หลิ่วป๋อฉีลังเลเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยว่า “ทุกวันนี้พี่ใหญ่ทำหน้าที่เป็นผู้ตรวจการงานขุดเจาะลำน้ำใหญ่ พวกเราไม่ไปหาเขาหน่อยหรือ?”
หลิ่วชิงซานส่ายหน้า “ข้าไม่มีพี่ใหญ่อย่างเขา”
หลิ่วป๋อฉีกล่าวอย่างจนใจ “พี่ใหญ่มีเรื่องที่ลำบากใจบอกใครไม่ได้”
หลิ่วชิงซานพูดด้วยสีหน้าหม่นหมอง “แคว้นชิงหลวนมีหลิ่วชิงเฟิง ราชวงศ์ต้าหลีมีหลิ่วชิงเฟิง แต่ข้าไม่มีพี่ใหญ่เช่นนี้ ทำเนียบวงศ์ตระกูลของสวนสิงโตและสกุลหลิ่วต่างก็ไม่มีชื่อเขาอยู่”
หลิ่วป๋อฉีไม่โน้มน้าวอะไรอีก ปีนั้นหลิ่วชิงเฟิงเคยเอ่ยเตือนน้องสะใภ้อย่างนางที่นอกศาลบรรพชนว่า เรื่องบางอย่างไม่จำเป็นต้องพูดกับหลิ่วชิงซานให้มากความ
บัณฑิตที่ขากะเผลกพลันตาแดงก่ำ การขุดลำน้ำใหญ่เป็นเรื่องที่ยากลำบากถึงเพียงนั้น แถมเจ้าหมอนั่นยังไม่ใช่ผู้ฝึกตน ไม่ว่าทำอะไรก็ล้วนชอบลงแรงทำด้วยตัวเอง…
……
ต้นกำเนิดลำน้ำใหญ่สายแรกในประวัติศาสตร์ของแจกันสมบัติทวีป
สาวใช้แห่งตรอกหนีผิงนามว่าจื้อกุยยืนอยู่ริมน้ำเพียงลำพัง สีหน้าเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่างไม่แน่นอน
ลำน้ำใหญ่สายนี้มีชื่อว่าฉีตู๋!
ไม่เพียงเท่านี้ ต่อจากนี้การที่นางสามารถเดินลงน้ำได้ยังต้องยกคุณความชอบให้กับหนังสือคลายพันธะสัญญาสมควรตายในชายแขนเสื้อฉบับนั้น!
ตอนนั้นเรื่องที่คนทั้งสองผูกพันธะสัญญากัน เด็กกำพร้าตรอกหนีผิงที่ตะเกียงชีวิตอ่อนแอจนเหมือนแสงเทียนกลางสายลมผู้นั้นย่อมไม่รู้เรื่องแม้แต่น้อย
คิดไม่ถึงว่าวันนี้ไอ้หมอนี่ถึงขั้นกล้าคลายพันธะสัญญาเพียงลำพัง?!
……
ฟ้ายังไม่ทันสว่าง ในจวนของเจ้ากรมท่านหนึ่งในเมืองหลวงต้าหลี ผู้เฒ่าอายุร้อยปีคนหนึ่งที่สวมชุดขุนนางเรียบร้อยแล้วพลันเปลี่ยนใจ ไม่ไปร่วมประชุมเช้าแล้ว
ผู้เฒ่าเปลี่ยนมาสวมชุดอยู่บ้าน บ่าวรับใช้เฒ่าคนหนึ่งถือโคมไฟไว้ในมือ พากันเดินไปที่ห้องหนังสือ หลังจากจุดตะเกียงแล้ว เจ้ากรมผู้เฒ่าแห่งกรมขุนนางท่านนี้ก็นั่งลงหน้าโต๊ะหนังสือ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “กี่ปีมาแล้วที่ไม่เคยได้ตั้งใจอ่านหนังสือสักเล่มให้ดีๆ เลย?”
ถึงอย่างไรผู้เฒ่าก็อายุมากแล้ว สายตาไม่ค่อยดี จึงได้แต่เอาหน้าขยับใกล้หนังสือภายใต้แสงไฟ
ผู้เฒ่าพลันพึมพำขึ้นมาว่า “อาจารย์ชุยไม่ได้โกหกกันจริงๆ ด้วย บัณฑิตของต้าหลีเราทุกวันนี้ไม่ได้มีเพียงสถานะปัญญาชนของต้าหลีอย่างเดียวเท่านั้น ภาษาทางการของต้าหลีคำเดียวก็ถูกคนต่างถิ่นดูแคลนบทความบทประพันธ์แล้ว”
ผู้เฒ่าหันหน้าไปมองม่านราตรีนอกหน้าต่างที่ขมุกขมัว “เพียงแต่ไม่รู้ว่าบัณฑิตของต้าหลีพวกเราจะกลายเป็นบัณฑิตที่เจ็บแค้นที่สุดภายในค่ำคืนเดียวเหมือนอย่างปีนั้นหรือไม่?”
