หลังจากที่เฉินผิงอันเลื่อนเป็นขอบเขตประตูมังกรก็สามารถหลอมกระบี่โบราณสองเล่มให้กลายเป็นเจียวหลงสองตัวในบ่อน้ำที่เป็น ‘บ่อมังกร’ ของจวนน้ำได้ ส่วนเจียวหลงโชคชะตาน้ำที่แต่เดิมก่อตัวมาจากโอสถวารีนั้นให้เปลี่ยนไปหลอมเป็นไข่มุกโชคชะตาน้ำหนึ่งเม็ดแทน วันหน้าบนเส้นทางการฝึกตน ยิ่งโชคชะตาน้ำหนาข้นมากเท่าไร ระดับขั้นของไข่มุกเม็ดนั้นก็จะยิ่งสูงมากเท่านั้น
ก่อนหน้านั้นมอบกระบี่สั้นอักษรตู๋ไปให้ แล้วบอกถึงผลประโยชน์จากการหลอมกระบี่สั้นอักษรหู อันที่จริงล้วนเป็นการตกเบ็ดของเทวบุตรมารเหมือนครั้งที่เอ่ยถึงธงเซียนกระบี่และป๋ายอวี้จิงจำลอง เอาเหยื่อมาล่อครึ่งหนึ่งแล้วก็เก็บไว้ครึ่งหนึ่ง
เฉินผิงอันไม่ถือสาวิธีการทำการค้าเช่นนี้ของซวงเจี้ยง เพราะถึงอย่างไรก็เป็นการค้าที่ยุติธรรม ไม่ถือว่าเป็นการบังคับซื้อบังคับขายแต่อย่างใด
นอกจากนี้ซวงเจี้ยงยังทยอยใช้ชุดถ้ำเซียนสวรรค์ที่กายธรรมทั้งเหมือนจริงและเหมือนภาพลวงตา ต่างหูงูเขียวที่ห้อยอยู่บนติ่งหูสองข้าง รวมไปถึงเศษชิ้นส่วนร่างทอง เม็ดทรายสีทองทั้งหมดที่แบ่งส่วนแบ่งกันคนละครึ่งกับ ‘สหายฉางมิ่ง’ มาทำการค้ากับเฉินผิงอันได้สำเร็จไปอีกสี่เหรียญเงินร้อนน้อย
ตอนนี้จึงเหลือแค่เงินร้อนน้อยเหรียญสุดท้ายแล้ว
เมื่อรวบรวมเงินฝนธัญพืชครบหนึ่งเหรียญ ตามข้อตกลง เทวบุตรมารซวงเจี้ยงก็สามารถออกไปจากคุกได้ทันที ได้รับอิสระเสรีจากฟ้าสูงแผ่นดินกว้างไร้พันธนาการ อีกทั้งหากมันออกไปจากคุกเมื่อไหร่ เฉินผิงอันก็ดี เฉินชิงตูก็ช่าง ล้วนไม่สามารถวางแผนเล่นงานมันได้อีก ขอแค่มันไม่ติดตามเผ่าปีศาจบุกเข้าไปเข่นฆ่าผู้คนในใต้หล้าไพศาล ไม่ทำร้ายผู้ฝึกกระบี่คนใดก็ตามของกำแพงเมืองปราณกระบี่ จะไปยึดครองพื้นที่หนึ่งตั้งตนเป็นใหญ่ในใต้หล้าเปลี่ยวร้าง หรือจะหลบซ่อนตัวอำพรางร่องรอยอยู่ที่ใต้หล้าไพศาล ประคับประคองหุ่นเชิดขึ้นมาสักคนแล้วก่อสำนักตั้งพรรค ก็ล้วนตามแต่ใจมัน
ช่วงเวลาระหว่างนี้ซวงเจี้ยงยินดีจ่ายเงินเกล็ดหิมะเหรียญหนึ่งเพื่อซื้อเรื่องราวเล็กๆ ของการผูกพันธะสัญญาจากเฉินผิงอัน
