กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 668

บนสนามประลองยุทธ พวกเด็กๆ นอนหมอบอยู่บนพื้นอย่างคุ้นเคยกันอีกครั้ง แต่ละคนหน้าเขียวจมูกบวม การขัดเกลาเส้นเอ็นและกระดูกซึ่งเป็นช่วงต้นของการเรียนวรยุทธไม่มีทางสบายได้แน่นอน เสวยสุขในตอนที่สมควรเจอกับความยากลำบาก ยามที่ต้องเสวยสุขก็ควรต้องเจอกับความยากลำบากแล้ว

ในเมื่อเกิดมาในกำแพงเมืองปราณกระบี่ เข้ามาอยู่ในคฤหาสน์หลบหนาวแห่งนี้ ก็ควรจะปรับตัวให้ชินกับการเผชิญความยากลำบาก เรียนรู้จนเกิดเป็นทักษะติดตัว

ไม่ใช่ว่าความยากลำบากทุกเรื่องในใต้หล้าจะนำมาซึ่งความหวานหอมเสมอไป จิตแห่งบู๊ของผู้ฝึกยุทธเต็มตัวจะมีรสชาติได้อย่างแท้จริงก็ต่อเมื่อเผชิญความขมขื่นมาก่อนเท่านั้น

ใต้เท้าอิ่นกวานที่สวมชุดคลุมตัวยาวสีเขียวยังคงมีสีหน้าผ่อนคลายดังเดิม “พักสองก้านธูป”

เฉินผิงอันนั่งขัดสมาธิ วางมือทั้งสองทับซ้อนกัน ฝ่ามือหงายขึ้น เริ่มหลับตาพักจิตใจ เด็กทุกคนดิ้นรนลุกขึ้นยืนแล้วนั่งล้อมเป็นวง ท่านั่งของทุกคนเหมือนอิ่นกวานหนุ่มอย่างไม่มีผิดเพี้ยน หลับตาลงปรับลมหายใจช้าๆ

เฉินผิงอันลืมตาขึ้นแล้ววิจารณ์การออกหมัดของทุกคน พูดหมดทั้งข้อดีและข้อเสีย ไม่คิดจะโปรดปรานเจียงอวิ๋นเป็นพิเศษเพราะเขามาจากตระกูลสูงศักดิ์บนถนนไท่เซี่ยง มีฐานกระดูกในการเรียนวรยุทธหนักที่สุด หมัดไหนปล่อยออกมาเหยาะแหยะก็ด่าหมด แล้วก็ไม่คิดจะเย็นชาเฉยเมยใส่จางผานเด็กจากตรอกถงเฉียนที่เกิดมาก็มีเรือนกายอ่อนแอที่สุด เรียนวิชาหมัดได้ช้าที่สุด หมัดไหนต่อยได้ดีก็เอ่ยชื่นชม ยิ่งไม่คิดจะจงใจลดแรงยามออกหมัดเพียงแค่เพราะซุนฉวีและเด็กชายตัวปลอมที่มาจากถนนอวี้ฮู่คือแม่นางน้อย

สรุปก็คือเฉินผิงอันต้องการให้เด็กๆ ทุกคนจำหลักการหนึ่งให้ขึ้นใจ อยู่ต่อหน้าหมัด ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวต้องเป็นศัตรูกับตัวเองก่อน

เรียนวิชาหมัดต้องเรียนรู้การเป็นคนให้ได้ก่อน ผู้ที่ถ่ายทอดวิชาความรู้ ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีศักดิ์เป็นอาจารย์ ก็ต้องสอนการเป็นคนก่อน สอนการเป็นคนไม่ใช่แค่เอาแต่พล่ามหลักการเลื่อนลอย ต่อให้เป็นครูในโรงเรียนหมู่บ้านชนบท แต่หากเจอคนรวยแล้วก้มหัวค้อมเอวยิ้มประจบ เจอเด็กที่ยากจนกลับตีหน้าเย็นชา หัวเราะเย้ยหยันใส่ พวกเด็กๆ ที่มองเห็นย่อมจดจำไว้ในใจ สุดท้ายก็เท่ากับทำลายคำสั่งสอนของอริยะปราชญ์บนหน้าหนังสือที่มีนับร้อยนับพันประโยค

