สรุปตอน บทที่ 653.3 ยืนอยู่ท่ามกลางแสงจันทร์ – จากเรื่อง กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet
ตอน บทที่ 653.3 ยืนอยู่ท่ามกลางแสงจันทร์ ของนิยายกำลังภายในเรื่องดัง กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดยนักเขียน Internet เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง
เปียนเหวินเม่าลุกขึ้นยืนช้าๆ เพียงคลี่ยิ้มไม่เอ่ยคำใด
หลี่ไหวคือเพื่อนร่วมชั้นเรียนที่ภรรยาพูดถึงค่อนข้างบ่อย ถ้อยคำที่ใช้ไร้ความเกรงใจ เล่าเรื่องสกปรกน่าอายมากมายของเขา ดังนั้นจึงเป็นคนที่เปียนเหวินเม่าไม่สนใจมากที่สุด แค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นตอไม้ทึ่มทื่อหัวทึบเรียนไม่เก่ง อาศัยบุญกุศลที่บรรพบุรุษสั่งสมมาจึงไปเรียนที่สำนักศึกษาซานหยาได้ คนแบบนี้มอบบันไดให้เขาหลายก้าวก็ยังยืนได้ไม่มั่นคง ไม่ช้าก็เร็วต้องถอยกลับไปยังขั้นล่างสุดของบันได ต่งสุ่ยจิ่งผู้นั้นจะดีจะชั่วก็ยังมีฝีมืออยู่บ้าง เริ่มจะมีข่าวลือเล็กๆ บางอย่างแพร่ออกมา บอกว่าคนผู้นี้ตีสนิทผู้ตรวจการเฉาและเจ้าเมืองหยวนไปได้ในเวลาเดียวกัน หากเป็นเช่นนี้จริง การค้าขายของเขาก็น่าจะไม่เล็กมากนัก
หลี่ไหวเอ่ยทักทายเปียนเหวินเม่าก่อน เห็นได้ชัดว่าคนผู้นี้ไม่เห็นตนอยู่ในสายตา มีมารยาทแต่ห่างเหิน แต่ถึงอย่างไรตนก็ไม่ควรทำให้เพื่อนสนิทอย่างสือเจียชุนต้องกระอักกระอ่วน จึงยังมีรอยยิ้มประดับใบหน้า
จากนั้นก็เดินไปนั่งแปะลงตรงข้ามสือเจียชุน หลี่ไหวหยิบขนมชิ้นหนึ่งขึ้นมากิน พูดเสียงอู้อี้ว่า “ก่อนที่เป่าผิงจะออกเดินทาง นางบอกว่าก่อนจะกลับสำนักศึกษาจะไปหาเจ้าที่เมืองหลวงก่อน”
สือเจียชุนยิ้มกล่าว “นับว่ายังพอมีจิตสำนึกอยู่บ้าง”
หลินโส่วอีกับต่งสุ่ยจิ่งนั่งอยู่ตรงข้ามกัน อันที่จริงความสัมพันธ์ของคนทั้งสองไม่เลวมาโดยตลอด ก็แค่ชอบงัดข้อกันเอง สือเจียชุนรู้สึกว่าน่าสนุก เหตุผลก็ง่ายมาก เพราะพวกเขาต่างก็ชอบพี่สาวของหลี่ไหวกันทั้งคู่
สือเจียชุนกลับไม่ได้รู้สึกว่าการที่หลินโส่วอีมีชาติกำเนิดดีกว่า อีกทั้งยังเป็นบัณฑิต แล้วหลี่หลิ่วจะต้องชอบหลินโส่วอี
