เพียงไม่นานหมี่อวี้ก็เข้าใจรากฐานของเหล่าพี่สาวน้องสาวจากตำหนักฉางชุนกลุ่มนี้ได้คร่าวๆ แล้ว
ล้วนเป็นพวกนางที่พูดจ้อให้เขาฟัง ไม่จำเป็นต้องให้หมี่อวี้หลอกถามเลยแม้แต่น้อย
สตรีหน้าตางดงามที่มีนามว่าจงหนันผู้นั้นยังคงชอบให้คนอื่นเรียกนางว่าอีซานมากกว่า เพิ่งจะเลื่อนขั้นเป็นเทพเซียนห้าขอบเขตกลาง ดังนั้นถึงได้ออกเดินทางมาหาประสบการณ์ในครั้งนี้
ผู้ฝึกตนหญิงที่เหลืออีกสามคน คนที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับจงหนันมีชื่อว่าฉู่เมิ่งเจียว มีชาติกำเนิดมาจากตระกูลปัญญาชนแห่งหนึ่งของเมืองหลวงต้าหลี เล่าลือกันว่าในบ้านบรรพบุรุษมี ‘ผีฮั่นหลิน’ ที่ความรู้กว้างขวางอยู่คนหนึ่ง รับหน้าที่เป็นอาจารย์ของโรงเรียนประจำบ้าน ในตระกูลจึงมีลูกหลานหลายคนที่สอบติดเคอจวี่ เพราะถูกเจ้ากรมผู้เฒ่ากวนเอ่ยเรียกอย่างให้เกียรติว่า ‘หย่ากุ่ย’ (ผีที่สูงส่งสง่างาม) ถึงได้สามารถปักหลักตั้งถิ่นฐานอยู่ในเมืองหลวงด้วยสถานะของภูตผีได้อย่างยาวนาน
เด็กสาวที่ชื่อหลินไฉ่ฝู วันที่นางถือกำเนิด มารดาของนางฝันว่ามีคนขายยันต์หลากสีในวันตวนอู่เอายันต์มาขายให้ถึงบ้าน บอกว่าเป็นสหายสนิทที่รู้จักกับบรรพบุรุษของตระกูลหลิน ได้รับการปกป้องจากบุญกุศลที่บรรพบุรุษสร้างเอาไว้ จึงควรจะรับยันต์ชิ้นนี้ไป ดังนั้นเด็กสาวจึงได้ชื่อนี้มา (ไฉ่ฝูคือยันต์ที่มีสีสัน)
และยังมีเด็กสาวอีกคนหนึ่งที่ชื่อว่าหานปี้ยา มาจากตระกูลเมล็ดพันธ์แม่ทัพของต้าหลี เพียงแต่ว่าตำแหน่งขุนนางของบรรพบุรุษไม่ใหญ่นัก อย่างมากสุดก็เป็นแค่หน่วยลาดตระเวนคอยตรวจการเท่านั้น เพียงแต่ว่าดอกเถิงฮวา (หรือดอกวิสทีเรีย ดอกไม้เล็กๆ ที่รวมตัวกันเป็นพวงระย้าสีม่วงคล้ายพวงองุ่น) ในสวนของตระกูลหานกลับเป็นหนึ่งในพืชพันธ์ที่เก่าแก่ที่สุดของเมืองหลวง ยามที่บานสะพรั่งก็เหมือนก้อนเมฆสีม่วงที่ห้อยระย้าลากระพื้นดิน กลิ่นหอมโชยมาปะทะจมูก สร้างความรื่นรมย์ให้กับคนทั้งเส้นถนน มีชื่อเสียงทัดเทียมกับโบตั๋นแห่งวัดเป้ากว๋อและต้นชิงถงนอกห้องหนังสือของเจ้ากรมผู้เฒ่ากวนในเมืองหลวงต้าหลี
พวกนางสามคนต่างก็ยังไม่เลื่อนสู่ขอบเขตถ้ำสถิต