ในหนังสือนอกหนังสือล้วนมีหลักการเหตุผล ทุกคนล้วนเป็นอาจารย์ของผู้อื่นได้

เฉินผิงอันไม่เอ่ยอะไรอีก

ตามกฎที่ตั้งไว้ ตอนนี้ก็ถึงเวลาที่พวกเด็กๆ จะถามคำถามแล้ว

สวี่กงเด็กจากตรอกมู่เหมิงถามขึ้นมาก่อนว่า “อาจารย์เฉิน เดินหมัดเป็นเส้นเดียวต้องเร็วที่สุดอย่างแน่นอน หากจะบอกว่าฝึกเดินนิ่งยืนนิ่งก็เพื่อให้เส้นเอ็นและกระดูกยืดหยุ่นแข็งแกร่ง ช่วยหล่อหลอมเรือนกาย แต่เหตุใดถึงยังต้องมีกระบวนท่าหมัดมากมายขนาดนั้นด้วยล่ะ?”

เฉินผิงอันยกมือข้างหนึ่งขึ้น ปล่อยหมัดออกไปฉับพลัน แล้วก็พลันหยุดนิ่งอยู่กลางอากาศ “สวี่กง ความหมายของเจ้าก็คือเดินหมัดเป็นแนวเส้นตรงจะสามารถสัมผัสศัตรูได้เร็วที่สุด ใช่หรือไม่?”

สวี่กงเริ่มสงสัยตัวเองขึ้นมานิดๆ แล้ว

เจียงอวิ๋นหัวเราะร่า “หมัดเดียวก็ล้มคว่ำ”

ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ ใครกันที่ไม่รู้ว่าอิ่นกวานหนุ่ม ‘รักหยกถนอมบุปผา’ เป็นที่สุด ไม่อย่างนั้นจะมีฉายาหมัดเดียวก็ล้มคว่ำเถ้าแก่รองได้หรือ?

ส่วนข้อที่ว่าเหตุใดหลิวป๋ายแห่งใต้หล้าเปลี่ยวร้างถึงเป็นบุปผาที่ถูกขยี้อย่างอำมหิต แน่นอนว่าต้องเป็นเพราะผู้ฝึกกระบี่หญิงคนนั้นไม่งดงามเท่าอวี้เจวี้ยนฟู

แต่จู่ๆ เจียงอวิ๋นก็นึกถึงภาพที่อวี้เจวี้ยนฟูถูกกดหัวเข้ากับกำแพงขึ้นมา แล้วเขาก็ทอดถอนใจหนึ่งที รู้สึกว่าบางทีตนอาจจะใส่ร้ายเถ้าแก่รองเข้าให้แล้ว

สวี่กงมีสีหน้าตื่นตระหนก เขาไม่ได้หมายความเช่นนี้เสียหน่อย ให้ตายก็ไม่กล้าไม่เคารพอาจารย์เฉิน ไม่กล้า แล้วก็ไม่ยินดีด้วย

ในสายตาของสวี่กง ภาพลักษณ์ของอาจารย์เฉินไม่ต่างจากเทพองค์หนึ่ง ไม่เคยมีตำหนิหรือข้อบกพร่องใดๆ เด็กชายเคยคุยเล่นกับสหายสนิทสองคนเป็นการส่วนตัว ในถ้อยคำที่พูดถึงเฉินผิงอันล้วนมีแต่ความเคารพเลื่อมใส ดังนั้นก่อนหน้านี้ตอนที่กวอจู๋จิ่วเป็นนักเล่านิทาน ก็มีพวกเขาสามคนนี่แหละที่เชื่ออย่างไม่คลางแคลงใจมากที่สุด

สวี่กงที่มีชาติกำเนิดจากตรอกมู่เหมิงรู้ดีว่าตนไม่ใช่ลูกหลานตระกูลใหญ่อย่างพวกเจียงอวิ๋น ในเมื่อไม่มีพรสวรรค์และชาติกำเนิดอย่างเจียงอวิ๋น ดังนั้นเขากับสหายอย่างจางผาน ถังชวี่สามคนจึงมักจะแอบมาฝึกยืนนิ่งเดินนิ่งตอนกลางคืนกันบ่อยๆ และส่วนใหญ่ก็มักจะมาเจอกับเด็กชายตัวปลอมอย่างหยวนจ้าวฮว่าเสมอ เพียงแต่ว่าอะไรที่มากเกินไปก็ไม่ดี เด็กๆ พวกนี้เอาแต่ตรากตรำฝึกฝนจนเกือบจะทำร้ายร่างกายและพลังชีวิตตัวเอง

