หลี่เป่าผิงรีบเป่าลมใส่มันแล้วใช้ฝ่ามือเช็ด ก็ยังไม่มีความเคลื่อนไหวอยู่ดี
ช่างเถิด
หลี่เป่าผิงคิดว่าจะคีบเอายันต์หลายๆ แผ่นออกมาจากชายแขนเสื้อ ล้วนเป็นยันต์ที่เขียนตัวอักษรซึ่งคัดลอกมาจากตำราต่างๆ เป็นตัวอักษรประเภทที่นางค่อนข้างถูกชะตาด้วย
นางไม่โทษพี่ใหญ่หลี่ซีเซิ่ง แต่กลับรู้สึกตำหนิอาจารย์อาน้อยนิดๆ ว่าทำไมถึงไม่อยู่ข้างกายนาง
หลี่เป่าผิงแอบยู่จมูก
ช่างเถิดๆ ยังจะทำอย่างไรได้อีก พรุ่งนี้ค่อยไม่ชอบอาจารย์น้อยอีกต่อไปก็แล้วกัน
กู้ช่านไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ
ไม่ใช่ว่าไม่อยากขัดขวาง แต่เป็นเพราะขวางไปก็ไร้ความหมาย
ขอบเขตของทั้งสองฝ่ายต่างกันมากเกินไป
ในใจของกู้ช่านรู้สึกเคียดแค้นอย่างหนัก
เจ้าหลิ่วชื่อเฉิงที่นิสัยยากจะคาดเดาผู้นี้ ในอนาคตต้องตายด้วยน้ำมือของตนอย่างแน่นอน
ดังนั้นกู้ช่านจึงเอ่ยเสียงในใจกับหลี่เป่าผิงทันที “หลี่เป่าผิง ข้าคือกู้ช่านแห่งตรอกหนีผิง เจ้าอย่าวู่วาม มีชีวิตรอดให้ได้ก่อน”
หลี่เป่าผิงส่ายหน้า “ไม่อยากตาย แต่จะไม่ยอมมีชีวิตอยู่อย่างไร้ค่าไปวันๆ แน่นอน”
จากนั้นนางก็ยิ้มกล่าว “จะไม่ยอมให้คนอื่นที่หวังดีทำผิดพลาดได้บ้างเลยหรือ? แล้วนับประสาอะไรกับที่ไม่ได้เกี่ยวพันกับความเป็นความตายใหญ่หลวง กู้ช่าน ข้าต้องขอบคุณเจ้า เจ้าจงมีชีวิตอยู่ให้ดีๆ จำเอาไว้ว่าบอกกับอาจารย์อาน้อยด้วยว่าข้าคิดถึงเขามาก”
หลิ่วชื่อเฉิงชำเลืองตามองกระดาษในมือของนาง ตัวอักษรบนนั้นกำลังเคลื่อนไหว!
หลิ่วชื่อเฉิงขมวดคิ้วแน่น สีหน้าก็เปลี่ยนมาเป็นเคร่งเครียด
หากเกี่ยวข้องกับสำนักศึกษาหรือสถานศึกษาจะค่อนข้างเป็นปัญหายุ่งยาก
เพราะถึงอย่างไรตลอดทั้งใต้หล้าไพศาลก็เป็นสถานที่สำหรับการศึกษาหาความรู้ของบัณฑิต
ทางฝั่งของป่าดอกท้อ เดิมทีพอเห็นภาพที่หลี่เป่าผิงสะบัดยันต์ไม้ท้ออย่างแรง บุรุษสวมชุดลัทธิขงจื๊อยังกลั้นยิ้มขำได้อยู่
นานๆ ทีจะได้เห็นเป่าผิงน้อยมีท่าทางแง่งอนน่ารักแบบนี้
แต่เวลานี้เขาสูดลมหายใจเข้าลึก ก้าวเดินออกไปหนึ่งก้าว ไปหยุดยืนอยู่ข้างกายหลี่เป่าผิง เงยหน้ามองกายธรรมร่างทองและนักพรตชุดสีชมพู
หลี่เป่าผิงกล่าวอย่างตกตะลึงระคนยินดี “พี่ชาย?!”
