เฉินผิงอันกำลังจ้องมองด้านใต้ของแก้วกระเบื้องเทพบุปผาใบหนึ่ง ยิ้มเอ่ยว่า “เจ้ายั่วยุคนอื่นให้เต็มที่ไปเถอะ”
เด็กชายผมขาวหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง
เฉินผิงอันหันหน้ามามองแผ่นหลังของเด็กหนุ่มร่างกายสูงใหญ่ “เจ้าอยู่ในกฎเกณฑ์ เหตุใดถึงไม่กล้าออกกระบี่”
ตู้ซานอินหันหน้ามายิ้มกล่าว “ในสายตาของข้า พวกเราล้วนเป็นยอดฝีมือที่บรรลุมรรคา เล่นสนุกกับคนบนโลก ไม่ถือว่าเกินไปเลยสักนิด”
เฉินผิงอันเพียงยิ้มรับ แล้วก็มองประเมินแก้วกระเบื้องต่ออีกครั้ง กลอนบทนั้นเข้ากับบรรยากาศอย่างมาก เนื้อหาดีเยี่ยม เขาจึงยิ้มรับ
เด็กชายผมขาวถามว่า “ตู้ซานอิน ใต้เท้าสิงกวานได้กำชับเจ้าหรือไม่ว่า ในอนาคตหากฝึกเวทกระบี่สำเร็จแล้วมีโอกาสไปท่องเที่ยวใต้หล้าไพศาล จะต้องสังหารโจรเด็ดบุปผาบนภูเขาให้หมดสิ้น? เขาจะมอบสมบัติหนักตระกูลเซียนมากมายที่แม้แต่จะคิดเจ้าก็ยังไม่กล้าคิดให้เจ้าในรวดเดียวเลยหรือเปล่า? ยกตัวอย่างเช่นตำราเทพเซียนที่เขียนแค่สองคำว่าเทพเซียนไว้โดยเฉพาะ? เพียงแต่ว่าส่วนลึกในใจของเจ้ากลับเสียดายสตรีสองคนนั้น เสียดายที่เขาไม่ได้มอบพวกนางให้เจ้าด้วย ดังนั้นนี่จึงเป็นความไม่เพียงพอในความสมบูรณ์แบบ?”
“ไม่เป็นไร ท่านปู่อิ่นกวานของข้าไม่มีความคิดอะไรกับพวกนางพอดี ข้าจะช่วยเจ้าขอโชควาสนามาจากสิงกวานแล้วกัน ไม่ต้องขอบคุณข้า! เฮ้อ ช่างเถิด ข้าพูดแบบนี้ ความคิดที่เจ้ามีต่อพวกนางก็เบาบางลงแล้ว มักรู้สึกว่าพวกนางเป็นของที่ใต้เท้าอิ่นกวานทอดทิ้งเหมือนรองเท้าคู่เก่า ในใจของเจ้า พวกนางไม่มีมาดสง่างามของเทพเซียนอยู่เหมือนเดิมแล้ว ไม่อย่างนั้นเจ้าจะต้องต้อยต่ำกว่าท่านปู่อิ่นกวานของข้าหนึ่งขั้น ถูกหรือไม่? วางใจเถอะ นี่เป็นความรู้สึกปกติของคนทั่วไป ไม่จำเป็นต้องอับอาย ฝึกตนอยู่บนมหามรรคา คิดอยากจะปีนขึ้นสู่ที่สูงก็ควรจะเป็นอย่างเจ้า เห็นอะไรก็ฉกฉวย ไม่ชอบก็โยนทิ้ง รังเกียจก็ทิ้งขว้าง รักชอบก็ช่วงชิงมา…”
ในใจของตู้ซานอินขนลุกขนชัน สีหน้ายิ่งเปลี่ยนมาเป็นไม่น่ามองมากขึ้นเรื่อยๆ ทำได้เพียงเงียบงันเท่านั้น
เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ยังไม่พูดอะไร
มอบโชควาสนาให้มากเกินไป ไม่ยอมพิจารณาว่าจะรับไว้ได้อยู่หรือไม่ คนที่ให้ไม่คิด คนที่รับก็ไม่คิดเช่นกัน
เพียงแต่พอเฉินผิงอันมาลองคิดดูอีกครั้ง ไม่แน่ว่าสภาพจิตใจเช่นนี้ต่างหากถึงจะเป็นรากฐานมหามรรคาของตู้ซานอิน ใครบอกว่าความสูงต่ำในผลสำเร็จต้องดูแค่ที่ความคิดตื้นหรือลึกเท่านั้น
แล้วนับประสาอะไรกับที่อาเหลียงเองก็พูดถูก จะไปยุ่งทำไม จะไปสนทำไม ยุ่งได้หรือ สนได้หรือ