ในแจกันสมบัติทวีป เทพเซียนห้าขอบเขตกลาง ต่อให้จะเป็นแค่ขอบเขตถ้ำสถิตก็ยากที่จะเป็นกิ่งทองใบหยก เป็นเทพเซียนในกลุ่มผู้คนที่ล้ำค่าหายากยิ่ง ทว่าในอาณาเขตแคว้นเล็กใต้อาณัติทั้งหลาย ภูตผีขอบเขตถ้ำสถิต ขอบเขตชมมหาสมุทรกลับถือเป็นปีศาจใหญ่ เป็นผีดุร้ายแล้ว
ส่วนหญิงชราขอบเขตประตูมังกรคนนั้น นับแต่เด็กก็มีชาติกำเนิดมาจากเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลของตำหนักฉางชุนอยู่แล้ว
ผู้ฝึกลมปราณหญิงสายของผู้อาวุโสไท่ซางตำหนักฉางชุนสายนี้ไม่ได้มีข้อห้ามเรื่องความรักชายหญิง กลับกันยังมองว่าเป็นหนึ่งในการหาประสบการณ์ที่มิอาจขาดไปได้บนเส้นทางของการฝึกตน
พวกนางเดินทางลงใต้ครั้งนี้ ในเมื่อเป็นการฝึกประสบการณ์ แน่นอนว่าต้องไม่ได้เอาแต่เที่ยวเล่นอย่างเดียวเท่านั้น
หลังจากที่จงหนัน ‘สวมชุดแพรกลับคืนสู่บ้านเกิด’ ก็ต้องไปชายแดนแคว้นหวงถิงที่เป็นแคว้นใต้อาณัติของต้าหลี ไปดูปีศาจภาพวาดในวัดอวิ๋นซานเขตการปกครองหวงฮวา บนผนังในห้องพักแขกของวัดมีภาพวาดโบราณลงสีที่ประวัติศาสตร์ยาวนานอยู่ภาพหนึ่ง ทุกค่ำคืนยามที่ในห้องไร้ผู้คน เมื่อแสงจันทร์ทะลุหน้าต่างสาดส่องลงมาบนผนัง คนในภาพวาดจะเดินไปตามผนังเหมือนการแสดงโคมไฟในหมู่ชาวบ้าน ปีศาจภาพวาดมักจะออกมาอาละวาดยามค่ำคืนเป็นประจำ แม้ว่าจะไม่ทำร้ายคน แต่ก็ทำให้เสียชื่อของวัดโบราณ ดังนั้นทางวัดอวิ๋นซานจึงมาขอความช่วยเหลือจากกรมพิธีการต้าหลี ตำหนักฉางชุนจึงรับงานนี้มา
หลังจากนั้นก็ต้องไปที่เขตการปกครองอวิ๋นสุ่ยของแคว้นเล็กแห่งหนึ่งที่ล่มสลายไปแล้วซึ่งสวามิภักดิ์ต่อสกุลซ่งต้าหลีแล้ว จำเป็นต้องไปช่วยเทพเซียนผู้เฒ่าท่านหนึ่งที่มีความสัมพันธ์อันดีกับตำหนักฉางชุนให้สละร่างจากโลกนี้ไป
ต่อจากนั้นคือไปเยือนอาณาเขตของราชวงศ์จูอิ๋ง ช่วยชักนำดวงวิญญาณของแม่ทัพบู๊ท่านหนึ่งของต้าหลีที่รบตายในสนามรบกลับคืนบ้านเกิด