สือเจียชุนรู้สึกว่าหลี่หลิ่วที่มักจะไปรับน้องชายตอนเลิกเรียนที่โรงเรียนเป็นประจำผู้นั้นให้ความรู้สึกแปลกๆ แต่ก็บอกไม่ถูกว่าแปลกตรงไหน ตามหลักแล้วปีนั้นหลี่หลิ่วอายุมากกว่า เป็นเด็กสาวแล้ว ไม่ว่าเห็นใครก็ล้วนมีท่าทีอบอุ่นอ่อนโยน เมื่อเทียบกับจื้อกุยที่อยู่ข้างกายซ่งจี๋ซินของตรอกหนีผิง คนทั้งสองก็มีนิสัยแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แต่ต่างก็ถือเป็นตัวอ่อนของสาวงาม ทว่าสือเจียชุนกลับรู้สึกว่าหากต้องอยู่ร่วมกันจริงๆ สาวใช้จื้อกุยที่ไม่เคยยิ้มให้ใครอาจจะคบค้าสมาคมได้ไม่ยากเหมือนกับหลี่หลิ่ว
เปียนเหวินเม่ายังต้องไปร่วมงานเลี้ยงกับสหายที่เขตการปกครอง เพียงแต่ว่านานๆ ทีภรรยาจะออกจากเมืองหลวงกลับมายังบ้านเกิด อีกทั้งยังได้มาเจอกับเพื่อนวัยเด็ก ทั่นฮวาหลางท่านนี้จึงพยามยามอดทนข่มกลั้น ไม่เผยความรู้สึกออกมาทางสีหน้าแม้แต่น้อย
สือเจียชุนเป็นคนเข้าอกเข้าใจผู้อื่นเป็นอย่างดี อยู่ที่ร้านยาสุ้ยประมาณครึ่งชั่วยามกว่าๆ ก็ลุกขึ้นจากไป ไปยังเขตการปกครอง เพราะรถม้าของเพื่อนสามีมาจอดรออยู่ที่ตรอกฉีหลง
พวกหลี่ไหวพากันเดินมาส่งนางที่หน้าประตูร้าน พอดีกับที่อวี๋ลู่และเซี่ยเซี่ยเองก็ออกจากสำนักศึกษาหลินลู่ลงเขามาที่ตรอกฉีหลงพอดี ทุกคนจึงคิดว่าจะไปที่ภูเขาลั่วพั่วด้วยกัน
ก่อนหน้านี้หลี่ไหวไปมาก่อนแล้วคนเดียว พอกลับไปถึงสำนักศึกษาบนภูเขาพีอวิ๋นก็พร่ำบ่นอยู่ตลอดเวลาว่า พ่ายแพ้อย่างน่าเสียดาย พ่ายแพ้อย่างน่าเสียดาย
เปียนเหวินเม่าไม่ได้เก็บมาใส่ใจเท่าใดนัก เขาเอ่ยลากับทุกคนอย่างมีมารยาท ประคองภรรยาขึ้นรถม้า สุดท้ายก็กุมมือคารวะบอกลา
มองส่งรถม้าที่จากไปไกล ทุกคนก็กลับไปคุยกันในเรือนหลังต่อ หลี่ไหวเอาสองมือรองสอดไว้ใต้ท้ายทอย “เปียนเหวินเม่าผู้นี้ในใจวางมาดใหญ่โตไม่น้อยเลย”
หลินโส่วอีกล่าวอย่างเฉยเมย “สือเจียชุนหาสามี เปียนเหวินเม่าชอบนางจากใจจริงก็พอแล้ว สือเจียชุนไม่ได้หาเพื่อนมาให้คุยกับพวกเราเสียหน่อย”
ต่งสุ่ยจิ่งพยักหน้าเห็นด้วย
หลี่ไหวเบ้ปาก “ข้าแค่รู้สึกว่าสือเจียชุนหาได้ดียิ่งกว่านี้”
หลินโส่วอีส่ายหน้า “ไม่มีเหตุผลให้อธิบาย”