เด็กชายผมขาวรู้สึกฮึกเหิมอย่างยิ่ง ตนพร่ำพูดมานานขนาดนี้ สิงกวานในกระท่อมกลับไม่เอ่ยอะไรสักคำ เป็นนิมิตหมายที่ดี ไม่เสียแรงที่เป็นใต้เท้าสิงกวานผู้ไม่สนใจเรื่องใด เป็นคนสองประเภทที่แตกต่างจากท่านปู่อิ่นกวานอย่างสิ้นเชิง
เขาเดินมาหยุดอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน ชี้ไปยังโต๊ะหยกขาวตัวที่ตั้งอยู่นอกซุ้มองุ่น “ของดี น่าเสียดายที่ตำราเทพเซียนบนโต๊ะเล่มนั้นเป็นของตู้ซานอินไปแล้ว ในหนังสือฟูมฟักเจ้าตัวน้อยออกมาได้เป็นกอง ย่อมไม่ใช่สิ่งที่ปลามอดสามารถทัดเทียมได้ แต่ละตัวมีมูลค่าอย่างมาก”
เฉินผิงอันเดินออกจากซุ้มองุ่น มุ่งหน้าตรงไปที่โต๊ะหิน เอามือพลิกเปิดตำราอย่างไม่ใส่ใจ ในหนังสือล้วนเป็นสองคำว่าเทพเซียนที่รูปแบบตัวอักษรแตกต่างกันไป มีทั้งอักษรแบบหวัดและแบบบรรจง
เด็กชายผมขาวถามเบาๆ “ไม่บอกกล่าวตู้ซานอินสักคำก็เปิดตำรา ท่านปู่อิ่นกวาน นี่ไม่เหมือนนิสัยของท่านเลยนะ”
เฉินผิงอันแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน เพียงแค่เปิดตำรา ตามหาร่องรอยของปลามอดเหล่านั้น
ปลามอดที่อยู่ในหนังสือ ดูเหมือนว่าหลี่ไหวก็จะมีเหมือนกัน เพียงแต่ไม่รู้ว่าตอนนี้กลายเป็นภูตแล้วหรือยัง
เด็กชายผมขาวพึมพำ “ใต้เท้าอิ่นกวานต้องไม่ถึงขั้นถือสาเด็กปัญญาอ่อนคนหนึ่งแน่นอน สรุปแล้วเป็นเพราะอะไรกันแน่ หรือว่าสภาพจิตใจเปลี่ยนแปลงไปอีกแล้ว? หรือว่าจงใจจะข่มขู่ข้า หลอกเอากระบี่สั้นเล่มนั้นไปจากข้า?”
เฉินผิงอันพลิกเปิดหนังสือทั้งเล่มก็ยังไม่เจอ ‘เจ้าตัวเล็ก’ พวกนั้น จึงได้แต่ยอมเลิกราแต่โดยดี
บันทึกในตำราโบราณมีเรื่องเล่าของปลามอดกินตัวอักษรเทพเซียน
ปลามอดที่เข้าไปในตำรา กินอักษรเทพเซียนนานเข้า เรือนกายจะมีห้าสี หากคนกินเข้าไปจะเทียบเท่าเทพเซียน ต่อให้เป็นระดับขั้นต่ำสุดก็มีความคิดไหลพรั่งพรูดุจน้ำพุ ตวัดพู่กันเขียนบทความได้อย่างรื่นไหลดุจมีบุปผาผลิบาน
หนึ่งคือเรื่องเล่าที่นักประพันธ์พากันกล่าวขานถึง อีกหนึ่งกลับเป็นเรื่องที่ผู้ฝึกลมปราณบนภูเขาเล่ากันไปปากต่อปาก
เพียงแต่ว่าอักษรเทพเซียนที่เอ่ยถึงนี้ ต่อให้เป็นผู้ฝึกตนบนภูเขาก็ยังไม่เข้าใจความหมายที่ลึกซึ้งของมัน รู้แค่ว่าร่างก่อนหน้าของปลามอดคือปลาปี้อวี๋ จะถือกำเนิดแค่ในตระกูลของบัณฑิตเท่านั้น ชอบซ่อนตัวอยู่ในกระบอกเก็บพู่กัน แท่นฝนหมึกหรือไม่ก็ในเงาของโคมไฟ กลับเป็นนักประพันธ์ล่างภูเขาที่พูดจาน่าเชื่อถือ บอกว่าขอแค่เป็นตำราราคาแพงที่เขียนสองคำว่า ‘เทพเซียน’ เมื่อนำมาตัดให้ละเอียดแล้วใส่ไปในขวด ก็จะมีปลาปี้อวี๋แฝงตัวเข้าไป กินเศษกระดาษเหล่านั้น มีหวังที่จะกลายเป็นปลามอด
เด็กชายผมขาวตบโต๊ะหยกขาวดังป้าบ “ให้หน้าแต่ไม่ยอมไว้หน้ากันอย่างนั้นหือ? เชื่อหรือไม่ว่าหากข้าผู้อาวุโสเขียนคำว่าเหล้าลงบนหนังสือ ตะพาบน้อยอย่างพวกเจ้าก็ต้องเมาเหล้าตายแล้ว!”
