เฉินผิงอันเก็บวัตถุแห่งชะตาชีวิตทั้งสี่ชิ้นลงไป ถามว่า “ชื่อเดิมของเจ้าคืออะไร?”
อู๋เตี๋ยย่อมต้องเป็นชื่อที่เทวบุตรมารนอกโลกตนนี้ตั้งขึ้นเองอย่างส่งเดช แม้แต่โยวอวี้กับตู้ซานอินก็ยังไม่เชื่อ
เด็กชายผมขาวเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยว่า “ซวงเจี้ยง”
เฉินผิงอันถามต่ออีกว่า “แซ่ล่ะ?”
การที่เขาถามเช่นนี้ สาเหตุก็เพราะพวกเผ่าปีศาจที่ถูกขังเหล่านั้น ยกตัวอย่างเช่นปีศาจใหญ่ห้าขอบเขตบนห้าท่านที่ใช้นามแฝง ได้แก่อวิ๋นชิง ชิงชิว เมิ่งโผ จู๋เชี่ย โหวฉางจวิน นอกจากปีศาจใหญ่ขอบเขตเซียนเหรินคนสุดท้ายที่พรสวรรค์เลิศล้ำที่มีแซ่แล้ว คนอื่นๆ ที่ต่อให้จะเป็นแค่นามแฝงก็ยังไร้แซ่ ส่วนชื่อจริงนั้นก็ยิ่งไม่ทางเอามาเปิดเผยกันง่ายๆ
เผ่าปีศาจห้าขอบเขตกลางก็เหมือนกัน ไม่ว่านามแฝงจะเป็นอย่างไร เว้นเสียจากว่าอยู่ในช่วงเวลาที่ร่างกำลังจะดับสูญมรรคาจะเสื่อมสลายเท่านั้น วิธีการของคนเย็บผ้าที่เหนี่ยนซินใช้จึงจะสามารถดึงเอาชื่อจริงจากโอสถทองและก่อกำเนิดของพวกเขามาทำความคุ้นเคยได้
ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวของใต้หล้าไพศาลนั้นพิถีพิถันในเรื่องของการกราบอาจารย์เหมือนเลือกครรภ์มาเกิด ถ้าอย่างนั้นในเรื่องชื่อจริงของเผ่าปีศาจ นับแต่โบราณมาก็ย่อมถูกมองเป็นเรื่องใหญ่ตัดสินเป็นตายอันดับหนึ่ง
‘ภาพค้นภูเขา’ ที่ป๋ายเจ๋อเป็นผู้เขียนได้เปิดเผยชื่อจริงและรากฐานของเผ่าปีศาจให้แก่หลี่เซิ่ง นอกจากนั้นยังสร้างกระถางขนาดใหญ่ไว้บนยอดเขาร่วมกับหลี่เซิ่ง นี่ก็คือหนึ่งในสาเหตุสำคัญที่ทำให้เผ่าปีศาจในปีนั้นต้องพ่ายแพ้ถอยร่น
หากใต้หล้าเปลี่ยวร้างโจมตีกำแพงเมืองปราณกระบี่บุกเข้ามาในใต้หล้าไพศาล ถ้าอย่างนั้นชื่อแห่งชะตาชีวิตทุกชื่อที่อริยะลัทธิขงจื๊อกุมไว้ในมือ สำหรับเผ่าปีศาจแล้วก็ล้วนถือเป็นด่านกีดขวางด่านแล้วด่านเล่า
ตัวอ่อนเซียนกระบี่ทั้งหลายที่อยู่ในกระโจมเจี่ยเซินอย่างจู๋เชี่ย อวี่ซื่อ จวินถาน หลิวป๋าย ต่างก็ไม่มีแซ่ เพราะกำลังรอให้ภูเขาทัวเยว่ประทานแซ่ให้ อีกทั้งชื่อก็ค่อนข้างจะแปลกและฟังยาก นี่ก็เพื่อพยายามหลีกเลี่ยงชื่อแห่งชะตาชีวิตที่อริยะลัทธิขงจื๊อมีอยู่ให้ได้มากที่สุด
เด็กชายผมขาวส่ายหน้ายิ้มกล่าว “ข้ามีชาติกำเนิดมาจากชาวบ้านลี้ภัยสัญชาติทาสของธวัลทวีป ติดตามตระกูลตระกูลคนรวยมา อย่าพูดถึงเลยจะดีกว่า อันที่จริงยังมีชื่ออีกชื่อหนึ่ง นั่นคือเสี่ยวฉ่าว ภายหลังชีวิตที่สงบสุขแล้วจึงไปเป็นเด็กรับใช้ของคุณชายน้อยมีเงิน อาจารย์ในโรงเรียนคนหนึ่งจึงช่วยตั้งชื่อซวงเจี้ยง (ช่วงที่เริ่มเกิดน้ำค้างแข็ง) ให้กับข้า อากาศเยียบเย็น ปราณหยินเข้มข้น เดิมทีก็ไม่ใช่ชื่อที่ดีสักเท่าไร แต่ปีนั้นไม่เข้าใจอะไรสักอย่าง ยังดีใจอย่างมาก เพราะรู้สึกว่าในที่สุดก็มีชื่อที่เกี่ยวข้องกับตำรากับเขาแล้ว”
