กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 659

บุรุษชุดขาวยิ้มเอ่ย “ไม่ต้องคิดมาก เขาเคยชินที่จะมาเที่ยวเล่นในโลกมนุษย์แล้วก็เท่านั้น ในอดีตพอสำรวมตนขึ้นมาหน่อยก็เปลี่ยนไปกลายเป็นคนละคนอย่างสิ้นเชิง เชี่ยวชาญการรังแกตัวเอง ไม่ชอบรังแกคนอื่น ตายอยู่ท่ามกลางหายนะบนภูเขาล่างภูเขามาหลายต่อหลายครั้ง แต่ก็ไม่เห็นว่าเขาจะลงมือปกป้องตัวเองเลยสักครั้ง เก้าทวีปของใต้หล้าไพศาล ทุกทวีปล้วนต้องอยู่อาศัยหลายร้อยปี นอกจากนี้ถึงแม้ว่าข้าจะเป็นลูกศิษย์ในนามของเขา แต่นครจักรพรรดิขาวกลับเป็นข้าที่สร้างขึ้นด้วยตัวเอง ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขาเลย”

กู้ช่านพลันเอ่ยขึ้นว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าก็ไม่ต้องไปเยือนภูเขาหวงหูแล้ว อย่าไปรบกวนการฝึกตนอย่างสงบของผู้อาวุโสจะดีกว่า แค่ติดตามเจ้านครไปที่ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางก็พอ”

บุรุษชุดขาวยิ้มกล่าว “สามารถพูดเช่นนี้ได้ นั่นก็ควรจะไปพบเขาสักครั้งจริงๆ”

กู้ช่านถาม “คนสามคนในห้องจะจัดการอย่างไร?”

สาวใช้สองคน คนเฝ้าประตูหนึ่งคน คนทั้งสามต่างนั่งนิ่งไม่ขยับ

บุรุษชุดขาวมองคนทั้งสามแล้วยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งออกมา ทั้งสามคนซึ่งแม้แต่ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวคนนั้นต่างก็ถูกบีบให้จิตหยินออกมาอยู่นอกกาย แต่ละคนท่าทางมึนงง สีหน้าอึ้งค้าง สองเท้าลอยไม่ติดพื้น ค่อยๆ ลอยไปหยุดอยู่เบื้องหน้าบุรุษชุดขาว เขายื่นมือชี้ไปตรงหว่าคิ้วของคนทั้งสามง่ายๆ อยู่สองที จิตหยินทั้งสามก็ทยอยกันกลับเข้าร่าง กู้ช่านเพ่งสายตามองไป พบว่าเริ่มมีเส้นยาวแผ่ลามออกมาจากตรงหว่างคิ้วของคนทั้งสาม

จากนั้นคนทั้งสามก็พลัน ‘ฟื้นตื่น’ คนเฝ้าประตูที่เป็นผู้ฝึกยุทธเต็มตัวน้ำตาเอ่อคลอ คุกเข่าไม่ยอมลุกขึ้น “นายน้อย!”

สาวใช้คนหนึ่งโขกหัวคำนับอย่างแรง “บ่าวคารวะท่านเจ้าสำนัก!”

ส่วนสาวใช้อีกคนก็นั่งหมอบกราบ พูดด้วยน้ำเสียงร้าวรานปานจะขาดใจ “นายท่านโปรดให้อภัยด้วย”

บุรุษชุดขาวสะบัดปลายแขนเสื้อ คนทั้งสามก็หมดสติไปทันที เขายิ้มอธิบายว่า “ราวกับว่านอนหลับไปนาน ยามที่สะดุ้งตื่นจากฝัน คนยังคงเป็นคนเดิม ก็แค่ว่าประสบการณ์ในชีวิตทั้งลดน้อยลงและเพิ่มขึ้นไปในคราวเดียวกัน”

หน้าผากกู้ช่านมีเหงื่อผุดซึม

นี่ก็คือฝีมือวิถีมารของนครจักรพรรดิขาว!

จนกระทั่งบัดนี้เขาถึงเพิ่งเข้าใจว่าเหตุใดทุกครั้งที่หลิ่วชื่อเฉิงเอ่ยถึงคนผู้นี้ถึงได้มีความเคารพยำเกรงขนาดนั้น

อีกฝ่ายลงมือง่ายๆ ก็สามารถทำให้คนคนหนึ่งไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไป อีกทั้งยังเชื่อมั่นอย่างไม่สงสัยว่าตัวเองยังคงเป็นตัวเอง

ถ้าอย่างนั้นบุญคุณความแค้นทั้งหมด การฝึกตนบนมหามรรคาทั้งหมดจะนับเป็นอะไรได้?