เฉินผิงอันเพ่งสายตาจ้องมองไปก็เห็นว่าระหว่างตัวอักษรคำว่า ‘เทพเซียน’ ในสองบรรทัดบนหนังสือบางหน้ามีเจ้าตัวน้อยขนาดใหญ่เท่าเล็บมือปรากฎตัวขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ‘กระโดดข้ามกำแพง’ ออกมาจากหนังสือในหน้าที่แตกต่างกัน จากสูงลงต่ำ มานั่งคุกเข่าอย่างเซื่องซึมอยู่ระหว่างหน้าหนังสือ มองมายังเขากับเด็กชายผมขาวอย่างน่าสงสาร
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ยประโยคหนึ่งว่า ‘รบกวนแล้ว’ แล้วจากนั้นก็ปิดหน้าหนังสือลงเบาๆ
เด็กชายผมขาวนั่งคุกเข่าอยู่บนม้านั่งหิน ยื่นมือมาปิดหนังสือ เอ่ยอธิบายว่า “หลังจากปลามอดกลายเป็นเซียน เรื่องที่น่าสนุกที่สุดก็คือบนหนังสือเขียนอะไร พวกมันก็สามารถกินสิ่งนั้น และยังมีการเปลี่ยนแปลงอีกหลายชนิด ยกตัวอย่างเช่นบทกลอนที่เขียนเกี่ยวข้องกับสุรา พวกมันก็สามารถเมามายเดินโซเซได้จริงๆ หากเอ่ยถึงสาวงามอายุน้อยขึ้นมาก่อน แล้วค่อยเขียนถ้อยคำที่แสดงความโศกศัลย์ของเด็กสาว รูปร่างของพวกมันก็จะกลายเป็นภาพของสตรีในห้องหอที่กำลังพร่ำบ่นได้จริงๆ เพียงแต่ว่าไม่อาจดำรงอยู่ได้ยาวนาน เพียงไม่นานก็กลับคืนสู่รูปลักษณ์เดิม”
เด็กชายผมขาวพลิกเปิดหน้าหนังสืออย่างไม่ใส่ใจ สาเหตุอาจเป็นเพราะตัวเขาเองหน้าใหญ่ ทุกหน้าที่เปิดพวกคนจิ๋วตัวน้อยก็จะพากันวิ่งตะบึงมาถึง
เฉินผิงอันคิดแล้วก็ถามว่า “หากเขียนคำว่าฉี่ อึ และผายลมเล่า?”
พวกเด็กจิ๋วยืนอึ้งไร้คำพูด รู้สึกเพียงว่าชีวิตนี้ไม่มีอะไรให้อาลัยอาวรณ์อีกแล้ว ใต้หล้านี้มีคนที่สติวิปลาสแบบนี้ด้วยหรือ?
เด็กชายผมขาวยกนิ้วโป้ง พูดเสียงดังว่า “ใต้เท้าอิ่นกวานช่างมีความคิดบรรเจิด บนโลกนี้มีน้อยคนนัก! วันหน้าหากเจอบรรพจารย์ของสำนักประพันธ์ จะต้องพูดคุยกันถูกคอ เจ็บใจที่เจอกันช้าไปอย่างแน่นอน! วันหน้าติดตามท่านปู่อิ่นกวานไปที่ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง จะต้องไปเยือนพื้นที่มงคลกระดาษขาวแห่งนั้นให้จงได้!”
