กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 690

เมืองหลวงราชวงศ์ต้าเฉวียน เมืองเซิ่นจิ่งหลังผ่านหิมะตกหนักก็กลายเป็นทัศนียภาพอันงดงามที่หาได้ยากยิ่งบนโลกมนุษย์

เมืองเซิ่นจิ่งมีสิ่งปลูกสร้างวิจิตรหรูหรามากมาย วัดวาอารามกระจายตัวกันดุจแผนภูมิดวงดาว เป็นเหตุให้ความงดงามไม่ได้อยู่ที่ตอนหิมะตก แต่อยู่ตอนหิมะละลาย จำเป็นต้องเดินขึ้นที่สูงไปชมหิมะ หลุบตาลงต่ำมองมายังนคร ประหนึ่งดินแดนเซียนกระจกใสห้าสีที่ส่องประกายแสงแวววาวระยิบระยับ ใสกระจ่างไร้มลทิน

เจียงซ่างเจินกับฮ่วนซาฮูหยินเข้ามาในดินแดนเซียนของโลกมนุษย์แห่งนี้ยามที่หิมะละลาย เพียงแต่ว่าทัศนียภาพอันงดงามบนโลกก็เหมือนสาวงามที่ราวกับว่ามิอาจต้านทานการถูกพินิจมองนานๆ ได้ เจียงซ่างเจินเพิ่งจะเข้ามาในเมืองก็หมดความสนใจ ส่วนสตรีนั้นเป็นเพราะใจยังมีห่วงจึงไร้ความรู้สึกต่อทัศนียภาพอันงดงาม

เจียงซ่างเจินทำเอกสารผ่านด่านขึ้นมาฉบับหนึ่ง แน่นอนว่าต้องใช้ชื่อว่าโจวเฝย นี่คือชื่อดีที่มีโชควาสนายิ่งใหญ่อย่างหนึ่ง เจียงซ่างเจินนึกอยากจะเปลี่ยนชื่อบนทำเนียบของสำนักกุยหยกเป็นโจวเฝยเลยด้วยซ้ำ น่าเสียดายที่เขาเป็นเจ้าสำนัก อีกทั้งตาเฒ่าสวินที่เหมือนไท่ซ่างเจ้าสำนักผู้นั้นก็ไม่อนุญาตให้เจียงซ่างเจินทำเป็นเล่นเช่นนี้ ตาเฒ่าไม่รู้จักหลักการเหตุผลที่ว่าม้าแก่อาลัยโรงม้าไม่ทำให้คนรังเกียจเลยสักนิดจริงๆ

ฮ่วนซาฮูหยินที่สิงร่างของจิ่วเหนียงกลับไม่ต้องยุ่งยากเช่นนี้ เดิมทีนางก็มีสถานะเป็นลูกหลานตระกูลเหยาแห่งกองทัพอยู่แล้ว บิดาเหยาเจิ้น ปีนั้นแม่ทัพผู้เฒ่าลงจากหลังม้าปลดเสื้อเกราะ หันมาเป็นขุนนางในเมืองหลวง กลายเป็นเจ้ากรมกลาโหมของราชวงศ์ต้าเฉวียน เพียงแต่ได้ยินมาว่าสองปีนี้สุขภาพไม่ใคร่จะดีจึงเข้าร่วมการประชุมเช้าและการเข้ากะตอนกลางคืนน้อยครั้งมาก ฮ่องเต้หนุ่มยังตั้งใจเชิญเทพเซียนหลายท่านให้ไปช่วยขอพรให้เขาที่จวนซานจวินแห่งขุนเขากลางและตำหนักปี้โหยวลำคลองม่ายเหออีกด้วย การที่เจ้ากรมผู้เฒ่าได้รับการปฏิบัติอย่างมีเกียรติเช่นนี้ นอกจากตัวเหยาเจิ้นเองจะเป็นหัวใจหลักของกองทัพต้าเฉวียนแล้ว ยังเป็นเพราะทุกวันนี้เหยาจิ้นจือหลานสาวของเขาได้กลายเป็นฮองเฮาแห่งต้าเฉวียนแล้ว