บุรุษชุดขาวยิ้มเอ่ย “เรื่องความเป็นความตายเป็นเรื่องใหญ่ที่สุด? ถ้าอย่างนั้นอะไรคือเป็นตายกันแน่? แล้วก็เพราะข้าเข้าใจเรื่องนี้ ใครบางคนจึงไม่ค่อยอยากให้ข้าออกมาจากนครจักรพรรดิขาว”

สุดท้ายเขาเอ่ยว่า “ตาเฒ่าคนนั้นมาที่ถ้ำสวรรค์หลีจู แต่กลับไม่ใช่เพื่อสะบั้นเวรกรรมให้ขาดอย่างสิ้นเชิง แค่มาเดินเล่นเท่านั้นหรือ? ในที่สุดอาจารย์ก็พอจะมีมาดของอาจารย์บ้างแล้ว ในที่สุดก็ทำให้ข้าประหลาดใจได้สักครั้ง”

ทางฝั่งของกระท่อมบนภูเขาหวงหู

ระหว่างหยุดพักจากการฝึกตน นักพรตเฒ่าตาบอดเดินออกมาจากกระท่อม แล้วก็ต้องทอดถอนใจไม่หยุด หลังจากเฉินหลิงจวินพี่น้องคนดีออกเดินทางไกล ก็ไม่มีใครมาคุยโม้เป็นเพื่อนตนอีก ชีวิตช่างเงียบเหงาจริงๆ

คำว่าตั้งใจฝึกตน อันที่จริงก็แค่ข้ออ้างในการย้ายบ้านเท่านั้น ไม่ต้องคอยอุดอู้อยู่แต่ในร้านเฉ่าโถวของตรอกฉีหลง จะดีจะชั่วก็อยู่ใกล้กับภูเขาลั่วพั่วหน่อย วันหน้าค่อยกลับไปที่ตรอกฉีหลง การมาการกลับเช่นนี้ สถานะของผู้ถวายงานที่ได้รับการบันทึกชื่อของตนก็จะยิ่งมั่นคงมากขึ้น วันหน้าเวลาเถ้าแก่ร้านยาสุ้ยร้านข้างๆ ที่เป็นเพื่อนร่วมงานพบเจอตน แล้วยังจะกล้าทำสีหน้าไม่พอใจใส่ตนอีกไหม? ก็ยังต้องด้อยกว่าตนระดับหนึ่งไม่ใช่หรือ?

เจี่ยเฉิงพลันรู้สึกตกตะลึงระคนหวาดหวั่น

เบื้องหน้ามีริ้วคลื่นที่กระเพื่อมอย่างบางเบา คล้ายมีคนมาเยือนถึงบ้าน

เจี่ยเฉิงรีบแข็งใจตะโกนเสียงดังทันที “แขกทั้งสองท่านมาโดยไม่ได้รับเชิญ มาเยือนแล้วก็ไม่เอ่ยทักทาย แบบนี้ไม่ค่อยเหมาะเท่าไรเลยนะ”

หลิ่วชื่อเฉิงถลึงตาจนตาเกือบถลนออกจากเบ้า

บางครั้งการมองคน ไม่ว่าจะเป็นเนื้อหนังมังสา จิตวิญญาณ หรือภาพบรรยากาศโดยรอบอะไร ล้วนสามารถปิดบังหูตาคนได้ เป็นเหตุให้แม้แต่คนที่อยู่ใกล้ในระยะประชิดก็ยังจำไม่ได้

มีเพียงรายละเอียดบางอย่างเท่านั้นที่ขอแค่สืบสาวให้ลึกลงไปก็จะเห็นร่องรอยได้อย่างชัดเจน ยกตัวอย่างเช่นท่ายืน ระดับการงอนิ้วขณะทำมุทราของนักพรตตาบอดคนนี้ เป็นต้น

นอกจากนี้บวกกับการที่ศิษย์พี่ใหญ่ไม่บอกต้นสายปลายเหตุก็โยนตนกับกู้ช่านมาไว้ที่นี่ หลิ่วชื่อเฉิงจึงคิดถึง ‘หนึ่งในหมื่น’ ที่เป็นไปไม่ได้มากที่สุดนั่นทันที เขารีบหมอบกราบลงกับพื้น พูดเสียงสั่นว่า “ศิษย์คารวะท่านอาจารย์!”

เจี่ยเฉิงรู้สึกใจคอไม่ดี ลูกศิษย์อะไรนี่โผล่มาจากไหนกัน?

