นครปี้ฮว่า บริเวณที่ใกล้เคียงกับภาพเหมือนเทพหญิงกว้าเยี่ยน เผยเฉียนตามหาร้านเล็กที่ขายสมุดคัดลอกและสมุดสำเนาภาพขุนนางสวรรค์เทพหญิงในราคาถูกแห่งนั้นเจอ เมื่อโชควาสนาทั้งแปดส่วนหายไป กิจการของร้านค้าก็ธรรมดาอย่างมาก สภาพการณ์ไม่ต่างจากร้านยาสุ้ยของตรอกฉีหลงบ้านตัวเองสักเท่าไร
เถ้าแก่คือพี่สาวอายุน้อยที่หน้าตางามพิสุทธิ์ ได้ยินอาจารย์พ่อเล่าให้ฟังว่า แม้นางจะไม่ใช่ผู้ฝึกตนของสำนักพีหมา แต่นางกับผังหลันซีกลับเป็นคู่รักเทพเซียนที่หาได้ยากคู่หนึ่ง
เผยเฉียนจึงรู้สึกเป็นกังวลเล็กน้อย ผังหลันซีผู้นั้นเป็นผู้ฝึกกระบี่บนภูเขาที่มีเวทรักษาความเยาว์ ทว่ารูปโฉมของสตรีล่างภูเขากลับต้องเสื่อมโทรมไปทุกปี ต่อให้มียาวิเศษก็ยังต้องมีวันที่เส้นผมทั้งศีรษะขาวโพลน ถึงเวลานั้นนางจะทำอย่างไร? ต่อให้คนทั้งสองจะครองรักกันอย่างยาวนาน และผังหลันซีเองก็ไม่ถือสา แต่ถึงอย่างไรนางก็ต้องแอบเสียใจอยู่บ้างกระมัง เผยเฉียนเกาหัว ไม่สู้จดจำโฉมหน้าของพี่สาวคนนี้แล้วกลับไปให้พ่อครัวเฒ่าทำหน้ากากที่หน้าตาเหมือนนางมาดีไหม? เพียงแต่เผยเฉียนก็กังวลอีกว่าตนจะทำในเรื่องที่เกินความจำเป็นหรือไม่ เฮ้อ ปวดหัว อาจารย์พ่ออยู่ด้วยก็ดีน่ะสิ
เป่าไก้ หลิงจือ ชุนกง ฉางฉิง เทพหญิงจ่านคานที่เรียกภาษาชาวบ้านว่า ‘เซียนไม้เท้า’ เทพหญิงทั้งห้าองค์นี้ ก่อนหน้าที่อาจารย์พ่อจะมาเยือนนครปี้ฮว่าคราวก่อนก็เปลี่ยนจากภาพวาดฝาผนังสีสันกลายเป็นภาพลายเส้นขาวดำแล้ว หลังจากที่อาจารย์พ่อมุ่งหน้าไปยังหุบเขาผีร้าย เทพหญิงสามองค์อย่างกว้าเยี่ยน สิงอวี่ ฉีลู่ ต่างก็พากันเลือกเจ้านายของตัวเอง ตอนนั้นเผยเฉียนกับโจวหมี่ลี่ต่างก็รู้สึกอยุติธรรมแทนอาจารย์พ่อ เทพหญิงสามองค์นั้นเป็นอย่างไรกันนะ อายุมากแล้วก็เลยสายตาไม่ดีหรือ? เพียงแต่ไม่รู้ว่าเหตุใดเผยเฉียนถึงสังเกตเห็นว่าตอนนั้นอาจารย์พ่อมีสีหน้าโล่งอก แล้วยังหัวเราะอย่างอารมณ์ดีด้วย
เผยเฉียนมาที่นี่ก็เพื่อร่วมวงความครึกครื้น นอกเสียจากนางทุบหม้อขายเหล็กแล้วก็ไม่มีทางซื้อภาพเทพหญิงนี่ได้อย่างแน่นอน
ส่วนหลี่ไหวก็ช่างเถิด เป็นคนจนยากไร้มาตั้งแต่ต้นจนจบ บนร่างไม่มีเงินเทพเซียนแม้แต่เหรียญเดียว พกมาแต่เศษก้อนเงินเท่านั้น เอาแต่กินเปล่าอยู่เปล่ากับหัวหน้าสาขาอย่างนางท่าเดียว
