หลิ่วชื่อเฉิงหันหน้ากลับมามองหญิงสาวผู้นั้นอย่างเหม่อลอย
หลี่หลิ่วถาม “อยากตายหรือ?”
หลิ่วชื่อเฉิงกล่าวอย่างน้อยใจ “อ้อ? ศิษย์พี่ของข้าอยู่ห่างไปไม่ไกลนะ”
หลี่หลิ่วถาม “ถ้าอย่างนั้นข้าช่วยเรียกเจิ้งจวีจงมาให้เจ้าดีไหมล่ะ?”
เจ้านครจักรพรรดิขาวชื่อจริงคือเจิ้งจวีจง นามไหวเซียน (ชื่อใช้คำว่า 名 นามใช้คำว่า 字 ชื่อหมายถึงชื่อที่มีมาตั้งแต่เกิด นามจะได้มาตอนที่เข้าพิธีสวมกวานหรือพิธีปักปิ่นซึ่งแสดงถึงความเป็นผู้ใหญ่ ส่วนใหญ่แล้วชื่อมีไว้ให้ผู้ใหญ่เรียก นามมีไว้ให้ผู้น้อยหรือเด็กรุ่นหลังเรียก)
เพียงแต่ว่าในใต้หล้าไพศาลแห่งนี้มีแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่กล้าเรียกชื่อของผู้นำแห่งวิถีมารท่านนี้โดยตรง
หลิ่วชื่อเฉิงส่ายหน้าทันที “ไม่ต้องๆ ข้ามีธุระ ต้องไปก่อนแล้ว”
หลิ่วชื่อเฉิงตะเบ็งเสียงเรียกน้องหลงป๋อ บอกว่าพวกเราควรเดินทางได้แล้ว ไฉ่ป๋อฝูกลืนน้ำลาย ลุกขึ้นยืนอย่างกล้าๆ กลัวๆ แล้วทะยานลมจากไปอย่างระมัดระวัง
กู้ช่านกุมหมัดบอกลาหลี่หลิ่วแล้วจากไปทั้งอย่างนั้น
ถึงอย่างไรก็เป็นคนบ้านเดียวกัน กู้ช่านจึงไม่ได้กริ่งเกรงในตัวหลี่หลิ่วสักเท่าไร ต่อให้นางจะเหยียบหินพักมังกรให้แตกด้วยฝ่าเท้าเดียว สภาพจิตใจของกู้ช่านก็ไม่ได้มีริ้วคลื่นกระเพื่อมมากนัก
ดังนั้นบนที่ตั้งเดิมของหินพักมังกรจึงเหลือแค่ผู้เฒ่าชาวประมงที่เป็นเซียนจับปลา รอกระทั่งพวกหลิ่วชื่อเฉิงสามคนจากไปไกล ผู้เฒ่าชาวประมงจึงคุกเข่าลงหมอบกราบกับพื้น เอ่ยเสียงสั่นว่า “เสมียนเก่าของหลุมน้ำลู่คารวะ…”
หลี่หลิ่วขมวดคิ้ว ตัดบทคำพูดของผู้เฒ่าชาวประมง “เจ้าพาตู๋ฉีหลางแห่งทะเลทักษิณทั้งหมดไปที่ลำน้ำของอุตรกุรุทวีปช่วยเหลือเสิ่นหลินแห่งตำหนักวารีหนันซวิน นางจะกลายเป็นหลิงหยวนกงคนใหม่ แต่ขอบเขตยังไม่มากพอ”
ชาวประมงผู้เฒ่ายังคงไม่กล้าลุกขึ้นยืน เพียงเอ่ยเสียงดังว่า “ข้าน้อยรับคำสั่ง!”
หลี่หลิ่วยื่นมือออกไปคว้าจับ หินพักมังกรที่แหลกสลายเตรียมจมลงสู่ท้องทะเลมารวมตัวกันกลายเป็นไข่มุกเม็ดหนึ่งที่ถูกนางเก็บไว้ในชายแขนเสื้อ
หลังจากที่ร่างของเฒ่าชาวประมงหายไป เหวยไท่เจินก็มาอยู่ข้างกายหลี่หลิ่ว ถามเบาๆ ว่า “นายท่าน?”
