เมืองแยนจือแคว้นไฉ่อี ชายหนุ่มหญิงสาวคู่หนึ่งที่จับคู่กันเดินทางลงใต้มาหาประสบการณ์ที่แจกันสมบัติทวีปไปเยี่ยมเยือนอวี๋เวิงเซียนเซิงมาแล้วก็บอกลาจากไป
อู๋ซั่วเหวินที่มีฉายาว่าอวี๋เวิงเซียนเซิงกับลูกศิษย์ของเขาสองคนที่เป็นพี่น้องกันอย่างจ้าวซู่เซี่ยและจ้าวหลวนเพิ่งจะเดินทางกลับจากการเดินทางไปเที่ยวเยือนขุนเขาใต้แห่งใหม่ของนครมังกรเฒ่ามาได้ไม่นาน ไม่อย่างนั้นแขกสองคนที่เดินทางไกลมาเยือนครั้งนี้ คาดว่าคงจะต้องคลาดกันไปแล้ว
ฝนเม็ดเล็กโปรยปรายเพิ่งจะหยุดตกไป สตรีสวมหมวกผ้าคลุมหน้า ส่วนบุรุษสะพายงอบไม้ไผ่ไว้บนแผ่นหลัง หลังบอกลากับชายชราลัทธิขงจื๊อแล้วก็ออกมาจากตรอกเล็ก
พวกเขาก็คืออวี๋ลู่และเซี่ยเซี่ย
ในบรรดาสหายของสำนักศึกษา ตอนนี้นอกจากพวกเขาสองคนที่ไม่ได้ศึกษาเล่าเรียนอยู่ที่สำนักศึกษาซานหยาของเมืองหลวงต้าสุยแล้ว หลินโส่วอีเองก็ออกจากสำนักศึกษาไปนานแล้วเหมือนกัน บอกว่าเขาจะไปเที่ยวชมการขุดเจาะลำน้ำใหญ่ ส่วนหลี่ไหวก็ไปเที่ยวที่อุตรกุรุทวีปกับเผยเฉียน แม้แต่หลี่เป่าผิงที่หลังจากเดินทางกลับจากเมืองหลวงต้าหลีมายังสำนักศึกษาก็ติดตามเจ้าขุนเขาเหมาพร้อมเพื่อนร่วมชั้นเรียนอีกหลายสิบคนเดินทางไกลไปเยือนสถานศึกษาหลี่จี้ของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ดังนั้นในบรรดากลุ่มคนที่ปีนั้นไปขอศึกษาต่อยังต้าสุย บวกกับชุยตงซานที่ออกไปจากสำนักศึกษาเร็วกว่าใคร ทุกวันนี้กลับไม่มีใครอยู่ที่เมืองหลวงต้าสุยเลยสักคนเดียว เกี่ยวกับเรื่องการเดินทางไปเยือนสถานศึกษาของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง เจ้าขุนเขาเหมาเคยถามความเห็นของอวี๋ลู่กับเซี่ยเซี่ยมาก่อน เซี่ยเซี่ยได้รับจดหมายฉบับหนึ่งจากชุยตงซานจึงปฏิเสธอาจารย์ผู้เฒ่าไปอย่างละมุนละม่อม เซี่ยเซี่ยกลัวเด็กหนุ่มชุดขาวไปถึงกระดูกจริงๆ ไม่ว่าชุยตงซานจะสั่งความนางแบบใด นางก็ล้วนมองมันเป็นเหมือนโองการอย่างหนึ่ง
อวี๋ลู่ไม่มีความคิดเห็นใดๆ ต่อศาลบุ๋น สถานศึกษาสำนักศึกษาของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง จึงถือโอกาสนี้เดินทางลงใต้มาพร้อมกับเซี่ยเซี่ย หลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดเรื่องไม่คาดฝันกับเซี่ยเซี่ยที่เดินทางไปเพียงลำพัง ในสายตาของอวี๋ลู่ นิสัยของเซี่ยเซี่ยยังคงเหมาะกับการฝึกตนอยู่บนภูเขาชั่วคราว ไม่เหมาะกับการเดินทางไกลไปข้างนอกเพียงลำพัง