หลี่ไหวพลันรู้สึกเป็นกังวล “หลี่เป่าผิงไปท่องยุทธภพคนเดียวจะไม่เป็นไรแน่หรือ? นางไม่ใช่ผู้ฝึกตนนะ”
หลินโส่วอีครุ่นคิด แต่ก็ไม่ยอมเปิดเผยความลับนั้น
อวี๋ลู่กับเซี่ยเซี่ยเองก็รู้สึกไม่ต่างกัน
คนเดียวที่ถูกปิดหูปิดตา คาดว่าก็คงมีแค่หลี่ไหวที่ขอแค่ออกจากบ้าน จะโชคดีหรือไม่ก็ต้องดูแค่ว่าบนพื้นมีขี้หมาหรือไม่แล้ว
ก่อนจะไปเยือนภูเขาลั่วพั่ว หลินโส่วอีบอกให้พวกหลี่ไหวรอสักครู่ เขาไปที่บ้านบรรพบุรุษ เก็บกวาดลานบ้านและศาลบรรพชน บัณฑิตหนุ่มท่องคำสั่งสอนประจำตระกูลอยู่เพียงลำพัง
สุดท้ายจุดธูปสามดอก พึมพำว่า “ขอบคุณนักปราชญ์ผู้ล่วงลับ”
หลี่ไหวใจร้อน จึงบอกว่าเขาจะไปรอที่ภูเขาเจินจูก่อน
พอไปถึงภูเขาลูกเล็กที่ห่างจากบ้านบรรพบุรุษของตัวเองไปไม่ไกล เผยเฉียนกับโจวหมี่ลี่ก็มารออยู่ที่นั่นนานแล้ว
เผยเฉียนเอ่ย “ขุนพลผู้พ่ายศึก!”
หลี่ไหวรีบเอ่ยทันที “แม้จะแพ้แต่ก็แพ้อย่างสมเกียรติ ไม่กล้าพูดจาห้าวเหิม!”
เผยเฉียนพยักหน้ารับ มีคุณธรรม
เผยเฉียนถาม “ลูกสมุนสองคนของสาขาย่อยพวกเราล่ะ?”
หลี่ไหวกล่าวอย่างละอายใจ “เจ้าสองคนนั้นเขียนบทความออกนอกเรื่อง เลยถูกอาจารย์ด่าจนเละ เวลานี้ต้องกำลังนั่งกัดพู่กันอยู่เป็นแน่”
เผยเฉียนส่ายหน้า จากนั้นก็ชี้ไปยังหมี่ลี่น้อยที่อยู่ข้างกายตัวเอง “วันหน้าโจวหมี่ลี่ก็คือรองเจ้าสาขาของสาขาย่อยพวกเราแล้ว”
โจวหมี่ลี่อึ้งตะลึงอยู่ที่เดิม ความน่ายินดีหล่นลงมาจากฟ้า! ตอนนี้ตนมียศตำแหน่งเยอะยิ่งนัก!
หลี่ไหวยินดีอย่างมาก
สาขาย่อยที่เดิมทีก็มีคนอยู่แค่สามคน ตอนนี้ในที่สุดก็พอจะมีความหมายของคำว่ากองกำลังอันแข็งแกร่งบ้างแล้ว
จากนั้นทุกคนก็พากันเดินขบวนไปยังภูเขาลั่วพั่ว
พอไปถึงบนภูเขา อวี๋ลู่ก็หยุดอยู่ตรงประตูภูเขา บอกว่าจะขึ้นเขาไปช้าหน่อย จะไปคุยเล่นกับหยวนไหลที่อ่านหนังสือพลางเฝ้าประตูไปด้วยก่อน
เซี่ยเซี่ยเองก็ออกไปเดินเล่นเพียงลำพัง นางไปเจอกับเฉินยวนจีที่ฝึกหมัดท่าเดินนิ่ง รวมไปถึงเด็กสาวหยวนเป่าที่ฝึกยืนนิ่งอยู่ข้างกายตรงศาลเทพภูเขาบนยอดเขาโดยบังเอิญ
สีหน้าของเซี่ยเซี่ยเลื่อนลอยไปเล็กน้อย