เด็กชายผมขาวลอยตัวอยู่กลางอากาศ ทิ้งตัวนอนหงายไปด้านหลัง ยกขาขึ้นไขว่ห้าง “อาจารย์ผู้เฒ่าก็เป็นคนถ่ายทอดมรรคาของข้าครึ่งตัว คือผู้ฝึกตนขอบเขตถ้ำสถิต ในแคว้นเล็กๆ ใต้อาณัติที่ห่างไกลก็ถือว่าเป็นนายท่านเทพเซียนผู้เฒ่าที่ร้ายกาจมากแล้ว ตอนที่เขายังหนุ่มพอจะเข้าใจศาสตร์แห่งการประคับประคองมังกรอยู่บ้าง จึงคอยช่วยเป็นกุนซืออยู่เบื้องหลัง เพียงแต่ว่าโชคไม่ดี จึงไม่ประสบความสำเร็จ ภายหลังหมดอาลัยตายอยากก็เลยมาเป็นอาจารย์สอนหนังสือ บางครั้งก็ขายความรู้หาเงินเก็บส่วนตัว มีครั้งหนึ่งออกเดินทางไกล บอกกับข้าว่าจะไปท่องเที่ยวตามขุนเขาสายน้ำ แล้วก็ไม่ได้กลับมาอีก หลายปีต่อจากนั้นข้าถึงได้รู้ว่าอาจารย์ผู้เฒ่าไปช่วยทวงคืนความยุติธรรมให้กับสหายที่เป็นขุนนางจากจวนน้ำศาลเถื่อนที่ชอบก่อกรรมทำเข็ญไปทั่วแห่งหนึ่ง ผลคือทวงความเป็นธรรมไม่สำเร็จ ยังต้องเอาชีวิตไปทิ้งไว้ด้วย ดวงวิญญาณถูกนำไปจุดเป็นตะเกียงน้ำ ด้วยความโมโห ข้ายอมทุ่มชีวิตอย่างไม่เสียดาย ทำลายศาลและร่างทองของพ่อปู่ลำคลองจนแหลกสลาย แต่ก็ยังไม่สาแก่ใจมากพอ จึงเคี้ยวเศษชิ้นส่วนร่างทองกลืนเข้าท้อง เพียงแต่ว่าการเข่นฆ่าของพวกเราสองฝ่ายทำให้น้ำท่วมไกลร้อยลี้ เดือดร้อนคนในพื้นที่ จึงถูกทางการไล่ฆ่า กระเซอะกระเซิงอย่างยิ่ง”
เทวบุตรมารนอกโลกที่เดิมทีมีชื่อว่าซวงเจี้ยงยิ้มเอ่ยว่า “หญ้าน้อยไม่ยกตนสูง เติบใหญ่จึงออกจากขุนเขา”
เฉินผิงอันไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าในประวัติศาสตร์ของธวัลทวีปมีผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานนามว่า ‘ซวงเจี้ยง’ ด้วย
หากจะพูดถึงผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนทั้งหมดซึ่งรวมขอบเขตหยกดิบ เซียนเหรินและบินทะยานเป็นหนึ่งในนั้น นอกจากแจกันสมบัติทวีป ใบถงทวีปและอุตรกุรุทวีปแล้ว เฉินผิงอันก็ไม่ได้รู้มากนัก ไม่กล้าพูดว่าเคยได้ยินชื่อมาทั้งหมด แต่หากพูดถึงแค่ผู้ฝึกตนขอบเขตบินทะยานของใต้หล้าไพศาล หลังจากที่เฉินผิงอันได้เป็นอิ่นกวานก็เคยไปทำความเข้าใจมาเป็นพิเศษ แล้วนับประสาอะไรกับที่เอกสารคดีลับของคฤหาสน์หลบร้อนมีกองทับกันดุจขุนเขา คิดจะสืบสาวเบาะแสก็ง่ายดายอย่างยิ่ง น่าจะไม่มีใครที่หลุดรอดไปได้มากนัก