สุดท้ายยังมีเรื่องลับอีกอย่างหนึ่งคือไปซื้อต้นสนหมื่นปีต้นเล็กๆ มาจากหอเทพเซียนของศาลลมหิมะ เรื่องนี้ค่อนข้างจะยุ่งยากอยู่บ้าง หญิงชราไม่เคยอธิบายกับผู้ฝึกตนหญิงสี่คนอย่างละเอียด และยิ่งไม่เอ่ยอธิบายอะไรกับ ‘อวี๋หมี่’ หวังเพียงว่าเมื่อไปถึงศาลลมหิมะ อวี๋หมี่จะสามารถช่วยพูดให้ได้บ้าง หมี่อวี้ยิ้มตอบตกลง บอกว่าจะทำสุดความสามารถของตน เพราะความสัมพันธ์ของเขากับเซียนกระบี่ใหญ่เว่ยแห่งหอเทพเซียนก็ธรรมดามาก หากเซียนกระบี่เว่ยอยู่ที่หอเทพเซียนด้วยพอดี เขายังพอจะทำหน้าหนาไปขอร้องอีกฝ่ายให้ช่วยเหลือได้บ้าง แต่หากเซียนกระบี่เว่ยไม่ได้ฝึกตนอยู่ในภูเขาของหอเทพเซียน เขา ‘อวี๋หมี่’ เป็นเพียงแค่ผู้ฝึกตนอิสระที่โชคดีได้ขึ้นมาอยู่บนภูเขา หากเจอกับเทพเซียนผู้เฒ่าของสำนักการทหารจากร่องต้าหนี จากบ่อน้ำมรกตเข้าจริง คาดว่าแค่พบหน้าก็คงเกิดความขลาดกลัวแล้ว
หญิงชราเองก็บอกตามตรงว่าเรื่องนี้ไม่กล้าบังคับกันให้ต้องลำบากใจ แค่สหายอวี๋หมี่ยินดีช่วยพูดสักคำสองคำก็เพียงพอมากแล้ว
พวกนางเดินทางลงใต้ไปหาประสบการณ์ครั้งนี้ หลักๆ แล้วก็มีแค่สี่เรื่องนี้ มีทั้งเรื่องง่ายและเรื่องยาก หากพบเจอกับโชควาสนาหรือเรื่องไม่คาดฝันระหว่างทางก็ยิ่งเป็นการขัดเกลาฝีมืออย่างหนึ่ง
มีผู้ฝึกตนขอบเขตชมมหาสมุทรที่ชาติตระกูลดีอย่างอวี๋หมี่อยู่ หญิงชราก็สบายใจได้หลายส่วน
ไปถึงเมืองหงจู๋ที่การค้าเจริญรุ่งเรือง จงหนันไปก็ยังคุ้งน้ำบ้านเกิดของตนเพียงลำพัง
สำหรับเด็กสาวชาวเรือในอดีตคนหนึ่งแล้ว คุ้งน้ำแห่งนั้นกับเมืองหงจู๋ก็คือฟ้าดินสองแห่งที่แตกต่างกัน
สตรีชาวเรือที่มีชาติกำเนิดต้อยต่ำ แม้แต่ถนนริมชายฝั่งของเมืองหงจู๋ก็ยังไม่อาจย่างเท้าลงไปเหยียบได้ หากละเมิดกฎจะต้องถูกลงโทษอย่างรุนแรง ถูกเนรเทศไปทำงานใช้แรงงานที่ชายแดนของต้าหลีโดยตรง จุดจบมีแต่จะอยู่ไม่สู้ตาย
พวกหมี่อวี้เข้าพักที่จุดพักม้าแห่งหนึ่ง อาศัยเอกสารผ่านด่านของเซียนซือผู้ฝึกตนตำหนักฉางชุนจึงไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินใดๆ
พอไปถึงโรงเตี๊ยมของเมืองหงจู๋ หมี่อวี้ก็ชำเลืองตามองยอดเขาของภูเขาฉีตุนแล้วส่ายหน้า คิดไม่ถึงว่าเว่ยซานจวินท่านนี้จะเป็นคนลุ่มหลงในรักคนหนึ่ง เป็นคนบนเส้นทางเดียวกันกับตนโดยแท้ มิน่าเล่าถึงได้ถูกชะตากันนัก
ใกล้ถึงยามสายัณห์ หมี่อวี้ออกจากโรงเตี๊ยมไปเดินเล่นอยู่เพียงลำพัง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!