เหมือนมองเห็นตัวเองในช่วงเวลาอดีตที่ฝึกตนอยู่บนภูเขาอย่างไร้ทุกข์ไร้กังวล
หลังจากนั้นเมื่อได้รับคำอนุญาตจากพ่อครัวเฒ่าและเว่ยป้อ เผยเฉียนก็พาหมี่ลี่น้อยไปเยือนพื้นที่มงคลรากบัว เดินไปบนเส้นทางที่เคยเดินในอดีต ขึ้นเขาลงห้วยไปถึงเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยน
ตอนที่เดินผ่านตรอกจ้วงหยวนก็เข้าไปจุดธูปในวัดแห่งนั้น จากนั้นก็ไปนั่งเหม่ออยู่ในระเบียงทางเดิน
ถึงอย่างไรโจวหมี่ลี่ก็มาเป็นเพื่อนเผยเฉียนอยู่แล้ว ยามที่เผยเฉียนอารมณ์ดี หมี่ลี่น้อยก็จะพูดมากหน่อย ยามที่เผยเฉียนอารมณ์ไม่ดี นางก็จะเงียบงันตามไปด้วย
สุดท้ายเผยเฉียนไปเยือนเรือนพักส่วนตัวหลังหนึ่ง นางแอบจ่ายเงินซื้อเอาไว้ อันที่จริงพ่อครัวเฒ่าก็รู้ เพียงแค่หลับตาข้างหนึ่งลืมตาข้างหนึ่งไม่ได้ควบคุมนางก็เท่านั้น
สถานที่แห่งนั้นคือเรือนอันเงียบสงบที่ในอดีตมารร้ายติงอิงพายาเอ๋อร์และโจวซื่อหนุ่มปักบุปผาของตำหนักคลื่นวสันต์ไปพักค้างแรมอยู่ที่นั่น
เผยเฉียนนั่งขัดสมาธิ ม้วนชายแขนเสื้อขึ้นเลียนแบบอาจารย์ แล้วเริ่มหลับตาทำสมาธิ หล่อเลี้ยงบำรุงปณิธานหมัด
การที่นางมาที่นี่ก็เพื่อจะฝ่าด่านบนวิถีวรยุทธ
โชคชะตาบู๊ของพื้นที่มงคลรากบัว นางเผยเฉียนต้องการอาศัยความสามารถของตัวเองช่วงชิงมาได้มากเท่าไรก็เท่านั้น
อีกทั้งถึงเวลานั้นเว่ยป้อจะเปิดประตูใหญ่ของพื้นที่มงคล เมื่อได้รับโชคชะตาบู๊มาจากใต้หล้าไพศาล เผยเฉียนเองก็จะเลียนแบบอาจารย์ ต่อยพวกมันให้แหลกสลายทั้งหมด ให้พวกมันกลับมาหล่อเลี้ยงพื้นที่มงคลรากบัว
หลิวสวินเหม่ย ข้างกายมีองค์รักษ์สองคน เฉาจวิ้นและเว่ยเซี่ยน
เว่ยเซี่ยนติดตามตัวอ่อนเซียนกระบี่ที่บ้านบรรพบุรุษอยู่ในตรอกหนีผิงอย่างเฉาจวิ้นมาอยู่ข้างกายหลิวสวินเหม่ยที่ไม่เหมือนลูกหลานชนชั้นสูงแม้แต่น้อยผู้นี้ ชีวิตก็นับว่าเจริญรุ่งเรืองอยู่ไม่น้อย
เว่ยเซี่ยนอาศัยตัวตนของผู้ฝึกตนติดตามกองทัพ ใช้คุณความชอบทางการสู้รบครั้งหนึ่งแลกมาด้วยตำแหน่งขุนนางฝ่ายบู๊ ตอนนี้ในมือได้กุมอำนาจที่แท้จริง เขากับเฉาจวิ้นจึงเป็นแขนซ้ายแขนขวาให้กับหลิวสวินเหม่ย
เล่าลือกันว่าขนาดเฉาผิงทูตผู้ตรวจการท่านที่สองของต้าหลีก็ยังประทับใจในตัวเว่ยเซี่ยน