เด็กชายผมขาวดีดตัวขึ้นมาในท่านอนหงาย หัวเราะร่าเอ่ยว่า “นี่คือเรื่องใหม่ที่ข้าเพิ่งแต่งขึ้นมา บรรพบุรุษอิ่นกวานฟังแล้วก็ปล่อยเลยไปเถิด”
เฉินผิงอันเอ่ย “เรื่องราวเป็นจริงหรือเท็จ ข้าไม่แน่ใจ แต่ข้าแน่ใจได้เลยว่า มีความเป็นไปได้เกินครึ่งที่เจ้าจะมาจากใต้หล้ามืดสลัว”
เด็กชายผมขาวร้องอ้อหนึ่งที แล้วก็เอ่ยอย่างกระจ่างแจ้งว่า “รู้แล้วว่าเผยพิรุธที่ตรงไหน ไม่ควรบอกว่าถูกทางการไล่ฆ่า เพราะนอกจากใต้หล้ามืดสลัวที่ขุนนางต้องมีหนังสือรับรองแล้ว ที่ว่าการของราชสำนักในใต้หล้าไพศาลย่อมไม่มีความกล้านี้ ยิ่งไม่มีความสามารถนี้”
ใต้หล้าแห่งนั้นกับใต้หล้าไพศาลที่เมธีร้อยสำนักร้องประชันกัน แตกต่างกันอยู่มาก ลัทธิเต๋าเป็นใหญ่เพียงหนึ่งเดียว ขุนนางในราชสำนักก็มีนักพรตเต๋าอยู่มาก
ดังนั้นต้องไม่มีทางมีภาพเหตุการณ์ที่ขุนนางทำพิธีขอฝนอย่างแน่นอน ขุนนางในท้องถิ่นของใต้หล้ามืดสลัวสามารถใช้เวทลับเรียกลมเรียกฝนมาได้ด้วยตัวเองอยู่แล้ว ไม่ว่าจะขอพรหรือขอให้พ้นหายนะ ไหนเลยจะยังต้องการสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำ ฐานะไม่สูง แม้จะบอกว่าไม่ถึงขั้นต้องลงไปทำงานจุกจิกใช้แรงงาน แต่เมื่อเทียบกับความมีหน้ามีตาอย่างไร้ขีดจำกัดของเทพวารี ซานจวินเทพภูเขาของใต้หล้าไพศาลแล้ว ความต่างก็มากมหาศาลนัก
เฉินผิงอันเอ่ย “ข้าเคยโชคดีได้ท่องเที่ยวร่วมกับนักพรตซุนแห่งอารามเสวียนตูในอุตรกุรุทวีป ได้รับผลเก็บเกี่ยวมามหาศาล วันหน้าหากมีโอกาสจะต้องไปเยี่ยมเยือนถึงที่เพื่อขอบคุณอย่างแน่นอน”
ในฐานะผู้นำของสายเซียนกระบี่ลัทธิเต๋า ไม่ว่าจะเป็นมรรคกถาหรือเวทกระบี่ของนักพรตซุนก็ล้วนสูงส่ง แต่เฉินผิงอันกลับเลื่อมใสในฝีมือการแกล้งทำเป็นเล่นผีหลอกเจ้าของอีกฝ่ายมากกว่า
เชี่ยวชาญเข้าขั้น ฝีมือเลิศล้ำดุจเทพอำนวย
เมื่อเอาไปเปรียบเทียบกับนักพรตซุนแล้ว ตนยังห่างชั้นอีกไกลหนึ่งแสนแปดพันลี้
เด็กชายผมขาวพยักหน้ารับ “พอจะเดาออกแล้วล่ะ นักพรตวัยกลางคนของที่เรือนไม้แห่งนั้น เดิมทีก็คือศิษย์น้องของนักพรตซุน เทวรูปไม้นั้นตัดมาจากไม้ท้อบรรพบุรุษของอารามเสวียนตูใหญ่ รากภูเขาของภูเขาห้าสี ปณิธานเต๋าที่แฝงอยู่ในนั้นก็คือรากฐานของสายเซียนกระบี่แห่งอารามเสวียนตูใหญ่ ข้าไม่ได้ตาบอด ย่อมต้องมองเห็น ดังนั้นที่จู๋เชี่ยบอกว่าเจ้าชะตาชีวิตดี จะว่าผิดก็ผิด แต่จะว่าถูกก็ถูกเหมือนกัน”
คิดจะไปอยู่ใต้หล้าแห่งอื่น ไปเยี่ยมเยือนอารามเสวียนตูใหญ่ ก็หมายความว่าเฉินผิงอันต้องเป็นขอบเขตบินทะยานถึงจะได้
เฉินผิงอันถามคำถามที่เป็นกุญแจสำคัญ “เจ้าเคยได้ยินเรื่องศาสตร์ของการหลอมสามขุนเขาหรือไม่?”