ดังนั้นถึงท้ายที่สุดในบรรดากลุ่มคนของปีนั้นจึงดูเหมือนว่าคราวนี้จะมีเพียงหลี่เป่าผิงคนเดียวเท่านั้นที่ไปเยือนทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง
เขากับเซี่ยเซี่ย คนหนึ่งคือผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทอง คนหนึ่งคือผู้ฝึกลมปราณขอบเขตประตูมังกร ต่างคนต่างก็ติดอยู่ตรงคอขวด
เนื่องจากอวี๋ลู่จับคู่เข่นฆ่ากับผู้อื่นเพื่อขัดเกลาวิถีวรยุทธมาน้อยเกินไป ต่อให้จะกลายเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตเจ็ดนานแล้ว แต่ก็ไม่อาจฝ่าทะลุคอขวดขอบเขตร่างทองได้เสียที
ก่อนหน้านี้อยู่ที่ภูเขาลั่วพั่ว อวี๋ลู่เคยขอความรู้จากอาจารย์จู ได้ประโยชน์มามากมาย ดังนั้นจึงมีการเดินทางครั้งนี้เกิดขึ้น เขาคิดว่าจะไปเยือนซากปรักสนามรบแต่ละแห่งของแจกันสมบัติทวีปให้ครบถ้วนสักรอบ
ส่วนเซี่ยเซี่ยก็เพราะก่อนหน้านี้ถูกตะปูกักมังกรพันธนาการมานานหลายปี รากฐานมหามรรคาจึงได้รับความเสียหายในระดับหนึ่ง หลายปีมานี้นางตั้งใจซ่อมแซมเรือนกายอย่างระมัดระวังมาโดยตลอด แต่นี่ยังไม่ใช่กุญแจสำคัญ สาเหตุที่ทำให้เซี่ยเซี่ยหยุดค้างอยู่ที่คอขวดไม่อาจฝ่าทะลุขอบเขตได้เป็นเพราะ ‘จิตมาร’ ของนางเข้มข้นเกินไป ในใจมีเงื่อนตายมากเกินไป สำนักถูกทำลาย บ้านเมืองล่มสลาย หลังจากนั้นกลายเป็นนักโทษลี้ภัย ระหว่างทางถูกสตรีอดีตเหนียงเนียงของต้าหลีใช้เวทลับตอกตะปูกักมังกรตรึงไว้ในสามจิตเจ็ดวิญญาณ พลังต้นกำเนิดเสียหายอย่างใหญ่หลวง ผลคือสุดท้ายยังได้มาเจอกับชุยตงซานที่นิสัยยากจะคาดเดา หลังออกมาจากบ้านเกิด สภาพการณ์ที่นางต้องพบเจอเรียกได้ว่าเต็มไปด้วยอุปสรรคนานัปการ ไม่อย่างนั้นด้วยคุณสมบัติในการฝึกตนที่ถือว่าโดดเด่นของเซี่ยเซี่ย ตอนนี้นางก็น่าจะได้เป็นเซียนดินโอสถทองคนหนึ่งแล้ว
คอขวดของนางกับอวี๋ลู่คือด่านใหญ่สองด่านพอดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับในด้านพลังการสู้รบแล้ว ต่างก็แบ่งเป็นธรณีประตูที่ใหญ่ที่สุดสำหรับผู้ฝึกยุทธเต็มตัวและผู้ฝึกตน