ส่วนเฉาจวิ้นนั้นก็ยิ่งมีชื่อเสียงเลื่องลือในกองทัพต้าหลี
คนทั้งสามผลัดกันแนะนำตัว
อันที่จริงกวนอี้หรานกับหลิวสวินเหม่ยเป็นเพื่อนรักที่สนิทสนมกันมาก
ดังนั้นคนที่ต้องทำความรู้จักจริงๆ จึงมีเพียงหลิ่วชิงเฟิงที่จู่ๆ ก็โผล่มาเท่านั้น
จากนั้นห่างไปไม่ไกลก็มีเด็กหนุ่มชุดขาวคนหนึ่งเดินมา เขาขี่อยู่บนหลังเด็กชายคนหนึ่ง ในมือถือกิ่งไม้ ปากร้องย๊าๆๆ เหมือนกำลังควบม้า
พอขยับเข้ามาใกล้ทุกคน เด็กหนุ่มคนนั้นก็พูดกลั้วหัวเราะเสียงดังว่า “ข้ามีลาน้อยตัวหนึ่ง ไม่เคยร้องบ่นว่าหิวเลยสักครั้ง!”
……
นครลมเย็น สตรีชุดแดงเดินจูงม้าออกนอกเมือง ท่ามกลางสีของยามราตรี นางเดินเข้าไปในหุบเขาที่ห่างจากชานเมืองไปสามสิบลี้
เวลานี้เป็นช่วงที่อากาศหนาวจัด ทว่าตลอดทางกลับมีดอกท้อบานสะพรั่ง
หลี่เป่าผิงจูงม้าเดินไปอย่างเนิบช้า คอยกวาดตามองไปรอบด้าน ทัศนียภาพช่างชวนให้คนสบายตาสบายใจ
รอบทิศคือขุนเขาเขียว เมฆขาวผุดลอยขึ้นมาจากภูเขาไม่หยุด
ห่างไปข้างหน้าอีกนิดก็คือสถานที่ที่เป็นเป้าหมายในการเดินทางมาเยือนนครลมเย็นของนางในครั้งนี้แล้ว คือกระท่อมหลังหนึ่งที่นอกราวรั้วคือธารน้ำใสกระจ่าง
หลี่เป่าผิงเงยหน้ามองท้องฟ้า ถาดหยกกลมโตห้อยแขวนอยู่กลางม่านฟ้าสูง นั่นคงถือเป็นขนมไหว้พระจันทร์ชิ้นที่ใหญ่ที่สุดเลยกระมัง
พอคิดถึงเรื่องนี้ หลี่เป่าผิงก็พลันหัวเราะ
ดูเหมือนว่าตนกลับคืนไปเป็นแม่นางน้อยที่เดินผ่านขุนเขาเขียวสายน้ำใสร่วมกับอาจารย์อาน้อยในปีนั้นอีกครั้งหนึ่งแล้ว ในหัวถึงได้มีแต่ความคิดพวกนี้
เพียงแต่ว่าเวลานั้นตนยังสะพายหีบไม้ไผ่ใบเล็ก สวมรองเท้าสานคู่เล็ก
แม่นางน้อยสวมชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงชอบที่จะวิ่งวนพันแข้งพันขาอาจารย์อาน้อยของนาง ต่อให้ขุนเขาจะสูง หนทางจะยาวไกลแค่ไหน ก็ไม่เคยกลัว
หลี่เป่าผิงก้มหน้าลงมองดาบแคบสีขาวหิมะและน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ที่ห้อยไว้ตรงเอว
นางยืนอยู่ที่เดิม
คนหันหน้าเข้าหาดอกท้อ ยืนอยู่ท่ามกลางแสงจันทร์
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!