พืชพรรณที่เก่าแก่ที่สุดในเมืองหลวงมีต้นชิงถงนอกห้องหนังสือของตระกูลกวน ดอกเถิงฮวาของตระกูลหาน และดอกโบตั๋นของวัดเป้ากั๋ว
หลายปีมานี้นายท่านผู้เฒ่ากวนมักจะถอนหายใจกับรูที่มดแมลงกัดแทะบนต้นชิงถงเป็นประจำ ลูกหลานเคยแนะนำว่า ในเมื่อท่านบรรพบุรุษรักและถนอมต้นชิงถงขนาดนี้ ก็สามารถขอให้เทพเซียนบนภูเขาร่ายเวทคาถาให้ได้ ผลกลับถูกนายท่านผู้เฒ่ากวนด่าจนไม่เหลือชิ้นดี ก่นด่าว่าลูกหลานอกตัญญู มีเพียงประโยคหนึ่งที่กวนอี้หรานเอ่ยยามชื่นชมต้นชิงถงร่วมกับนายท่านผู้เฒ่ากวนเท่านั้นที่ถึงพอจะทำให้ผู้เฒ่าปล่อยวางได้หลายส่วน
ผู้เฒ่าทอดถอนใจให้กับม่านราตรีนอกหน้าต่าง “หวังเพียงว่าอย่าได้เป็นเช่นนั้นเลย บัณฑิตควรจะมีปณิธานของผู้มีความรู้และมีความกล้าหาญของบัณฑิตสักหน่อย”
พูดไม่เกินความเป็นจริง แต่ละถ้อยคำมีคุณค่าอย่างแท้จริง หาวิธีอย่างอื่นไม่ได้ ก็ไม่พูดเลื่อนเปื้อนไร้แก่นสาร
ผู้เฒ่าพลันวางตำราลง ลุกขึ้นแล้วเอ่ยว่า “รีบไปเตรียมรถ ข้าจะไปประชุมเช้า!”
บ่าวเฒ่าที่อยู่นอกประตูเอ่ยเตือน “นายท่านผู้เฒ่าเปลี่ยนชุดขุนนางก่อนดีไหมขอรับ?”
ผู้เฒ่าหัวเราะร่าเสียงดัง “สวมชุดขุนนางกับผายลมอะไรล่ะ วันนี้ข้าผู้อาวุโสจะทิ้งเรื่องราวไว้บนตำราประวัติศาสตร์ของต้าหลี ต้นฤดูใบไม้ผลิรัชศกชุนเจียปีที่หก เจ้ากรมขุนนางนามว่า… แก่แล้วจึงขี้หลงขี้ลืม สวมชุดลัทธิขงจื๊อมาร่วมการประชุมเช้า ผิดต่อหลักพิธีการอย่างยิ่ง จึงถูกขวางไว้นอกประตู อากาศฤดูใบไม้ผลิหนาวเย็น เจ้ากรมผู้เฒ่ายืนตัวแข็งหนาวสั่นอยู่นอกประตูอย่างเดียวดาย ฮ่าๆ น่าสนใจ น่าสนใจ…”
บ่าวเฒ่าเอ่ยเสริมประโยคหนึ่ง “นายท่านซ่อนของกินไว้ในชายแขนเสื้อด้วยดีไหม? หนาวจนตัวแข็งคือหาเรื่องใส่ตัว แต่หากต้องหิวโหยด้วยก็อย่าดีกว่า หากทั้งหนาวทั้งหิว ด้วยสภาพร่างกายของนายท่านคงจะรับไม่ไหวจริงๆ”
ผู้เฒ่าหัวเราะหึหึ “ประเสริฐยิ่ง!”