หากผู้ฝึกยุทธเต็มตัวเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตเดินทางไกลเมื่อไหร่จะสามารถทะยานลมได้ และหากจับคู่สังหารกับผู้ฝึกลมปราณขึ้นมา คนหนึ่งก็เรียกว่าฟ้า ส่วนอีกคนเป็นแค่ดิน
ส่วนผู้ฝึกลมปราณคนหนึ่งจะสามารถสร้างโอสถทองได้หรือไม่ ความหมายนั้นยิ่งใหญ่จนแทบไม่อาจหาคำใดมาบรรยายได้
ในฐานะแคว้นผู้ปกครองดั้งเดิมของสกุลซ่งต้าหลีในประวัติศาสตร์ ราชวงศ์สกุลหลูเคยเป็นผู้พิชิตแห่งอุดรทิศของแจกันสมบัติทวีปอย่างมิต้องสงสัย และตอนที่เซี่ยเซี่ยอายุน้อยก็ถูกทางสำนักอบรมปลูกฝังเป็นผู้ฝึกตนที่ในอนาคตจะได้เป็นห้าขอบเขตบนคนหนึ่ง
ในฐานะรัชทายาทของราชวงศ์สกุลหลูในอดีต สำหรับเรื่องบนภูเขาบ้านตัวเอง อวี๋ลู่จึงพอจะเข้าใจอยู่บ้าง เกี่ยวกับ ‘เซี่ยเซี่ย’ ก็เคยมีคำกล่าวอย่างหนึ่งที่แพร่หลายบอกว่า เมื่อเปรียบเทียบกับเฮ้อเสี่ยวเหลียงแห่งสำนักโองการเทพแล้ว นางก็ขาดแค่เรื่องของโชควาสนาเท่านั้น
แต่ทุกวันนี้คนทั้งสองกลับต่างกันราวฟ้ากับเหว
เฮ้อเสี่ยวเหลียงเป็นเจ้าสำนักแห่งหนึ่งในอุตรกุรุทวีป ขอบเขตหยกดิบ มีความหวังบนมหามรรคา ป๋ายฉางเซียนกระบี่ใหญ่แห่งอุตรกุรุทวีปเคยกล่าวว่าจะทำให้ชีวิตนี้เฮ้อเสี่ยวเหลียงไม่อาจเลื่อนสู่ขอบเขตบินทะยานได้ บอกว่าเซียนกระบี่ใหญ่ท่านนี้จะออกกระบี่ขัดขวาง ไม่อย่างนั้นเฮ้อเสี่ยวเหลียงเจ้าสำนักชิงเหลียงก็ถูกกำหนดไว้แล้วว่าต้องได้กลายเป็นผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานแน่นอน
หันกลับมามองเซี่ยเซี่ย ตอนนี้กลับไม่ได้เป็นแม้กระทั่งผู้ฝึกตนโอสถทอง
อวี๋ลู่เป็นคนเรียบง่ายสบายๆ เขาไม่ร้อนใจกับการที่ต้องเดินเอื่อยเฉื่อยอยู่บนเส้นทางวิถีวรยุทธ แต่เซี่ยเซี่ยกลับเป็นคนมีนิสัยชอบเอาชนะ อารมณ์ของนางในช่วงหลายปีมานี้จะเป็นอย่างไร ไม่ต้องบอกก็พอรู้ได้
ตรงมุมหัวเลี้ยวของตรอก เซี่ยเซี่ยหันกลับไปมองตรอกเล็กแล้วเอ่ยเบาๆ ว่า “จ้าวหลวนผู้นั้นใช่หรือไม่ใช่?”
อวี๋ลู่ยิ้มบางๆ “อย่าถามข้า ข้าไม่รู้อะไรทั้งนั้น มองอะไรไม่ออกทั้งนั้น”
เซี่ยเซี่ยถลึงตาใส่รัชทายาทผู้สิ้นแคว้นที่บนร่างแบกรับโชคชะตาบู๊ครึ่งหนึ่งของแคว้นเอาไว้ “นอกจากทำตัวแกล้งโง่แล้ว เจ้ายังทำอะไรเป็นอีกบ้าง?”