เฉินผิงอันค้างอยู่ในท่าปล่อยหมัดตลอดเวลา เขายกมือซ้ายขึ้นมาเพิ่ม ใช้แขนขวาที่กำเป็นหมัดแทนเส้นทางสายหนึ่ง แล้วเริ่มใช้มือซ้ายชี้ไปโดยมีจุดเริ่มต้นจากหมัดขวา ขยับมาที่ข้อมือ แขนช่วงล่าง หัวไหล่ ไปจนถึงกระดูกสันหลัง บั้นเอว ระหว่างที่ชี้ก็บอกชื่อช่องโพรงแต่ละแห่งไปด้วย อธิบายถึง ‘เส้นทาง’ การโคจรของลมปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์ยามที่ปล่อยหมัดนี้ออกไปเป็นเส้นตรงอย่างละเอียด เส้นเอ็นทุกเส้น กระดูกทุกชิ้น การเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ ของกล้ามเนื้อทุกก้อน ล้วนบอกเล่าให้พวกเด็กๆ ฟังทั้งหมดไม่มีปล่อยผ่าน ระหว่างนี้ก็คอยกำมือแบมือ แยกเอาแต่ละกระบวนท่าซึ่งมีท่าศอกกระทุ้ง ศอกงัด ชนบ่าเป็นหนึ่งในนั้นออกมาอธิบายทีละท่า บอกเล่าถึงความมหัศจรรย์ของพวกมัน ควรจะออกแรงอย่างไร ทำไมต้องออกแรง เป็นการอธิบายอย่างละเอียดที่แม้ความหมายจะลึกซึ้งแต่ใช้คำพูดที่เข้าใจง่าย

เฉินผิงอันเก็บหมัดมาแล้วก็เอาสองมือค้ำยันไว้บนหัวเข่า ยิ้มเอ่ย “ดังนั้นถึงได้บอกว่า กระบวนท่าหมัดอยู่เบื้องล่าง ปณิธานหมัดอยู่ตรงกลาง วิชาหมัดอยู่บนฟ้า”

เจียงอวิ๋นขมวดคิ้ว ไม่เอ่ยขัดคออย่างที่หาได้ยาก “กระบวนท่าหมัดอยู่ลำดับล่างสุดรึ? แต่ข้ารู้สึกว่าโครงหมัดล้วนมาจากกระบวนท่าหมัดนะ ต้องสำคัญมากสิ”

เฉินผิงอันคลี่ยิ้ม ยกหมัดขึ้น บิดหมุนข้อมือเปลี่ยนหมัดเป็นฝ่ามือ ฝ่ามืออยู่ห่างพื้นมาแค่ชุ่นกว่า แต่เพียงชั่วพริบตาก็ตบลงบนพื้นของสนามประลองยุทธอย่างรวดเร็ว

แผ่นดินสั่นสะเทือน ร่างของเด็กทุกคนเด้งขึ้นลอยสูงจากพื้นแทบจะเวลาเดียวกัน ทว่าระดับความสูงกลับต่างกันไป แต่ละคนร่างเอียงกะเท่เร่

จากนั้นก็คล้ายจะถูกสยบเอาไว้จึงร่วงตึงลงบนพื้น แต่ละคนหายใจไม่คล่องคอ รู้สึกเพียงว่าหายใจไม่ออก กระดูกสันหลังเริ่มงองุ้ม ไม่ว่าใครก็ไม่อาจยืดเอวตั้งตรงได้

“กระบวนท่าหมัดอยู่ด้านล่าง หากพูดถึงแค่ตำแหน่ง ลำดับขั้นตอนบางอย่างก็ไม่ได้บอกว่าไม่สำคัญ ตรงกันข้ามกันเลยด้วยซ้ำ วิชาหมัดทุกอย่างล้วนเริ่มมาจากจุดต่ำ โครงหมัดแต่ละชั้นทับซ้อนจนสูง สุดท้ายถึงได้ทำให้วิชาหมัดของพวกเราสูงส่งอยู่บนฟ้า”

เฉินผิงอันเก็บปณิธานวิชาหมัดที่แท้จริงไร้รูปลักษณ์นั้นกลับมา เด็กทุกคนรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอกทันใด เฉินผิงอันเอ่ยกับหยวนจ้าวฮว่าและจางผานว่า “เรียนวิชาหมัดต้องตั้งใจตลอดเวลา ระวังในทุกก้าวย่าง นี่ก็คือคำว่าอาจารย์พาเข้าประตู ลูกศิษย์ต้องคอยระวังที่กล่าวถึงในสัจธรรมหมัด หยวนจ้าวฮว่า จางผาน เมื่อครู่นี้พวกเจ้าสองคนทำได้ไม่เลว เห็นได้ชัดว่าตอนที่พักก็ตั้งใจฝึกท่ายืนนิ่งเช่นกัน แม้ว่าจะลอยพ้นจากพื้นมาไม่ต่ำ แต่ท่านั่งมั่นคงที่สุด ส่วนเจียงอวิ๋นที่แม้จะลอยพ้นเหนือพื้นมาต่ำสุด ทว่าท่านั่งกลับหละหลวม”

