ชายฉกรรจ์แบมือสองข้าง หงายฝ่ามือขึ้นด้านบนแล้วโบกเบาๆ สองที
กลับมาพบกันอีกครั้งหลังจากกันไปนาน ท่านี้เป็นการบอกเป็นนัยแก่คนบ้านเดียวกันที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหล่าแม่นางคนดีที่อาลัยอาวรณ์ตนว่าให้ช่วยกันแสดงท่าทีหน่อย
บนหัวกำแพงเมืองของกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่เดิมทีตกสู่สภาวะเงียบงันพลันดังระงมไปด้วยเสียงเป่าปาก เสียงโห่ร้อง
ลู่จือเซียนกระบี่ใหญ่หญิงหลุบตาลงต่ำ คร้านจะมองบุรุษผู้นั้น นางไม่มองเขาสักครั้งจริงๆ
บุรุษที่หันหลังให้กำแพงเมืองพยักหน้า พอใจมาก ตนยังคงเป็นที่นิยมถึงเพียงนี้
นอกสนามรบ ต่อให้เป็นเด็กน้อยข้างทาง เวลาเจอกับชายฉกรรจ์ที่เป็นผีขี้เหล้านักพนันบวกกับชายโสดก็ยังเรียกอีกฝ่ายว่าอาเหลียงชาติสุนัข
บนสนามรบ บุรุษคนนั้นคืออาเหลียง แค่อาเหลียงเท่านั้น
อาเหลียงเคลื่อนเส้นสายตาชำเลืองมองกระโจมทัพที่กระจายอยู่ตามจุดต่างๆ แล้วเอ่ยเสียงก้องกังวาน “ไม่ต้องลังเล เอาคนที่สู้เป็นออกมาสักสองสามคน!”
ชายฉกรรจ์เคราดกคนหนึ่งหมุนตัวกลับมาจ้องไอ้หมอนั่นเขม็ง พูดเสียงทุ้มหนัก “ข้าเอง”
อาเหลียงไม่ได้หันหน้ากลับไปมองหลิวชาที่ไปยืนอยูด้านข้างแม่น้ำยาวสีทองเพียงลำพัง ในอดีตพวกเขาถูกชะตากันมาก ทั้งสองฝ่ายเป็นทั้งมิตรทั้งศัตรู อาเหลียงหันตัวกลับมาช้าๆ ถูมือยิ้มกล่าว “พี่น้องคนดีมาปรึกษากันหน่อยไหม? เอาคนที่สู้ไม่ค่อยเป็นสักเท่าไรมาก่อน ช่วยให้ข้าอุ่นมือเสียหน่อย? ยอดฝีมืออย่างเจ้า ข้าคงเอาชนะได้แค่ไม่กี่คนหรอก”
หลิวชาที่สะพายกระบี่พกดาบพูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “รอเจ้ามานานแล้ว เหตุใดถึงยังหากระบี่เหมาะมือสักเล่มไม่เจออีกเล่า?”