ผลคือเฉินผิงอันกลับใช้เงินเกล็ดหิมะเหรียญนั้นแลกเปลี่ยนมาเป็นวัตถุดิบที่แท้จริงของตราประทับห้าอสนีทันที
ซวงเจี้ยงพลันเอ่ยว่า “เดิมทีข้านึกว่าเงินเกล็ดหิมะที่ไม่สะดุดตาเหรียญนั้นจะกลายมาเป็นตัวตัดสินแพ้ชนะในการทำการค้าระหว่างเจ้ากับข้า คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะเป็นฝ่ายทำลายความกังขาในใจของข้าทิ้งไปอย่างว่องไวเพียงนั้น”
หากซวงเจี้ยงได้เงินร้อนน้อยมาอยู่ในมือแล้วเก้าเหรียญ บวกกับเงินเกล็ดหิมะที่กระจัดกระจายทั้งหลายเหล่านั้น ต่อให้จะอยู่ห่างจากการรวมเงินฝนธัญพืชให้ครบโดยขาดอีกแค่เงินเกล็ดหิมะเหรียญเดียว การค้าขายครั้งนี้ก็ยังไม่ถือว่าสำเร็จอยู่ดี
การค้าของทั้งสองฝ่ายในคราวนี้ ความน่ากระอักกระอ่วนของเทวบุตรมารซวงเจี้ยงนั้นอยู่ที่ว่าขาดเงินร้อนน้อยเหรียญหนึ่ง ต้องตาย ทว่าต่อให้ขาดเงินเกล็ดหิมะอีกแค่เหรียญเดียวก็ยังต้องตายอยู่ดี
เฉินผิงอันยังคงหลับตา แต่กลับเอ่ยอย่างตรงไปตรงมาว่า “แรกเริ่มเคยคิดจะเล่นตุกติกกับเงินเกล็ดหิมะเหรียญนี้ แต่ภายหลังข้าเปลี่ยนใจแล้ว”
ซวงเจี้ยงหยุดนิ่ง ถามอย่างเป็นกังวลว่า “เงินร้อนน้อยเหรียญสุดท้ายคงไม่คิดว่าจะไม่ให้ข้าแล้วกระมัง? บรรพบุรุษอิ่นกวานท่านอย่าทำการค้าแบบนี้เด็ดขาดเชียวนะ เสียภาพลักษณ์เกินไปแล้ว”
เฉินผิงอันลืมตาขึ้น ส่ายหน้าเอ่ย “แน่นอนว่าไม่ นับตั้งแต่ที่ข้าทำการค้าเงินร้อนน้อยเหรียญแรกกับเจ้า เจ้าก็สามารถมีชีวิตอยู่รอดได้แล้ว”
ซวงเจี้ยงพยักหน้ารับเบาๆ กล่าวอย่างคลางแคลงว่า “ข้าเข้าใจเรื่องนี้ เพียงแต่ว่าไม่เคยกล้าเชื่อ”
เฉินผิงอันเอ่ย “เจ้าอยากพบซวงเจี้ยงอีกครั้งขนาดนี้เชียวหรือ? สำหรับเทวบุตรมารนอกโลกตนหนึ่งที่ได้รับอิสระอย่างเต็มที่ ยังต้องดึงดันเพียงนี้ด้วยหรือ?”
ทั้งสองเงียบงันกันไปครู่หนึ่ง ก่อนที่เฉินผิงอันจะกล่าวต่อว่า “พวกเจ้าไม่ได้เป็นคู่รักเทพเซียนอะไรกันอีกแล้ว นอกจากนี้ตบะและสภาพจิตใจของเจ้าต้องคอยตามติดเป็นเงาเหมือนยามอยู่ร่วมกับผู้ฝึกตนใหญ่ซวงเจี้ยงตั้งแต่เมื่อไหร่?”