เฉินผิงอันนั่งอยู่บนม้านั่งหิน
เด็กชายผมขาวไม่สนใจจะดูหนังสือเล่มนั้นอีกแล้ว ชี้ไปยังลำธารที่แท้จริงแล้วเป็นน้ำที่ไร้ต้นกำเนิด “นี่คือไฟในน้ำที่พบเห็นได้ยากยิ่ง เหมือนน้ำแต่แท้จริงแล้วกลับเป็นไฟ ท่านปู่อิ่นกวานสามารถเอามันมาหลอมเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตห้าธาตุชิ้นสุดท้ายได้ เฉินชิงตูไม่ขี้เหนียว สิงกวานก็ยิ่งใจกว้าง ข้าสามารถช่วยย้ายไปไว้ที่ศาลาได้”
เฉินผิงอันไม่สะทกสะท้าน ลุกขึ้นยืนเอ่ยว่า “มาเองโดยไม่ได้รับเชิญก็ถือว่าเป็นแขกที่ไม่ดีแล้ว”
พอเฉินผิงอันจากไป เด็กชายผมขาวก็ได้แต่เดินตามไป
อยู่กับตู้ซานอินผู้นั้นจะมีความหมายกะผายลมอะไร ไม่สู้ติดตามเฉินผิงอันยังดีกว่า มีเรื่องน่ายินดีที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นนับไม่ถ้วน
ยกตัวอย่างเช่นวันนี้ไปเยี่ยมเยือน เผชิญหน้ากับกระท่อมแห่งนั้น ตอนที่อิ่นกวานหนุ่มมาเยือนไม่ได้คารวะทักทาย ตอนที่จากไปก็ไม่ได้เอ่ยลา
เด็กชายผมขาววิ่งตุปัดตุเป๋มาอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน “ท่านปู่อิ่นกวาน วันนี้ค่อนข้างจะแตกต่างไปจากเดิม การเปิดและปิดห้องหัวใจเป็นไปตามใจปรารถนาอย่างแท้จริง มีตึงมีคลาย น่ายินดีด้วยจริงๆ”
ทั้งสองฝ่ายก้าวเดินกันต่อไป
เห็นได้ชัดว่าอิ่นกวานหนุ่มไม่ได้รีบร้อนอยากจะกลับคุก
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “คิดจะอาศัยลำธารสายนั้นมาทำให้ความปรารถนาเป็นจริง? เหตุใดต้องวกไปวนมาเช่นนี้ พูดมาตรงๆ ก็ได้แล้ว”
เด็กชายผมขาวถาม “พูดตรงๆ แล้วจะสำเร็จหรือ?”
เฉินผิงอันเอ่ย “แน่นอนว่าไม่”
มีมารยาท เคารพกฎเกณฑ์
เป็นลูกศิษย์เตาเผามังกรก็ดี เป็นเด็กหนุ่มตรอกหนีผิงที่ออกเดินทางไกลก็ช่าง ขอแค่เดินขึ้นเขาลงห้วยก็จะต้องทำเรื่องที่ควรทำอย่างการสานรองเท้าสาน เป็นคนที่ถือมีดผ่าฟืน
อิ่นกวานจัดการกิจธุระ เถ้าแก่รองขายเหล้า ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวถามหมัด ผู้ฝึกกระบี่เลี้ยงกระบี่ สถานะที่แตกต่าง ทำเรื่องที่แตกต่าง เอ่ยถ้อยคำที่แตกต่าง
สืบสาวราวเรื่องกันแล้ว แน่นอนว่ายังคงเป็นคนคนเดียวกัน
เด็กชายผมขาวโอดครวญอย่างเศร้าใจ “ท่านปู่อิ่นกวานของข้าหนอ ไม่มีใครเขารังแกคนอื่นแบบนี้หรอกนะ”
จากนั้นเทวบุตรมารนอกโลกที่จำแลงร่างอยู่ในลักษณะของเด็กชายก็เอ่ยอย่างปลงอนิจจังว่า “ช่างเถิด ข้าเองก็ไม่ใช่คนเหมือนกัน”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!