได้ยินว่าทุกวันนี้พอคนกลุ่มนี้มีเงิน ทำการค้าในเขตการปกครองก็ไร้กฎเกณฑ์อย่างยิ่ง เงินเมื่อตกไปอยู่ในมือของคนดี นั่นก็คือความกล้าแห่งวีรบุรุษ แต่เมื่ออยู่ในกระเป๋าของคนจำพวกนี้ก็คือฝีมือในการทำร้ายคน บ้านโทรมๆ ของท่านหลังนั้นแม้จะเล็กก็จริง แต่ก็ตั้งอยู่ในทำเลดี เดินไปทางทิศตะวันออกของเมืองเล็กก็คือสุสานเทพเซียน ตอนนี้กลายเป็นศาลบู๊ไปแล้ว หลายปีที่ผ่านมานี้มีขุนนางใหญ่กี่มากน้อยที่คอยวิ่งไปจุดธูปกราบไหว้ภูเขาที่นั่น? มีอำนาจมากบารมีขนาดไหน? ท่านไม่รู้เลยหรือ? แต่ข้าก็อยากโน้มน้าวท่านสักคำ หาคนซื้อที่เหมาะสมสักคนแล้วขายให้เขาไปเถอะ อย่าได้เก็บไว้ ระวังทางฝั่งที่ว่าการจะมาเปิดปากขอซื้อจากท่าน ถึงเวลานั้นหวังจะขายราคาสูงก็เป็นเพียงความเพ้อฝันแล้ว ราคามีแต่จะต่ำจนถึงฝ่าเท้า สรุปว่าท่านจะขายหรือไม่ขาย? ไม่ขาย ชีวิตวันหน้าจะสงบสุขได้หรือ?”
เจิ้งต้าเฟิงอืมรับหนึ่งที
ดังนั้นหากจะให้พูดถึงเรื่องสกปรก เรื่องที่ชวนให้หงุดหงิดวุ่นวายใจ ในหมู่ชาวบ้านร้านตลาดก็มีอยู่ไม่น้อย แต่ละครอบครัวแต่ละครัวเรือน บ้านไหนบ้างที่จะไม่มีขี้หมาขี้ไก่เสียเลย? แต่หากจะพูดถึงความฉลาด ความจิตใจดี อันที่จริงพวกชาวบ้านก็มีคนที่เป็นแบบนั้นอยู่มากมาย แต่ละบ้านแต่ละเรือน ใครบ้างที่จะไม่มีข้าวสะอาดอยู่สักสองสามถ้วย?
สตรีพลันเอ่ยด้วยน้ำเสียงเสียใจ “ใกล้จะแก่กันแล้ว”
เจิ้งต้าเฟิงยิ้มเอ่ย “ก็จริงนะ ตอนนี้เจ้าลูกกระต่ายบ้านเจ้าก็เป็นบัณฑิตแล้ว ได้ยินมาว่าได้ฉายาว่าซิ่วไฉน้อยด้วยหรือ? เป็นอย่างไร พี่ต้าเฟิงไม่เคยหลอกเจ้าใช่ไหมล่ะ เจ้าเด็กนั่นแค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นวัสดุที่ดีชิ้นหนึ่ง คือเมล็ดพันธ์บัณฑิตของแท้แน่นอน กลอนคู่ในร้านเหล้าคงเป็นเจ้าเด็กนั่นเขียนสินะ เข้าท่าเข้าทีดีจริง น้องสาว เจ้าน่ะวันหน้าก็รอเสวยสุขเถอะ สมบัติตกทอดของวงศ์ตระกูลไม่ได้อยู่ที่เงินทอง แต่อยู่ที่การสะสมบุญคุณความดี”
หวงเอ้อเหนียงมองเขาแวบหนึ่ง
เจิ้งต้าเฟิงแสร้งทำเป็นเขินอาย ใช้ชามเหล้าบังหน้า “น้องสาว สายตานี้ของเจ้าไม่ค่อยปกติแล้วนะ ทำราวกับว่าพี่ต้าเฟิงไม่ได้สวมเสื้อผ้าออกจากบ้านอย่างนั้นแหละ”
หวงเอ้อเหนียงอ่อนใจเล็กน้อย
เรื่องสั่งสอนบุตรชาย นางต้องขอบคุณเขาจริงๆ ปีนั้นหญิงหม้ายอายุน้อยมีเจ้าขวดน้ำมันน้อย (เปรียบเปรยถึงตัวถ่วง ภาระ) อยู่ข้างกาย นางแทบจะเฉือนเนื้อตัวเองออกมาเพื่อให้ลูกชายได้กินอิ่มสวมใส่เสื้อผ้าอบอุ่นแล้วด้วยซ้ำ พอบุตรชายโตขึ้นมาอีกหน่อย นางก็ตัดใจด่าตีไม่ลง เด็กชายก็เลยเกเร แม้แต่คาบเรียนก็ยังกล้าโดด นางรู้สึกเพียงว่าเป็นแบบนี้ไม่ค่อยดี แต่ก็ไม่รู้ว่าควรจะสอนอย่างไร เกลี้ยกล่อมไปก็ไม่ฟัง ทุกครั้งเด็กชายล้วนตอบรับแต่ปาก แต่พอถึงเวลาจริงๆ ก็มักจะชอบลงคลองไปจับปลา ขึ้นเขาไปจับงูอยู่เป็นประจำ จากนั้นมีครั้งหนึ่งที่เจิ้งต้าเฟิงมาดื่มเหล้า ท่ามกลางคำพูดทะลึ่งตึงตังยาวเหยียดได้ซุกซ่อนประโยคหนึ่งเอาไว้ว่าหาเงินต้องมีไหวพริบ ปฏิบัติต่อคนอื่นต้องเป็นมิตรและใจกว้าง ไม่ควรปล่อยปละละเลยบุตรหลานมากเกินไป
หวงเอ้อเหนียงที่ฟังเข้าหูจึงตีสั่งสอนบุตรชายอย่างจริงจังไปรอบหนึ่ง ตีจนลูกชายกลายเป็นเด็กดี
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!