เพราะจิตมารของซวงเจี้ยง ก็คือสตรีที่เขารัก
น่าจะเป็นโชควาสนาอย่างหนึ่งหลังจากที่ซวงเจี้ยงเลื่อนเป็นห้าขอบเขตบน กระทั่งซวงเจี้ยงเลื่อนเป็นขอบเขตบินทะยาน หรืออาจมีความเป็นไปได้ว่าอยู่ในช่วงที่พยายามจะเลื่อนสู่ขอบเขตที่หายสาบสูญไปแล้ว เทวบุตรมารนอกโลกตนนี้ถึงได้ถือกำเนิดขึ้นมาอย่างแท้จริง เพียงแต่ว่าซวงเจี้ยงไม่อาจกำจัดจิตมารนี้ได้เสียที สุดท้ายต่างคนต่างแยกย้ายกันไปอยู่คนละขอบฟ้า คาดว่าเป็นซวงเจี้ยงที่ใช้คาถาเซียนลัทธิเต๋าบางอย่างที่ลี้ลับมหัศจรรย์ถึงทำได้เพียงขับไล่จิตมารออกไป แต่ไม่อาจกำราบได้อย่างแท้จริง และไม่อาจสังหารจิตมารนี้ทิ้งได้ เพียงแต่ว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเพียงการคาดเดาอย่างไร้หลักฐาน ความจริงเป็นอย่างไร สวรรค์เท่านั้นที่รู้ เว้นเสียจากว่าในอนาคตเฉินผิงอันได้ไปเยือนใต้หล้ามืดสลัวแล้วได้พบกับ ‘ซวงเจี้ยง’ ตัวจริงคนนั้น
เทวบุตรมารหรี่ตาลงถามว่า “เจ้าเดาออกได้อย่างไร? เป็นผ้าเช็ดหน้าซึ่งเป็นของของสตรีผืนนั้นที่เปิดเผยพิรุธของข้า หรือเป็นเพราะตอนที่เจ้าลูบหัวข้าแล้วข้าเบี่ยงหลบตามสัญชาตญาณ?”
เฉินผิงอันย้อนถาม “เดาอะไรกัน ไม่ใช่ว่าเจ้าจงใจให้ข้ารู้ความจริงหรอกหรือ?”
เทวบุตรมารที่มีรูปลักษณ์เป็นเด็กชายผมขาวพลันคลี่ยิ้มหวาน ลอยตัวอยู่กลางอากาศ ปรบมือเบาๆ เอ่ยชื่นชมจากใจจริง “บรรพบุรุษอิ่นกวานช่างดีนัก เฉินผิงอันไม่เคยทำให้คนผิดหวังเลยจริงๆ”
เฉินผิงอันเอ่ย “เงินร้อนน้อยเหรียญสุดท้าย พวกเรามาทำสัญญาร้อยปีกัน ก่อนที่ข้าและเจ้าจะกลับมาพบกันใหม่อีกครั้ง เจ้าต้องช่วยข้าคุ้มครองคนคนหนึ่งอย่างลับๆ”
เด็กชายผมขาวดีดต่างหูงูเขียวเบาๆ เอ่ยว่า “ใต้หล้าแห่งที่ห้าอนุญาตให้แค่ผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตล่างเข้าไปเท่านั้น ข้าไม่กล้าละเมิดกฎของลัทธิขงจื๊อหรอกนะ มีใจแต่ไร้กำลัง การค้าครั้งนี้ทำให้ข้าลำบากใจแล้ว เฉินผิงอัน แบบนี้เจ้าไร้คุณธรรมแล้วนะ คิดจะจงใจทำให้ข้าลำบากใจใช่ไหม?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “อาจารย์ของข้าอยู่ที่นั่น เชื่อว่าสุดท้ายแล้วอริยะลัทธิขงจื๊อคนที่เฝ้าด่านย่อมยอมหลับตาข้างหนึ่งลืมตาข้างหนึ่งกับเจ้า แต่เจ้ามีโอกาสลงมือแค่ครั้งเดียว หลังจากนั้นอย่างมากสุดเจ้าก็จะถูกอริยะลัทธิขงจื๊อขับไล่ออกจากอาณาเขต ถึงเวลานั้นเจ้าก็ทำตามทางถอยที่อาจารย์ของข้าจัดการให้ ไม่ว่าจะกลับมายังใต้หล้าไพศาล ไปตั้งรกรากอยู่ที่ภูเขาลั่วพั่ว หรือถูกขังอยู่ในสวนป่ากงเต๋อ ข้าก็จะไปหาเจ้า ไม่ว่าจะต้องจ่ายค่าตอบแทนแบบใด ข้าล้วนจะทำตามสัญญา มอบอิสระคืนให้แก่เจ้า หากเจ้าไม่ได้ลงมือ ข้าก็จะไปเจอกับเจ้าที่ใต้หล้าแห่งที่ห้าเอง”
เด็กชายผมขาวถาม “แล้วหากเกิดหนึ่งในหมื่นขึ้นล่ะ?”