เด็กชายผมขาวมีสีหน้าเหยเก “เคยได้ยิน แต่ก็แค่เคยได้ยินเท่านั้นจริงๆ”
เฉินผิงอันถามอีก “ถ้าอย่างนั้นข้าสามารถอาศัยสิ่งนี้มาหลอมหัวใจของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ดวงนั้นได้หรือไม่? โครงกระดูกของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ร่างนี้เคยเป็นขุนนางผู้ช่วยของเทพอัคคียุคโบราณหรือ?”
เด็กชายผมขาวหัวเราะคิกคัก “จะสามารถหลอมได้หรือไม่ ข้าไม่แน่ใจนัก ส่วนเรือนกายของสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้น จะเรียกว่าแค่ห้าธาตุเสียที่ไหน ต้องเรียกว่าครอบจักรวาล ขาดอะไรก็ชดเชยสิ่งนั้น กรงขังแห่งนี้ก็คือวัตถุที่ผ่านการหล่อหลอมมาก่อน มีเพียงบ่อลาวาแห่งนั้นที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ไม่เคยแตะต้อง แต่กระนั้นอยู่มาหมื่นปีก็ยังไม่เสื่อมสลาย ข้าไม่กลัวว่าเจ้าจะหลอมไม่ได้ กลัวแต่ว่าเมื่อเจ้าหลอมไปแล้ว เรือนกายและจิตวิญญาณจะไม่อาจแบกรับได้ไหว เรื่องใหญ่สองเรื่องอย่างการรวบรวมห้าธาตุ เย็บผ้าด้วยชื่อจริงที่เหน็ดเหนื่อยมาทั้งหมดล้วนจะเสียเปล่า หากไม่เชื่อเจ้าก็ลองถามเหนี่ยนซินดูสิ”
เหนี่ยนซินยืนอยู่ตรงขั้นบันได ตอบอย่างรวดเร็วฉับไว “เว้นเสียจากว่าข้าสละยันต์ทองตำราหยกทิ้งไป ตัวอักษรทั้งหมดก็ล้วนนำมาสร้างผนังทั้งสี่ทิศของห้องหัวใจได้”
สมบัติล้ำค่าของตระกูลเซียนสองชิ้นล้วนมีระดับขั้นเป็นอาวุธกึ่งเซียน ยิ่งเป็นรากฐานมหามรรคาของเหนี่ยนซิน ค่าตอบแทนย่อมมากมหาศาล
เฉินผิงอันถาม “เงื่อนไขคือ?”
เหนี่ยนซินเอ่ย “เจ้ายืนกรานมาตลอดว่าให้เย็บผ้าแค่ร่างท่อนบนเท่านั้น รบกวนช่วยยกเลิกความยืนหยัดที่สมองมีปัญหาแบบนี้ทีเถอะ”
เฉินผิงอันกล่าว “ขอปฏิเสธ”
เด็กชายผมขาวรู้สึกมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น เขารอชมเรื่องสนุกนี้มานานมากแล้ว ในที่สุดก็ขึ้นเวทีแสดงเสียที
เหนี่ยนซินเอ่ยอย่างมีโทสะ “เฉินผิงอัน! สามสิบสองจุดในการเย็บผ้า หากอยู่แค่แขนขาทั้งสี่กับร่างท่อนบน ย่อมเสียสมดุลอย่างเลี่ยงไม่ได้ เจ้ารู้สึกว่ามันเข้าท่าแล้วหรือ? ในฐานะคนเย็บผ้า สภาพของข้าในตอนนี้ เจ้าคิดว่าข้าเป็นสตรีที่สนใจเรื่องข้อต้องห้ามระหว่างชายหญิงหรือไร? และเจ้ายังเป็นถึงอิ่นกวานของกำแพงเมืองปราณกระบี่ เป็นผู้ฝึกตนที่มีปณิธานอยู่ที่การเดินขึ้นสู่ยอดเขา! ยังจะมาถือสาข้อห้ามระหว่างชายหญิงเล็กน้อยแค่นี้อีกหรือ?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!