หลี่ซีเซิ่งพยักหน้าให้ ก่อนจะหันมายิ้มเอ่ยว่า “พี่ชายของเจ้ากำลังโมโห ไม่อยากพูดอะไรมาก”
หลี่เป่าผิงหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “พี่ชายของข้าก็โกรธเป็นด้วยหรือ?”
หลี่ซีเซิ่งพยักหน้าพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ
ลางสังหรณ์บอกกับหลิ่วชื่อเฉิงว่า เรื่องนี้ท่าจะไม่ค่อยดีเท่าไรแล้ว
เพียงแต่มองดูแล้วบัณฑิตสวมชุดลัทธิขงจื๊อที่อายุยังน้อยผู้นั้นก็น่าจะขอบเขตไม่สูงนี่นา แล้วก็ไม่เหมือนว่าจะร่ายเวทอำพรางตาอะไรไว้ด้วย ไม่มีทางเป็นขอบเขตเซียนเหรินได้แน่ ส่วนขอบเขตบินทะยาน…สมองของหลิ่วชื่อเฉิงไม่ได้มีปัญหาสักหน่อย
หลังออกมาจากนครจักรพรรดิขาว พันปีที่ผ่านมาเคยเจอกับความทุกข์ยากใหญ่หลวงอยู่สองครั้ง ครั้งหนึ่งถูกเทียนซือใหญ่สยบกำราบกับมือตัวเอง แน่นอนว่าไม่จำเป็นต้องให้ท่านผู้นั้นเรียกตราประทับอาคมหรือออกกระบี่ แค่ร่ายเวทคาถาเท่านั้นเอง
การที่เทียนซือใหญ่ของภูเขามังกรพยัคฆ์ลงมือด้วยตัวเองก็หนีไม่พ้นว่าได้แสดงท่าทีกับนครจักรพรรดิขาวแล้วว่า ไม่ให้ศิษย์พี่ท่านนั้นของหลิ่วชื่อเฉิงยื่นมือเข้าแทรก
ครั้งที่สองอยู่ในวัดเล็กเก่าโทรม อยู่ดีๆ ก็โดนหนึ่งกระบี่ เป็นแค่กระบี่ไม้ธรรมดาเล่มหนึ่งเท่านั้น แต่กลับทำลายค่ายกลคุ้มกันกายของหลิ่วชื่อเฉิงได้อย่างง่ายดาย
ทันใดนั้น
ลางสังหรณ์ในใจของหลิ่วชื่อเฉิงก็ได้รับการพิสูจน์ว่าถูกต้อง
แม่น้ำแห่งกาลเวลาหยุดนิ่งไม่เคลื่อนหน้า
นอกจากฟ้าดินขนาดเล็กของตนแล้วยังปรากฏฟ้าดินอีกแห่งหนึ่งที่ใหญ่ยิ่งกว่า
หลี่เป่าผิง เว่ยเปิ่นหยวน กายธรรมร่างทอง กู้ช่านที่อยู่บนยอดเขาล้วนหยุดนิ่ง แม้แต่ความคิดก็ขยับไม่ได้
มีเพียงหลิ่วชื่อเฉิงที่อีกฝ่ายจงใจละเว้นเท่านั้น
สรรพสิ่งที่เคลื่อนไหวได้ล้วนอยู่ในครรลองจักษุ ฟ้าสูงเพียงนั้น แผ่นดินราบเรียบเพียงนั้น แต่ราวกับว่ามองเห็นได้ไกลเป็นพันเป็นหมื่นลี้
หลิ่วชื่อเฉิงเจ็บปวดจนพูดไม่ออก
ดูท่าแล้วคงไม่มีทางสู้อีกฝ่ายได้เลย
นี่มันคนอำมหิตที่ไร้เหตุผลชัดๆ
“ผู้ฝึกตน ออกมาอยู่ข้างนอกก็ยังต้องยึดหลักเคารพฟ้าดิน มีจิตสำนึกมโนธรรมกันบ้าง”
หลี่ซีเซิ่งเดินมาข้างหน้าอย่างเนิบช้า เขาเอ่ยว่า “เอาล่ะ นี่คือคำพูดในฐานะของบัณฑิต”