ผู้เฒ่าลัทธิขงจื๊อสวมชุดสีเขียวคนหนึ่งยืนอยู่บนกำแพงของเมืองหลวงต้าหลี
ด้านหลังคือเมืองหลวงต้าหลีที่ยังพอมองเห็นแสงตะเกียงได้อย่างเลือนราง ตรงหน้ามีผู้คนมากมาย มีพ่อค้าจากหลากหลายสถานที่กำลังมารอเข้าเมือง มีทั้งปัญญาชนที่เดินทางทัศนศึกษา ผู้ฝึกยุทธในยุทธภพ ปะปนไปด้วยผู้ฝึกตนบนภูเขา…
ราชครูชุยฉานหันกลับไปมองแสงตะเกียงจุดหนึ่งในเมือง นับตั้งแต่ที่เขาเป็นราชครูมา เมืองหลวงแห่งนี้ไม่ว่ายามกลางวันหรือกลางคืน เวลาร้อยกว่าปีที่ผ่านมานี้แสงไฟไม่เคยดับลงแม้สักเสี้ยววินาที ในเมืองจะต้องมีตะเกียงดวงหนึ่งที่ถูกจุดสว่างอยู่เสมอ
ต้องยกคุณความชอบให้กับตระกูลคนมีเงินสูงศักดิ์ที่จุดตะเกียงสว่างไสว ยกคุณความชอบให้กับตะเกียงฉางหมิงในวัดวาอารามน้อยใหญ่ ยกคุณความชอบให้กับปัญญาชนตรอกยากจนที่จุดตะเกียงตรากตรำอ่านตำรา…
ชุยฉานหันกลับมามองไปนอกเมือง มีพ่อค้าที่เป่าลมถูมือหาความอบอุ่น มีคนนอนขดตัวงีบหลับอยู่บนรถ มีบัณฑิตต่างถิ่นที่นัดหมายกันว่าจะมาท่องเที่ยวเมืองหลวงต้าหลีด้วยกัน เมื่อฟ้าเริ่มสว่างจึงเดินลงจากรถม้าที่จ้างม้า พากันชี้ไม้ชี้มือมายังหัวกำแพงเมือง และยังมีรถม้าของคนรวยที่พอเด็กๆ สะดุ้งตื่นก็ร้องไห้โยเยไม่หยุด ทำเอาเหล่าสตรีกลัดกลุ้มใจ
ชุยฉานยืนอยู่บนหัวกำแพงเมืองเพียงลำพัง เสียงเสื้อเกราะเหล็กของทหารที่คอยเดินตรวจตราหัวกำแพงของต้าหลีดังกระทบกันเป็นจังหวะ พวกเขาเดินผ่านด้านหลังของราชครูแล้วก็จากไปไกล
ชุยฉานหวังว่าทุกคนที่เข้ามาในเมือง โดยเฉพาะพวกคนหนุ่มสาว ก่อนจะเข้าเมืองมา ดวงตาของพวกเขาจะพกพาแสงสว่างมาด้วย
ปณิธาน ความทะเยอทะยาน ความปรารถนา
เงินทอง ทรัพย์สมบัติ ลาภยศ สาวงาม สุราชั้นดี โชควาสนา
เชิญแต่ละคนอาศัยความสามารถของตัวเองมาช่วงชิงสิ่งเหล่านี้ไปจากเมืองหลวงต้าหลีของข้าที่ไม่ว่าอะไรก็มีครบถ้วนแห่งนี้ได้เต็มที่!
……
หลิวเสี้ยนหยางออกจากทักษินาตยทวีปกลับคืนมายังบ้านเกิดอย่างเงียบเชียบอีกครั้ง ครั้งนี้เขาจะไม่จากไปแล้ว เพราะในศาลบรรพจารย์ของภูเขาเสินซิ่ว เนื่องจากสำนักกระบี่หลงเฉวียนถูกก่อตั้งขึ้นด้วยมือของหร่วนฉง ดังนั้นจึงยังไม่ได้แขวนภาพของบรรพจารย์ หลิวเสี้ยนหยางจึงแค่ต้องจุดธูปอย่างเดียวเท่านั้น
สำนักกระบี่หลงเฉวียนไม่ได้ระดมกำลังจัดงานพิธีเปิดภูเขาอย่างเอิกเกริก ทุกอย่างล้วนยึดความเรียบง่าย แม้แต่ศาลลมหิมะที่เป็นบ้านเดิมก็ไม่ได้บอกกล่าว
ไม่ใช่ภูเขาพีอวิ๋นที่อยากได้เงินจนเป็นบ้าเสียหน่อย
หร่วนฉงแค่เรียกสวีเสี่ยวเฉียวและเซี่ยหลิงที่อยู่ทางเหนือกลับมาที่ภูเขา เรียกให้พวกลูกศิษย์ผู้สืบทอดชุดแรกสุดอย่างพวกต่งกู่มากินข้าวร่วมกัน
หร่วนฉง หร่วนซิ่ว ต่งกู่ สวีเสี่ยวเฉียว เซี่ยหลิง หลิวเสี้ยนหยาง แค่หกคนเท่านั้น
หลิวเสี้ยนหยางไม่ได้ฝึกตนอยู่ในภูเขา แล้วก็ไม่ได้ไปเยือนอาณาเขตใหม่ทางทิศเหนือของเมืองหลวงต้าหลี แค่ไปอยู่ที่ร้านตีเหล็กริมลำคลองหลงซวี หลังจากที่สวีเสี่ยวเฉียวออกมาจากที่นั่น ที่นั่นก็ค่อยๆ ถูกทิ้งร้างไม่ได้ใช้ประโยชน์
แล้วก็ไม่เห็นว่าหลิวเสี้ยนหยางจะฝึกตนยังไง สำนักกระบี่หลงเฉวียนเองก็ไม่ได้ป่าวประกาศแก่คนนอกถึงสถานะลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเขา ดังนั้นทุกวันหลิวเสี้ยนหยางจึงทำเพียงแค่เดินเตร็ดเตร่ไปทั่วเท่านั้น
วันนี้ต่งกู่มาที่ร้านตีเหล็ก รออยู่นานกว่าหลิวเสี้ยนหยางที่ว่างงานจะหวนกลับมา
หลิวเสี้ยนหยางวิ่งตุปัดตุเป๋เข้ามาหา กุมหมัดยิ้มเอ่ย “ศิษย์พี่ใหญ่มาหาข้าหรือ? ทำไมไม่ส่งกระบี่บินแจ้งข่าวมาเล่า”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!