ศีรษะของหลิ่วชื่อเฉิงแนบติดพื้น กล่าวด้วยน้ำเสียงน้อยเนื้อต่ำใจอย่างถึงที่สุด “อาจารย์ ศิษย์พี่ใหญ่รังแกข้าอย่างน่าสังเวชนัก ก่อนหน้านี้เป็นเพราะเรื่องเล็กๆ เรื่องเดียวก็ถึงกับขับไล่ข้าออกจากนครจักรพรรดิขาว แล้วยังมองเฉยดูข้าถูกเซียนซือใหญ่ของภูเขามังกรพยัคฆ์ถือกระบี่ไล่ฆ่า เป็นเหตุให้ลูกศิษย์ที่น่าสงสารเช่นข้าถูกกักขังอยู่ในแจกันสมบัติทวีปเล็กๆ ไม่มีใครสนใจใยดีนานเป็นพันปี ศิษย์พี่ไม่เห็นแก่มิตรภาพของพี่น้องร่วมสำนักเลยแม้แต่น้อย อาจารย์ท่านต้องทวงความยุติธรรมให้ข้านะขอรับ…”

ไม่ใช่ว่าหลิ่วชื่อเฉิงพูดเหลวไหลจริงๆ แต่ไหนแต่ไรมาอาจารย์ก็รักและเอ็นดูลูกศิษย์คนสุดท้ายอย่างเขามาโดยตลอด และความเป็นศัตรูในส่วนลึกของหัวใจที่ศิษย์พี่ชายหญิงหลายคนมีต่อตนก็ล้วนมาจากสาเหตุนี้

นักพรตเฒ่าเกือบจะกระทืบเท้าด่ามารดา นครจักรพรรดิขาวอะไรกัน เทียนซือใหญ่แห่งภูเขามังกรพยัคฆ์อะไรกัน ใต้หล้านี้มีคนบนเส้นทางเดียวกันที่หลอกคนอื่นแบบเจ้าด้วยหรือ? ถ้อยคำที่หลอกคนอื่นไม่น่าเชื่อถือเช่นนี้ หากข้าเจี่ยเฉิงเป็นอาจารย์ของเจ้าจริง คงตาบอดถึงได้รับเจ้าเป็นลูกศิษย์…เจี่ยเฉิงพลันอึ้งตะลึง ข้าผู้เป็นนักพรตก็ตาบอดจริงๆ นี่นะ

กู้ช่านรู้สึกนับถือหนังหน้าของหลิ่วชื่อเฉิงผู้นี้ไม่น้อย หากเจอกับยอดฝีมือเข้าจริงๆ ก็ยกเอาศิษย์พี่ที่เป็นเจ้านครจักรพรรดิขาวมาพูด แต่พอเจอกับศิษย์พี่ใหญ่เข้าจริงๆ เวลานี้กลับยกเอาอาจารย์มาพูดงั้นหรือ?

กู้ช่านยก ‘ภาพค้นภูเขา’ ที่อยู่ในมือขึ้น เอ่ยเสียงทุ้มหนัก “ผู้อาวุโส ได้เวลาที่ของต้องกลับคืนสู่เจ้าของแล้ว”

เจี่ยเฉิงลืมตาขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ พอเห็นม้วนภาพนั้นก็ทอดถอนใจเอ่ยว่า “รับลูกศิษย์ใหญ่แบบนี้มา เพราะไม่ได้เปิดดูปฏิทินเหลืองจริงๆ”

จากนั้นเจี่ยเฉิงก็อึ้งตะลึง ก่อนจะส่ายหัวเบาๆ นี่มันความคิดประหลาดอะไรกัน? นักพรตเฒ่ากะพริบตาแรงๆ ฟ้าดินใสสว่างแจ่มกระจ่าง หมื่นสรรพสิ่งล้วนอยู่ในสายตา ปีนั้นฝึกวิชาอสนีประหลาดของภูเขาบ้านตัวเอง เพราะเป็นวิชานอกรีต ค่าตอบแทนที่ต้องจ่ายจึงมหาศาล อันดับแรกก็เป็นอวัยวะภายในที่เสียหาย ตามมาด้วยตาบอด ไม่เห็นอะไรมานานหลายปีแล้ว

หลังจากความเลื่อนลอยผ่านไป นักพรตเฒ่าเจี่ยเฉิงก็ถอยร่น ดวงจิตรวมตัวกันเป็นดั่งเมล็ดงาที่จมเข้าสู่สภาวะของการหลับไหล ใครอีกคนเข้ามายึดครองสติปัญญาแทน

ผู้เฒ่าก้มหน้าลง ขยับชุดเต๋าที่อยู่บนร่างของตัวเอง จากนั้นก็หันหน้าไปมองซุ้มมหาบัณฑิตของอำเภอไหวหวง ครั้นจึงขยับสายตาไปมองภูเขาเจินจูและเตาเผามังกรทั้งหมด สีหน้าของผู้เฒ่าซับซ้อน เขายังคงไม่สนใจหลิ่วชื่อเฉิง แล้วก็ไม่มองกู้ช่าน เริ่มจมเข้าสู่ภวังค์ความคิด

ผู้เฒ่าแบฝ่ามือออก เพ่งมองเส้นลายมืออยู่ชั่วครู่ สุดท้ายพึมพำว่า “ชีวิตนี้ฝันเล็ก เมื่อสะดุ้งตื่นขึ้นมา การเก็บตัวสันโดษก็ถ่วงเวลาข้าไปมากนัก”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!