เฉินผิงอันเอ่ยเสียงทุ้มหนัก “หากข้าไม่สามารถไปหาเจ้าตามสัญญาได้ หนึ่งร้อยปีให้หลัง ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็จะยังได้รับอิสระอยู่ดี”
เด็กชายผมขาวเริ่มล่องลอยไปมารอบศาลาอีกครั้งคล้ายกำลังชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสีย
ก่อนจะเริ่มไล่เรียงรายละเอียดกับอิ่นกวานหนุ่ม “บัณฑิตรักหน้าตาเป็นที่สุด ให้ข้าอาดๆ เข้าไปแฝงตัวอยู่ในจิตวิญญาณของผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งเช่นนี้ แบบนั้นก็ไม่ถือว่าเป็นการซ่อนตัวแล้ว ต่อให้มีอาจารย์ของเจ้าคอยช่วยเหลือก็ยังไม่เหมาะอยู่ดีกระมัง? หากเหนี่ยนซินสามารถไปเยือนใต้หล้าแห่งที่ห้าได้เหมือนกัน จิตวิญญาณของนางแข็งแกร่งมากพอ แต่นางเป็นขอบเขตหยกดิบก็ไปไม่ได้เหมือนกันนี่นา เรื่องนี้จะโทษข้าไม่ได้นะ ปีศาจใหญ่ของศาลาจัวฟ่างตนนั้น หนึ่งเพราะมีการศึกษาคาถาอาคมเฉพาะด้าน นอกจากนี้การที่มันสามารถซ่อนตัวอยู่ในจุดลึกของจิตวิญญาณผู้ฝึกกระบี่โอสถทองเปียนจิ้ง หลอกพวกเซียนกระบี่ทั้งหลายมาได้สำเร็จ เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้ลุล่วงในวันเดียว หากเจ้าให้เวลาข้าสักสามปีห้าปี ข้าถึงจะมั่นใจว่าจะสามารถหาตัวผู้ฝึกตนโอสถทองคนหนึ่งแล้วเป็นนกพิราบเข้ายึดครองรังนกกางเขนได้”
เฉินผิงอันกล่าว “ข้าย่อมหาจุดซ่อนตัวให้เจ้าเอง”
เด็กชายผมขาวพูดอย่างปลงอนิจจัง “บรรพบุรุษอิ่นกวานช่างคิดได้รอบคอบนัก ต่อให้ข้าจะมีคำพูดเป็นพันเป็นหมื่น แต่พอคำพูดมาจ่อรอตรงปากกลับพูดไม่ออกสักคำ”
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน ห้อยกระบี่พิฆาตไว้ข้างเอว “หากเจ้าตอบตกลงจะทำเรื่องนี้ ก็รบกวนผู้อาวุโสด้วย วันหน้าหากไปอยู่ใต้หล้าแห่งใหม่นั้น อย่าได้มีการกระทำใดๆ ที่เกินความจำเป็น อย่าได้ ‘ลองทำดู’ อีก ไม่อย่างนั้นเจ้าก็ต้องจุดธูปขอพรพระทุกวัน ภาวนาให้ข้าตายอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งนี้”
เฉินผิงอันหัวเราะ หรี่ตากล่าว “ในอดีตก่อนจะต่อยตีกับใคร ข้าไม่เคยชอบพูดข่มขู่ใดๆ วันนี้กลับยอมแหกกฎเพื่อผู้อาวุโส โปรดทะนุถนอมและเห็นค่า”
เด็กชายผมขาวไม่มีสีหน้าทะเล้นอีกต่อไป แต่ก้มกราบอย่างนอบน้อม “น้อมรับคำสั่งท่านบรรพบุรุษ นับแต่บัดนี้ไป การค้าหนึ่งเหรียญเงินฝนธัญพืชนับว่าสำเร็จแล้ว”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!