หลังเข้ามาในเมือง เจียงซ่างเจินที่สวมชุดลัทธิขงจื๊อสีเขียวสะพายหีบตำราก็ใช้ไม้เท้าเดินป่าที่ถือไว้ในมือเคาะลงพื้นดังป้อกๆๆ เหมือนคนบ้านนอกต่างถิ่นที่เพิ่งเข้าเมืองมาเห็นโลกกว้าง เขายิ้มบางๆ เอ่ยว่า “จิ่วเหนียง เจ้าไปเยี่ยมฮองเฮาในวังโดยตรงเลย หรือว่าจะกลับจวนเหยาไปหาบิดา ไปพบเจอบุตรสาวก่อนดีล่ะ? หากเป็นอย่างหลัง ระหว่างที่เดินไปก็ต้องระวังพวกอันธพาลที่อยู่ตามตรอกซอกซอยเล็กๆ ให้มากด้วยล่ะ”

ฮ่วนซาฮูหยินคือจิ่วเหนียง แต่จิ่วเหนียงกลับไม่ใช่ฮ่วนซาฮูหยิน

หางข้างหนึ่งที่นางตัดทิ้งด้วยตัวเองซึ่งสวินยวนทอดถอนใจเอ่ยว่า ‘ตัวประหลาด’ นั้น อันที่จริงก็อยู่บนร่างของเหยาจิ้นจือ และมันก็ได้ผสานรวมเป็นหนึ่งกับจิตวิญญาณของฮองเฮาแห่งต้าเฉวียนมานานมากแล้ว ใช้มันเป็นตัวปกป้องเด็กรุ่นหลังที่แบกรับโชคชะตาอย่างเหยาจิ้นจือเอาไว้ นอกจากนี้แล้วก็เพราะฮ่วนซาฮูหยินตั้งใจแสดงให้สำนักศึกษาต้าฝูเห็นท่าทีอันเด็ดเดี่ยว ตัดหางที่เป็นรากฐานสำคัญที่สุดบนมหามรรคาไปหนึ่งหาง หล่นร่วงจากขอบเขตเซียนเหรินมาสู่ขอบเขตหยกดิบ หากวันหลังโลกเกิดกลียุคขึ้น นางก็ยังสามารถวางตัวอยู่นอกเหนือเรื่องราว ไม่ช่วยเหลือใครทั้งนั้นได้

สตรีสวมหมวกม่านบดบังใบหน้า ถามเสียงเบาว่า “เจ้าสำนักเจียงสามารถอยู่ในเมืองหลวงได้นานสุดกี่วัน?”

เจียงซ่างเจินกล่าว “ไปพบสหายเก่า ไปดื่มเหล้า ไปดูบทกลอนหนิวซานซื่อสือพีบนผนังของวัดแห่งนั้น ไปเดินเล่นที่อารามเต๋า หาโอกาสดูว่าจะได้ไปพบกับเฉาโจวฮูหยินที่ถูกเนรเทศออกจากพื้นที่มงคลร้อยบุปผาหรือไม่ แล้วก็ถือโอกาสไปดูว่าตาเฒ่าสวินมัวยุ่งทำอะไรอยู่ ให้เวลาจิ่วเหนียงสิบวันพอหรือไม่?”

สตรียอบตัวคารวะ เอ่ยว่า “ขอบพระคุณเจ้าสำนักเจียง”