อวี๋ลู่หัวเราะร่า “ไม่เป็นแล้วล่ะ”
เซี่ยเซี่ยกล่าว “จ้าวหลวนผู้นี้มีพรสวรรค์ในการฝึกตนดีเยี่ยม ความกังวลที่อาจารย์อู๋แสดงออกมาบนสีหน้าใช่ว่าจะไร้เหตุผล เขาควรจะช่วยวางแผนหาสถานะทำเนียบวงศ์ตระกูลให้จ้าวหลวนได้แล้ว อย่างอื่นของอาจารย์อู๋นั้นไม่ต้องพูดถึง แต่ความใจกว้างแค่นี้เขาไม่ขาดไปแน่ ไม่มีทางอาลัยอาวรณ์สถานะอาจารย์และศิษย์ในนามแล้วปล่อยให้จ้าวหลวนเสียเวลาอย่างเปล่าประโยชน์อยู่ล่างภูเขาไปทั้งอย่างนี้ ในเมื่อทุกวันนี้จ้าวหลวนเป็นขอบเขตถ้ำสถิตแล้ว จะกลายเป็นเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลย่อมไม่ยาก ที่ยากก็คือการกลายเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของสำนักตระกูลเซียนใหญ่ อย่างเช่น…”
กล่าวมาถึงตรงนี้ เซี่ยเซี่ยก็จ้องอวี๋ลู่ตาค้าง เรื่องของการคิดทุกอย่างให้รอบคอบ อวี๋ลู่ถนัดกว่านางมากนัก นางจำต้องยอมรับในเรื่องนี้
อวี๋ลู่จึงรับคำต่อว่า “ภูเขาเมฆาเรืองหรือไม่ก็ตำหนักฉางชุน หรือไม่ก็ศาลบรรพจารย์ของเกาะจูไชภูเขาหลังอ๋าว อนาคตของภูเขาเมฆาเรืองดีกว่า แล้วก็สอดคล้องกับนิสัยของจ้าวหลวน น่าเสียดายที่เจ้าและข้าต่างก็ไม่มีหนทาง ตำหนักฉางชุนนั้นปลอดภัยมั่นคงมากที่สุด แต่จำเป็นต้องขอให้เว่ยซานจวินช่วยเหือ ส่วนหลิวจ้งรุ่นแห่งภูเขาหลังอ๋าว ต่อให้เป็นเจ้ากับข้าก็ยังพูดคุยได้ง่าย คิดจะทำเรื่องนี้ให้สำเร็จไม่ยาก แต่ก็กลัวอีกว่าจะถ่วงรั้งความสำเร็จบนเส้นทางการฝึกตนของจ้าวหลวน เพราะถึงอย่างไรหลิวจ้งรุ่นเองก็เพิ่งจะเป็นโอสถทอง เมื่อเป็นเช่นนี้ขอร้องคนอื่นไม่สู้ไม่ขอร้องคนกันเอง โอสถทองครึ่งตัวอย่างเจ้าช่วยถ่ายทอดมรรคาให้จ้าวหลวนดูเหมือนว่าจะเพียงพอแล้ว แต่เจ้ากลัวความยุ่งยาก ยิ่งกลัวว่าจะเป็นการวาดงูเติมขา ถึงเวลานั้นกลับจะช่วยให้เสียเรื่อง กลายเป็นว่าทำให้อาจารย์ชุยไม่สบอารมณ์”
เซี่ยเซี่ยกล่าวอย่างขุ่นเคือง “อ้อมไปอ้อมมา สุดท้ายพูดก็เหมือนไม่พูดอยู่ดีไม่ใช่หรือ?”
อวี๋ลู่ยิ้มกล่าว “อย่างน้อยที่สุดก็รู้ว่าไม่ต้องทำอะไร ไม่ถือว่าที่ข้าพูดไปเสียเปล่า เจ้ารับฟังอย่างเสียเวลาหรอกกระมัง”
เซี่ยเซี่ยไม่เอ่ยอะไรอีก โต้เถียงกับอวี๋ลู่น่าเบื่อจะตายไป
เมื่อเทียบกับความคิดของเซี่ยเซี่ยที่อยู่บนตัวจ้าวหลวนที่มีรูปโฉมโดดเด่น พรสวรรค์ก็ดีเยี่ยมยิ่งกว่าแล้ว อันที่จริงอวี๋ลู่ให้ความสนใจจ้าวซู่เซี่ยที่ฝึกหมัดมากกว่า
เซี่ยเซี่ยกล่าว “จ้าวซู่เซี่ยผู้นั้นมีสัญญาฝึกหมัดห้าแสนครั้งกับเฉินผิงอัน ตอนนี้ยังขาดอีกหนึ่งแสนแปดหมื่นครั้ง เจ้าเป็นผู้ฝึกยุทธมองออกหรือไม่ว่าปณิธานหมัดของจ้าวซู่เซี่ยมีมากหรือน้อย?”
อวี๋ลู่ตอบ “ไม่มากเท่าใดจริงๆ”
เซี่ยเซี่ยขมวดคิ้ว “จะถือว่าเป็นการฝึกหมัดอย่างคร่ำครึจนถึงทางตันหรือไม่?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!