ไม่เป็นไร เผยเฉียนตัดสินใจแล้วว่าจะทำการค้าเล็กๆ ที่นี่ ก่อนจะลงจากเขานางได้บอกกล่าวกับเหวยอวี่ซงเทพเจ้าแห่งเงินทองของสำนักพีหมาไว้ก่อนแล้ว ผู้อาวุโสเหวยรับปากว่าหากนางกับหลี่ไหวเป็นผ้าห่อบุญน้อยที่นครปี้ฮว่าแห่งนี้ก็ไม่จำเป็นต้องมอบเงินให้แก่สำนักพีหมา
บอกลากับพี่สาวที่อ่อนโยนน่าใกล้ชิดมาแล้ว เผยเฉียนก็พาหลี่ไหวไปยังสถานที่แห่งหนึ่งที่มีคนเยอะ หาพื้นที่ว่างแห่งหนึ่งเจอ เผยเฉียนก็ปลดหีบไม้ไผ่ หยิบเอาห่อผ้าฝ้ายห่อหนึ่งที่เตรียมมาไว้นานแล้วออกมาวางปูลงบนพื้น เอายันต์กระดาษเหลืองสองแผ่นวางไว้บนผ้าฝ่าย จากนั้นก็หันไปขยิบตาให้หลี่ไหว หลี่ไหวรู้ความนัยเข้าใจโดยพลัน โอกาสทำความดีชดใช้ความผิดมาถึงแล้ว อันตรายที่จะถูกเผยเฉียนเล่นงานไม่เหลืออยู่แล้ว เป็นเรื่องดี เป็นเรื่องดี ดังนั้นจึงรีบหยิบที่ล้างพู่กันกระเบื้องเคลือบรูปเซียนนั่งแพชิ้นนั้นออกมาวางบนผ้าฝ้ายก่อนทันที จากนั้นจึงเอาของที่เหลืออีกสามชิ้นออกมา ตอนนั้นคนทั้งสองแบ่งของกันคนละครึ่ง นอกจากที่ล้างพู่กันกระเบื้องเคลือบชิ้นนี้แล้ว หลี่ไหวยังได้ที่ทับกระดาษขนาดเล็กที่ลักษณะเหมือนพิณโบราณลายพระอาทิตย์ตกดิน รวมไปถึงถ้วยลายมังกรไล่ไข่มุกที่ลงสีเคลือบลายมาใบหนึ่ง ส่วนภาพจิ้งจอกไหว้พระจันทร์ กล่องเก็บอุปกรณ์ที่แถมสิงโตสามสีมาคู่หนึ่ง และแท่นฝนหมึกเซียนประคองจันทร์เมาสุรานั้นล้วนเป็นของเผยเฉียน นางบอกว่าวันหน้าจะเอาไปมอบให้คนอื่น แท่นฝนหมึกมอบให้อาจารย์พ่อ เพราะอาจารย์พ่อเป็นบัณฑิต อีกทั้งยังชอบดื่มเหล้า ส่วนภาพไหว้พระจันทร์จะมอบให้หมี่ลี่น้อย กล่องเก็บอุปกรณ์มอบให้พี่หญิงหน่วนซู่ นางเป็นผู้ดูแลน้อยและนักบัญชีตัวน้อยของภูเขาลั่วพั่วพวกเรา พี่หญิงหน่วนซู่จะได้เอาไปใช้งานได้พอดี
ส่วนยันต์ปึกใหญ่กับเชือกสีแดงเส้นนั้น เผยเฉียนเอากระดาษยันต์ที่มีจำนวนเยอะ ส่วนหลี่ไหวก็ต้องรับเอาเชือกสีแดงที่เผยเฉียนรังเกียจ และอันที่จริงแล้วเขาก็รังเกียจยิ่งกว่ามาแต่โดยดี บุรุษตัวโตๆ อย่างพวกเขาจะเอาของเล่นแบบนี้มาทำอะไรกัน
คิดไม่ถึงว่าเผยเฉียนจะถลึงตาใส่หลี่ไหว พูดอย่างเดือดดาลว่า “โง่หรือไร พวกเราเหมือนคนที่มาจากตระกูลร่ำรวยสูงศักดิ์หรือ? เจ้าเอาสมบัติมากมายขนาดนี้ออกมารวดเดียว ใครเขาจะเชื่อ? นี่เจ้ากำลังแปะกระดาษเขียนคำว่า ‘เป็นของปลอมจริงแท้แน่นอน’ ไว้บนหน้าผากตัวเองหรือไร? กระดาษยันต์สองแผ่น ที่ล้างพู่กันกระเบื้องเคลือบชิ้นเดียวก็พอแล้ว!”