คนทั้งสองจึงแยกทางกันตรงนี้ ดูท่าทางแล้วจิ่วเหนียงน่าจะไปเยี่ยมญาติที่จวนเหยาก่อน อันที่จริงร่างกายของเจ้ากรมผู้เฒ่าเหยาแข็งแรงดีมาก เพียงแต่ว่าหลายปีมานี้ตระกูลเหยาเจริญรุ่งเรืองอย่างต่อเนื่อง บวกกับที่ลูกหลานในสำนักเป็นทหารชายแดนกันหลายคน จับกลุ่มสามัคคีกันอยู่ในราชสำนัก แตกกิ่งก้านสาขา พวกเด็กรุ่นหลังที่มีทั้งสายบุ๋นและบู๊ต่างก็สร้างความสำเร็จอยู่ในราชสำนักต้าเฉวียน บวกกับที่บุตรสาวคนเล็กของเหยาเจิ้นแต่งงานกับหลี่ซีหลิง บิดาของหลี่ซีหลิง หรือก็คือบ้านดองของเหยาเจิ้นก็คือเจ้ากรมขุนนางในอดีต แม้ว่าผู้เฒ่าจะเป็นฝ่ายลาออกจากราชการเพื่อหลีกเลี่ยงข้อครหามาหลายปีแล้ว แต่ถึงอย่างไรก็เป็นผู้นำแห่งปัญญาชนที่มีลูกศิษย์ลูกหาเต็มบ้านเต็มเมือง ยิ่งเป็นขุนนางผู้คุมสอบของเจ้ากรมขุนนางคนปัจจุบัน ดังนั้นเมื่อเหยาเจิ้นเข้าเมืองหลวงมาดูแลกรมกลาโหม ระหว่างกรมขุนนางกับกรมกลาโหมจึงถูกชะตากันอย่างมาก ต่อให้เหยาเจิ้นจะมีใจอยากเปลี่ยนสถานการณ์ที่อาจละเมิดข้อต้องห้ามนี้ก็ยังไร้ความสามารถจะทำได้

พูดถึงแค่เหยาเซียนจือหลานชายของเจ้ากรมผู้เฒ่า ทุกวันนี้ก็ได้เป็นนายกองหน่วยลาดตระเวนที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ของกองทัพต้าเฉวียนแล้ว เพราะการประเมินของกรมขุนนางและการทดสอบฝีมือด้านการต่อสู้ของกรมกลาโหมในแต่ละครั้ง ล้วนมีแต่คำชมเชยยกย่องเหยาเซียนจือ บวกับที่ผลงานทางการสู้รบของเหยาเซียนจือก็โดดเด่นมากจริงๆ ฮ่องเต้ก็ยิ่งชอบน้องภรรยาผู้นี้มาก นี่จึงเป็นเหตุให้ต่อให้เหยาเจิ้นอยากจะให้หลานชายที่รักคนนี้เดินบนเส้นทางขุนนางช้าสักหน่อย ก็ยังมิอาจทำได้

กลับเป็นหลานสาวเหยาหลิ่งจือซึ่งก็คือบุตรสาวคนเดียวของจิ่วเหนียงที่ฝึกวรยุทธมาตั้งแต่เด็ก คุณสมบัติดีเยี่ยม นางค่อนข้างจะไม่เหมือนใคร หลังจากเข้าเมืองหลวงมาก็มักจะออกจากเมืองหลวงไปท่องยุทธภพเป็นประจำ ไปทีก็นานสองสามปี ไม่สนใจเรื่องการแต่งงานเลยแม้แต่น้อย พวกลูกหลานชนชั้นสูงที่ชอบออกมาเที่ยวเล่นต่างก็กริ่งเกรงสาวแก่ที่ลงมืออำมหิต อีกทั้งยังมีที่พึ่งใหญ่ผู้นี้อย่างมาก ยามเจอนางจึงมักจะเป็นฝ่ายอ้อมกันไปทางอื่น

เจียงซ่างเจินมองเรือนกายอรชรที่เดินนวยนาดจากไปแล้วยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “แบบนี้เหมือนบุรุษส่งภรรยากลับไปเยี่ยมญาติที่บ้านเลยนะ”

จากนั้นเจียงซ่างเจินก็ถามทางอย่างยากลำบากกว่าจะตามหาศูนย์ฝึกยุทธขนาดเล็กที่ชื่อเสียงไม่โดดเด่นนั้นเจอ ศูนย์ฝึกยุทธเปิดมาตั้งแต่เมื่อสิบกว่าปีก่อน เจ้าของคือหลิวจง ถือเป็นคนที่มีฝีมือเป็นลำดับสองลำดับสามของเมืองหลวงต้าเฉวียนที่มีศูนย์ฝึกยุทธตั้งเรียงราย หากมีการรวมตัวกันของเพื่อนร่วมอาชีพเพื่อปรึกษาหารือกันว่าอาจารย์หมัดต่างถิ่นคนหนึ่งจะสามารถเปิดศูนย์ขึ้นมาได้หรือไม่ ควรจะจัดการให้เจ้าของศูนย์สามท่านไปถามหมัดหยั่งเชิงฝีมือเขาอย่างไร หลิวจงก็ได้แต่นั่งอยู่ตรงที่นั่งท้าย หลังจบเรื่องทุกครั้งที่มีการถามหมัด ส่วนใหญ่หลิวจงก็จะต้องเป็นคนเปิดฉากนำขบวน เพราะว่าหลิวจงต้องแพ้อย่างแน่นอน ถือเป็นการไว้หน้าคนต่างถิ่นก่อน