หลิ่วชื่อเฉิงยิ้มกล่าว “ก็ได้ๆ พวกเรามาพูดคุยกันด้วยเหตุผลดีๆ ข้าคนนี้ชอบฟังเหตุผลของบัณฑิตมากที่สุดเลยล่ะ”
หลี่ซีเซิ่งเอ่ย “ต่อจากนี้ข้าจะใช้ฐานะพี่ใหญ่ของเป่าผิงน้อยมาพูดเหตุผลกับเจ้า”
หลิ่วชื่อเฉิงหมายจะออกห่างจากพื้นที่แห่งนี้ หวังใช้ฟ้าดินขนาดเล็กพุ่งชนฟ้าดินขนาดใหญ่เพื่อจะหลบหนีไป
ส่วนขอบเขตหรือหน้าตาของผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนอะไรนั่น หล่นลงบนพื้นไปแล้ว จะเก็บหรือไม่เก็บเอามาก็ไม่สำคัญแล้ว
ระหว่างฟ้าดินพลันปรากฏกายธรรมของนักพรตวัยกลางคนผู้หนึ่ง
หลิ่วชื่อเฉิงเข่าอ่อนทันใด ก้นที่เพิ่งยกขึ้นร่วงแปะกลับไปอีกครั้ง
แต่กระนั้นก็ยังพยายามสะกดกลั้นจิตแห่งเต๋าที่แทบจะแหลกสลายคาที่เอาไว้ ลุกขึ้นยืนอย่างโงนเงน ก้มกราบเอาหัวแนบพื้น ไม่เอ่ยคำใด
หลี่ซีเซิ่งถาม “หากคารวะขออภัยมีประโยชน์ แล้วกฎเกณฑ์ของมหามรรคาจะมีไว้ทำอะไร?!”
นักพรตวัยกลางคนที่ร่างสูงใหญ่ราวขุนเขายกแขนข้างหนึ่งขึ้นแล้วเงื้อฝ่ามือฟาดตบลงไป
ตบให้ทั้งหลิ่วชื่อเฉิงและกายธรรมของผู้ฝึกตนก่อกำเนิดกระแทกอัดกับพื้นดิน
ไม่มีการร่ายวิชาอาคมใดๆ ยิ่งไม่มีสมบัติอาคมของตระกูลเซียน
ร่างกายธรรมของนักพรตผู้นั้นเพียงแค่ฟาดฝ่ามือลงมา
หลิ่วชื่อเฉิงนอนอยู่ในหลุมใหญ่ ในใจมีเพียงความคิดเดียว บัณฑิตของแจกันสมบัติทวีปอย่างพวกเจ้าอย่าเป็นแบบนี้กันได้ไหม
หลังจากเก็บกายธรรมมาแล้ว หลี่ซีเซิ่งก็เดินมาที่หลุมใหญ่ หลุบตาลงต่ำมองนักพรตชุดคลุมสีชมพูที่ลมหายใจรวยริน นับนิ้วคำนวณแล้วพูดกลั้วหัวเราะเสียงเย็นชา “กลับไปนครจักรพรรดิขาวก็บอกกับศิษย์พี่ของเจ้าด้วยว่า ข้าจะไปเล่นหมากล้อมกับเขา”
หมื่นความคิดของหลิ่วชื่อเฉิงแหลกสลายไปสิ้น
ศิษย์พี่เคยยิ้มเอ่ยกับเขาเป็นการส่วนตัวว่า บนวิถีของวิชาหมากล้อม คนที่สามารถทำให้นครจักรพรรดิขาวมิอาจแขวนป้าย ‘ถ่อมตนยอมถอยแด่ใต้หล้า’ ได้อีกต่อไป ชุยฉานมีโอกาส แต่โอกาสเลือนราง คนผู้นั้นไม่ได้อยู่ในใต้หล้าไพศาล แต่อยู่ที่ป๋ายอวี้จิงของใต้หล้ามืดสลัว
คือศิษย์พี่ใหญ่ของเต๋าเหล่าเอ้อร์และลู่เฉินเจ้าลัทธิสาม
ศิษย์คนแรกของมรรคาจารย์เต๋า ช่วงแรกเริ่มสุดก็เป็นคนผู้นี้ที่รับลู่เฉินเป็นศิษย์แทนอาจารย์
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!