เจียงอวิ๋นกลอกตามองบน ข้าผู้อาวุโสเคยชินกับการพูดจาเหน็บแนมของใต้เท้าอิ่นกวานชาติสุนัขมานานแล้ว

จางผานที่นิสัยขี้อายมีสีหน้าตื่นเต้น

เด็กชายตัวปลอมมีสีหน้าแน่วแน่ เม้มปากแน่น หลังจากได้เรียนวิชาหมัด แม่นางน้อยก็เปลี่ยนไปเยอะมาก เมื่อหลายปีก่อนตอนอยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ ครั้งแรกที่นางได้พบกับเถ้าแก่รองซึ่งตอนนั้นยังไม่ได้เป็นอิ่นกวาน แม่นางน้อยที่เป็นหัวโจกของพวกเด็กๆ คนนี้ อันที่จริงนิสัยเปิดกว้างร่าเริงกว่านี้มาก

เฉินผิงอันกวาดตามองทุกคน ร่างโน้มเอียงไปด้านหน้าเล็กน้อย เอ่ยพูดเนิบช้ากับทุกคนว่า “เรื่องของการเรียนหมัด ไม่ได้เรียบง่ายเพียงแค่ออกหมัดอยู่บนลานฝึกยุทธเท่านั้น ลมหายใจ ฝีเท้า อาหารการกิน บางครั้งที่เห็นนกบิน แรกเริ่มพวกเจ้าอาจจะรู้สึกว่าเหนื่อยมาก แต่เมื่อเคยชินก็จะกลายเป็นธรรมชาติ ฟ้าดินเล็กในร่างกายมนุษย์มีสมบัติซุกซ่อนไว้นับไม่ถ้วน พวกมันล้วนเป็นของพวกเจ้า นอกจากวันใดจำเป็นต้องตัดสินเป็นตายกับคนอื่น ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีใครแย่งชิงไปได้”

เฉินผิงอันหรี่ตาลง “ถ้าอย่างนั้นปัญหาก็มาแล้ว เมื่อหมัดของพวกเจ้าสูงแล้ว หากต้องตัดสินใจออกหมัด ต้องแบ่งแพ้ชนะเป็นตายกับคนอื่นอย่างเปิดเผย ควรจะทำอย่างไร?”

เจียงอวิ๋นเอ่ยเสียงดัง “ต่อยหมัดเดียวให้มันล้มคว่ำไปเลย!”

เฉินผิงอันยิ้มบางๆ “เจ้ายังไม่แล้วไม่เลิกใช่ไหม?”

เจียงอวิ๋นยกสองแขนกอดอก พูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ใต้เท้าอิ่นกวาน ครั้งนี้ข้าไม่ได้พูดเล่นหรอกนะ ผู้ฝึกยุทธออกหมัดก็ต้องมีมาดที่ว่าข้าผู้อาวุโสคืออันดับหนึ่งในใต้หล้า ถึงอย่างไรขอบเขตวิถีวรยุทธที่ข้าแสวงหาก็คือหมัดของข้ายังไม่ทันออก คนที่เป็นศัตรูกับข้าก็ตกใจเกือบตายไปก่อนแล้ว”

เฉินผิงอันยิ้มพลางลุกขึ้นยืน “ได้สิ ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวข้าสอนเจ้าเอง ได้ยินเจ้าพูดแบบนี้ ทำให้ข้านึกถึงการถามหมัดครั้งหนึ่งขึ้นมาได้จริงๆ ตอนนั้นข้าใช้ขอบเขตหกรับมือกับขอบเขตสิบ ตอนนี้เจ้าก็ใช้ขอบเขตสามรับมือกับขอบเขตเจ็ดของข้า ห่างกันสี่ขอบเขตเหมือนกัน แล้วอย่าหาว่าข้ารังแกเจ้าล่ะ”

เจียงอวิ๋นลุกขึ้นยืนทันใด

เฉินผิงอันชี้นิ้วไปยังกำแพงแห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้กับลานประลองยุทธ “เจ้าไปรอที่มุมกำแพงตรงนั้นก่อน”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!