นานวันเข้ายุทธภพของเมืองหลวงจึงมีคำกล่าวที่ว่า ‘ปรมาจารย์หลิวที่เจอหมัดเมื่อไหร่ก็แพ้เมื่อนั้น’ หากไม่เป็นเพราะอาศัยคำกล่าวนี้ทำให้หลิวจงพอจะมีชื่อเสียงเล็กๆ ได้บ้าง คาดว่าเจียงซ่างเจินเอาแต่ถามทางอย่างเดียวคงไม่มีทางหาที่ตั้งของศูนย์ฝึกยุทธแห่งนี้ได้เจอ

บุรุษสองคนที่เฝ้าประตูให้ศูนย์ฝึกยุทธ คนหนึ่งคือชายฉกรรจ์ร่างกายกำยำ อีกคนคือเด็กหนุ่มผอมแห้ง พวกเขากำลังกวาดหิมะที่กองทับถมอยู่หน้าประตู ชายฉกรรจ์เห็นเจียงซ่างเจินแล้ว แต่ไม่ได้สนใจ

เด็กหนุ่มที่พิจารณาเพื่อศูนย์ฝึกยุทธ หลังจากมองประเมินบุรุษที่แต่งกายเป็นบัณฑิตเดินทางทัศนาจรตรงหน้าสองสามทีก็ถามอย่างใคร่รู้ว่า “อาจารย์ท่านนี้ต้องการมาเรียนหมัดที่ศูนย์ฝึกยุทธของพวกเราหรือ?”

เจียงซ่างเจินยิ้มกล่าว “ข้าไร้ญาติไร้มิตรในเมืองหลวง โชคดีได้รู้จักกับเจ้าศูนย์หลิวของพวกเจ้าในยุทธภพ ก็เลยมาขอชาร้อนๆ จากที่นี่ดื่มสักถ้วย”

เด็กหนุ่มหัวเราะ นับว่าเป็นคนซื่อคนหนึ่ง จึงพาบัณฑิตคนนี้เดินเข้าประตูไป ศูนย์ฝึกยุทธขนาดเล็กก็มีข้อดีของศูนย์ฝึกยุทธขนาดเล็ก ไม่มีบุญคุณความแค้นที่วุ่นวายมากเกินไปนัก เหล่าชายฉกรรจ์ในยุทธภพจากต่างถิ่นที่มาใช้ชีวิตอยู่ในเมืองหลวงต่างก็ไม่ยินดีจะเอาศูนย์ฝึกยุทธของตัวเองมาซ้อมมือด้วย เพราะถึงอย่างไรหากชนะก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าโอ้อวด อีกทั้งด้วยนิสัยดีๆ ของเจ้าศูนย์ผู้เฒ่า ยิ่งไม่มีทางมีศัตรูมาเยือนถึงถิ่น

ชายฉกรรจ์ร่างกำยำที่ขนาดหิมะตกหนักก็ยังไม่สวมชุดผ้าฝ้ายบุนวม ก่อนหน้านี้กวาดหิมะอย่างเอื่อยเฉื่อย ทันใดนั้นก็เห็นว่าสตรีสองคนที่อยู่บ้านใกล้เรือนเคียงเดินผ่านมาตรงถนนหน้าศูนย์ฝึกยุทธ เขาจึงตวาดเบาๆ หนึ่งที กล้ามเนื้อพลันนูนเป่ง กดลมปราณลงสู่จุดตันเถียน งอเข่าสองข้างลงเล็กน้อย แล้วหมุนตัวเป็นวงอย่างต่อเนื่อง ทันใดนั้นหิมะที่อยู่หน้าศูนย์ฝึกยุทธก็กระจัดกระจายไปนับไม่ถ้วน สตรีสองคนอับอายจนพานเป็นโกรธ ด่าเบาๆ สองสามคำก็สาวเท้าก้าวเร็วๆ จากไป

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!