ฝ่ามือสองข้างของอาเหลียงประกบติดกัน บิดหมุนข้อมือเบาๆ ในเมื่อแค่ลงสนามรบก็เจอกับศัตรูที่แข็งแกร่งเลย ถ้าอย่างนั้นตนก็คงต้องอุ่นมือไปเองก่อนแล้วกัน
หลิวชาใช้นิ้วโป้งดันด้ามดาบแล้วผลักออกเบาๆ ชั่วพริบตานั้นหลิวชาก็พลันข้ามผ่านแม่น้ำยาวสีทองมาหยุดอยู่ตรงหน้าอาเหลียง เงื้อดาบฟันฉับลงมา
บนสนามรบต่อจากนั้นมิอาจมองเห็นเงาร่างของคนทั้งสองได้อีก เห็นเพียงริ้วคลื่นกระเพื่อมอันน่าตะลึงพรึงเพริดเป็นวงๆ ราวกับโยนภูเขาใส่ในทะเลสาบ ริ้วคลื่นแต่ละชั้นพลันซัดกระจายออกไปรอบด้านในเสี้ยววินาที เหมือนเรือกระบี่ของสำนักโม่ที่พร้อมใจกันสาดยิงกระบี่เล็กจิ๋วออกไปจำนวนนับไม่ถ้วน
นับตั้งแต่ที่อาเหลียงร่วงลงมาจากฟ้า กองทัพใหญ่เผ่าปีศาจในรัศมีร้อยลี้ที่ยังไม่ตายต่างก็รีบพากันถอยร่นหลบฉาก ขุนนางผู้ตรวจตราการศึกของกระโจมทัพใหญ่แต่ละแห่งล้วนไม่ได้ห้ามปราม
บนพื้นดินปรากฏหลุมลึกหลายหลุมที่แต่ละแห่งอยู่ห่างกันซึ่งมาพร้อมกับเสียงอสนีบาตดังกัมปนาท
หลังจากที่หลุมทุกแห่งเว้าลงกะทันหัน รอบด้านก็ไม่มีพลังชีวิตใดๆ เหลืออยู่อีก ไม่ว่าจะเป็นเรือนกายหรือจิตวิญญาณของผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจ อาวุธสมบัติหนักบนภูเขาที่พอหล่นลงพื้นก็สลายเป็นผุยผงรวมเป็นหนึ่งกับดินทราย สุดท้ายล้วนถูกปกคลุมอยู่ในปราณกระบี่ที่รวมตัวกันไม่จางหาย ประหนึ่งค่ายกลกระบี่ตามธรรมชาติที่อยู่ดีๆ ก็ก่อตัวขึ้นมาหลายแห่ง ปราณกระบี่เยียบเย็นน่าสะพรึงกลัวบดขยี้สังหารหมื่นสรรพสิ่ง
ล้วนเกิดจากปราณกระบี่ที่หลงเหลืออยู่หลังจากผู้ฝึกกระบี่สองคนประมือกันในเสี้ยววินาที
ผู้ฝึกกระบี่ที่ต่างคนก็ต่างยืนอยู่บนยอดสูงสุดของวิถีกระบี่ในหนึ่งใต้หล้าต่อสู้กันจนฟ้าดินเกิดภาพเหตุการณ์ผิดธรรมชาติ
กระโจมทัพบางแห่งใกล้กับสนามรบที่คนทั้งสองต่อสู้กันถูกเส้นยาวเส้นหนึ่งกรีดผ่าออก ผู้ฝึกตนหลายคนที่หลบไม่ทันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองตายได้อย่างไร
หลิวชามายืนอยู่บนยอดกระโจมทัพแห่งหนึ่งที่ถูกฟันออกเป็นสองซีก กระโจมทัพใต้ฝ่าเท้าไม่ได้พังครืนลง ทว่าผู้ฝึกตนในกระโจมกลับแตกฮือเหมือนฝูงนกแตกรังไปนานแล้ว
ห่างไปหลายลี้ อาเหลียงหยุดยืนนิ่ง ยื่นมือออกมาคว้าจับกระบี่บินของผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งมาไว้ในฝ่ามือ เขากำกระชับมันไว้ในมือแน่น จากนั้นก็ใช้สองนิ้วดันปลายแหลมของกระบี่และด้ามกระบี่ เพิ่มน้ำหนักเล็กน้อย กดให้กระบี่โค้งงอจนเกินความเป็นจริง