หลี่หลิ่วกล่าว “ไปที่หลุมน้ำลู่ก่อน เจิ้งจวีจงอยู่ที่นั่นแล้ว”
เพียงแต่ว่าหลี่หลิ่วที่ทะยานลมไปหลุมน้ำลู่ยังคงไม่รีบไม่ร้อน แล้วจู่ๆ นางก็ยิ้มเอ่ยว่า “กลับไปให้เร็วสักหน่อย น้องชายข้าน่าจะไปถึงอุตรกุรุทวีปแล้ว”
เหวยไท่เจินพยักหน้ารับเบาๆ
ดังนั้นหลี่หลิ่วจึงกระชากไหล่ของภูตจิ้งจอกมา พริบตาเดียวร่างของพวกนางก็ไปโผล่ที่หลุมน้ำลู่
หลุมน้ำลู่เหมือนนครแห่งหนึ่ง หอเรือนงดงามตั้งเรียงราย ตำหนักมากมายนับไม่ถ้วน
เจ้านครจักรพรรดิขาวยืนอยู่บนยอดสุดของขั้นบันไดนอกตำหนักหลัก ข้างกายมีสตรีสวมชุดขาววังเรือนกายอ้วนฉุคนหนึ่งยืนอยู่ พอเห็นหลี่หลิ่วก็ถามเสียงเบาว่า “เจ้านคร คนผู้นี้? ใช่จริงๆ หรือ?”
บุรุษยิ้มกล่าว “เจ้าไม่ควรหลอมหลุมน้ำลู่แห่งนี้เป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิต”
หลี่หลิ่วเดินขึ้นสูงไปทีละก้าว สตรีสวมชุดชาววังพลันหน้าแดงก่ำ งอเข่าสองข้างลงเล็กน้อย รอกระทั่งหลี่หลิ่วเดินมาถึงช่วงกลางของขั้นบันได เข่าของสตรีก็ย่อจนแทบจะติดพื้น พอหลี่หลิ่วเดินไปถึงยอดสูงสุดของบันได สตรีก็ลงไปหมอบคลานอยู่กับพื้นแล้ว
บุรุษไม่ประหลาดใจแม้แต่น้อย ลำพังเพียงแค่หลุมน้ำลู่แห่งเดียว ให้มันแบกรับน้ำหนักของน้ำทะเลทั้งหมดในรัศมีหมื่นลี้ ขอบเขตบินทะยานย่อมต้องเปลืองแรงมากอยู่แล้ว
หลี่หลิ่วเหยียบลงบนหัวของปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยาน เอ่ยกับบุรุษผู้นั้นว่า “เจอกันอีกแล้ว”
เจ้านครจักรพรรดิขาวยิ้มเอ่ย “คิดจะใช้ชีวิตนี้ให้มีแค่ชีวิตนี้จริงๆ หรือ?”
หลี่หลิ่วมองไปยังทิศไกล ยังคงเหยียบอยู่บนหัวของขอบเขตบินทะยานตนนั้น พยักหน้าเอ่ยว่า “ถึงอย่างไรก็ต้องให้จบสิ้นกันสักที”
……
ท้องฟ้าใสกว้างไกลหมื่นลี้ ดวงตะวันลอยสูงกลางนภา
เด็กชายชุดเขียวกับเด็กหนุ่มชุดดำคนหนึ่งทะยานลมไกลพันลี้จากลำน้ำใหญ่มายังจุดที่สูงอย่างถึงที่สุด หลุบตาลงต่ำมองพื้นดิน คืออาณาเขตของแคว้นเล็กใต้อาณัติของราชวงศ์ต้าหยวน สถานที่แห่งนี้แห้งแล้งอากาศร้อนระอุ ไม่มีฝนติดต่อกันมานานหลายเดือนจนนับไม่ถ้วนแล้ว เปลือกต้นไม้ถูกคนเอามากินจนสิ้น ชาวบ้านลี้ภัยกระจายตัวไปอยู่แคว้นอื่น เพียงแต่ว่าชาวบ้านที่พลัดที่นาคาที่อยู่จะสามารถเดินทางได้ไกลสักเท่าไรกันเชียว นี่จึงเป็นเหตุให้มีคนหิวตายระหว่างทางไปเป็นจำนวนมาก กระดูกขาวโพลนกลาดเกลื่อน ศพคนตายนอนหนุนทับซ้อนกัน น่าสังเวชจนแทบทนมองดูไม่ได้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!