กระบี่บินเล่มนี้เล็กบางเหมือนขนวัว ประเด็นสำคัญคือสามารถหลบซ่อนตัวตนพุ่งทะยานอยู่ในแม่น้ำกาลเวลาสายยาว ดูท่าแล้วน่าจะเป็นของเซียนกระบี่ที่ถนัดการลอบฆ่าอย่างถึงที่สุด
ชั่วเวลาเพียงเสี้ยวประกายไฟแลบ กระบี่บินกลับถูกสองนิ้วของอาเหลียงกดจนโค้งงอเหมือนพระจันทร์เต็มดวง แต่ถึงอย่างไรกระบี่บินเล่มนี้ก็ไม่ใช่ธนูคันใหญ่ ในขณะที่กำลังจะขาดผึงนั้น ห่างไปไกลมีเสียงร้องอึกอักที่ยากจะจับสังเกตได้ เจ้าของกระบี่บินจ่ายค่าตอบแทนมหาศาลใช้วิชาลับบางอย่างฝืนบังคับดึงเอากระบี่บินแห่งชะตาชีวิตออกไปจากพันธนาการสองนิ้วของอาเหลียง จากนั้นก็หลบหนีไปในเสี้ยววินาที โจมตีครั้งหนึ่งไม่สำเร็จจึงเตรียมจะเผ่นหนีออกจากสนามรบ คิดไม่ถึงว่าระหว่างที่หลบหนี บุรุษผู้นั้นกลับมาปรากฏตัวที่ด้านหลังของเขา ยื่นมือมากดศีรษะของเขา ปราณกระบี่เหมือนน้ำที่ราดรดหัว อาเหลียงกระชากมือมาด้านหลัง ทำให้เรือนกายของอีกฝ่ายผงะหงาย อาเหลียงก้มหน้าลงมองใบหน้าของศพเซียนกระบี่ผู้นั้น “ข้าก็ว่าแล้วว่าต้องไม่ใช่เจ้าตะพาบน้อยโซ่วเฉินนั่น ขอแค่บนสนามรบมีข้าอยู่ ชั่วชีวิตนี้เขาก็ไม่มีความกล้าจะออกกระบี่หรอก”
ศพนั้นถูกอาเหลียงผลักออกเบาๆ จึงลอยไปกระแทกลงพื้นห่างไปหลายสิบจั้ง
อีกทิศทางหนึ่ง บนพื้นดินพลันมีเสาลำแสงสีขาวหิมะที่บินทะยานขึ้นอย่างฉับพลัน จิตวิญญาณของเซียนกระบี่เผ่าปีศาจที่สละเนื้อหนังมังสาทิ้งได้ใช้ดวงจิตห่อหุ้มทั้งโอสถทองและก่อกำเนิดเอาไว้อย่างแน่นหนา พอถูกเสาลำแสงที่มีปณิธานกระบี่มากมายหาที่สิ้นสุดไม่ได้ซัดผ่านก็ไม่ทิ้งร่องรอยใดๆ เอาไว้ได้อีก
ระหว่างที่หยุดพักในช่วงระยะเวลาสั้นๆ นี้ อาเหลียงกวาดตามองรอบด้าน เห็นเพียงเมฆหมอกขาวโพลน เห็นได้ชัดว่าตนเข้ามาอยู่ในฟ้าดินเล็กของปีศาจใหญ่บางตนแล้ว
“ลูกไม้เล็กๆ คิดว่าจะขู่ข้าได้หรือ? เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าขี้ขลาด? ก็จริงนะ ข้าคือคนที่เห็นสตรีก็หน้าแดงแล้ว” อาเหลียงเป่าลมใส่มือถูเข้าหากันเพื่อหาความอบอุ่น หมอกขาวที่มีเขาเป็นจุดศูนย์กลางพากันถอยร่นออกไปด้วยตัวเอง
บนสนามรบที่ฟ้าดินมีเพียงสีขาวและสีดำปรากฏเรือนกายแท้จริงที่ใหญ่โตมโหฬารของปีศาจใหญ่ตนหนึ่ง เป็นผู้พิชิตเฝ้าพิทักษ์ฟ้าดินแห่งนี้ กำลังหลุบตาลงต่ำมองมือกระบี่ตัวเล็กจ้อยที่ร่างเล็กเหมือนจุดดำจุดหนึ่ง
อาเหลียงเงยหน้าขึ้นแล้วก็ต้องอึ้งตะลึงไป ตัวใหญ่ไม่เบาเลยนี่นา
เขาจึงถามคำถามหนึ่งที่จริงใจอย่างมาก “ข้าไม่รู้จักเจ้าด้วยซ้ำ เจ้ากล้ามาได้อย่างไร?”
เหตุผลนั้นเรียบง่ายมาก นอกจากพวกคนที่มีบัลลังก์อยู่ในบ่อโบราณตำหนักอิงหลิงพวกนั้นแล้ว เผ่าปีศาจคนอื่นๆ ล้วนไม่เคยทักทาย ไม่เคยประมือกับเขาอาเหลียงมาก่อน ถ้าอย่างนั้นอยู่ในใต้หล้าเปลี่ยวร้างก็ไม่มีคุณสมบัติให้เรียกว่าปีศาจใหญ่แล้ว ในเมื่อไม่ได้เป็นแม้แต่ปีศาจใหญ่ อยู่ในสายตาของเขาอาเหลียงจะ ‘น่ามอง’ ด้วยหรือ?
ปีศาจใหญ่เรือนกายมหึมาที่อาเหลียงแน่ใจว่า ‘ไม่รู้จักชื่อ’ ตนนั้นกำลังจะร่ายวิชาอภินิหารแห่งฟ้าดิน พยายามบดขยี้อาเหลียงที่มีชื่อเสียงเลื่องลือในใต้หล้าเปลี่ยวร้างมาเนิ่นนานผู้นั้น
คิดไม่ถึงว่านับตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าของร่างจริงเผ่าปีศาจจะปรากฏเส้นตรงสีขาวเส้นหนึ่ง ราวกับว่าถูกคนใช้กระบี่ยาวฟันออกเป็นสองท่อน
ถึงอย่างไรก็อยู่ในฟ้าดินขนาดเล็กของผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจขอบเขตเซียนเหรินตนนี้ แม้ว่ารากฐานมหามรรคาจะเสียหายไปในเสี้ยววินาที แต่คิดจะเปลี่ยนสนามรบกลับไม่ยาก เพียงแต่ว่าร่างจริงเพิ่งจะหยุดยั้งพลังอำนาจจากปณิธานกระบี่เชี่ยวกรากที่มาจากแสงยาวเส้นนั้นเอาไว้ได้อย่างถูไถแล้วมาโผล่ตรงริมขอบของฟ้าดินเล็ก พยายามจะทิ้งระยะห่างจากอาเหลียงผู้นั้นให้ไกลที่สุด แต่ไม่ว่าอย่างไรมันก็คิดไม่ถึงว่าตลอดทั้งฟ้าดิน ไม่เพียงแต่บนเส้นอาณาเขตของฟ้าดินเท่านั้น แม้แต่ด้านนอกฟ้าดินเล็กก็ยังมีเส้นแสงจำนวนมากนับพันเส้นพุ่งทะลุทะลวงฟ้าดิน ราวกับว่าฟ้าดินเล็กของเขาได้กลายไปเป็นฟ้าดินเล็กของคนผู้นั้นแล้ว
กลายเป็นป่ากระบี่ที่กระบี่หมื่นเล่มเสียบปักอยู่เต็มพื้น
สุดท้ายปีศาจใหญ่ที่ถูกแสงกระบี่หลายสิบเส้นหมายหัวร่างจริง อย่าว่าแต่ขยับเรือนกายเลย กระทั่งความคิดเล็กๆ น้อยๆ ที่เกิดขึ้นก็นำมาซึ่งความเจ็บปวดทรมาน มันค้นพบด้วยความตะลึงพรึงเพริดว่าอยู่ในฟ้าดินเล็กของตนกลับต้องตกอยู่ในสภาพอันน่าเวทนาที่ไม่มีที่ให้มันหลบหนีได้เลย
อาเหลียงไม่ได้สนใจปีศาจใหญ่ขอบเขตเซียนเหรินตนนี้แม้แต่น้อย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!