สุดท้ายเผยเฉียนกับหลี่ไหวต่างก็นั่งยองอยู่ด้านหลังแผงผ้าฝ้าย ผ้าห่อบุญน้อยที่เพิ่งเปิดร้านนี้ แท้จริงแล้วขายของแค่สองอย่างเท่านั้น ยันต์ผีวาดที่หลอกคนให้เห็นกันจะๆ สองแผ่น กับที่ล้างพู่กันกระเบื้องเซียนนั่งแพหนึ่งชิ้น
คนที่เดินผ่านมาส่วนใหญ่แค่ชำเลืองตามองกระดาษยันต์และที่ล้างพู่กันแล้วก็เดินจากไป
หลี่ไหวถามเสียงเบา “ต้องให้ข้าช่วยร้องเรียกลูกค้าหรือไม่?”
“จะร้อนใจไปไย ไม่มีใครเขาทำการค้าแบบเจ้ากันหรอก”
เผยเฉียนเอาสองมือสอดกันไว้ในชายแขนเสื้อนั่งอยู่บนพื้น พูดเสียงหยันว่า “เดิมทีก็ต้องการผู้ช่วยอยู่จริงๆ ทำการค้าน้ำไหลที่ไม่มีการทำบัญชี แค่ตั้งแผงลอยขึ้นแบบนี้ อันที่จริงก็ไม่ต่างจากการเลือกเทียบขายยาในยุทธภพสักเท่าไร วิธีการไม่ได้มีมากเหมือนกิจการบนภูเขาที่ต้องลงบัญชี แต่ก็ไม่ได้น้อย หากพวกเรามีคนมาก สามารถเอาใบปลิวไปแจก เรียกกระแสผู้คนให้มาหา รอจนคนมากแล้วค่อยเลือกคนที่เป็นแกนนำมาสักคน ให้เขาพูดอย่างชัดเจนว่าสงสัยว่าเราขายของปลอม จากนั้นก็ผลัดกันถามผลัดกันตอบ คนที่พูดเก่งหน่อยก็จะขจัดความสงสัยของพวกลูกค้าให้หมดเกลี้ยงไปได้เอง นอกจากนี้ก็หาหน้าม้าสักคน ให้สวมเสื้อผ้าที่ดูดี พูดจาเหมือนคนมีเงินยืนอยู่ในกลุ่มคน แต่ให้จงใจยืนอยู่ห่างจากคนอื่นไปหน่อย ให้เขาเปิดปากบอกว่าจะซื้อ…ช่างเถิด พูดเรื่องพวกนี้ไปก็ไม่มีความหมาย ข้างกายข้ามีแต่คนโง่อย่างเจ้าอยู่คนเดียว หากช่วยจริงๆ ก็มีแต่จะช่วยให้เสียเรื่อง ต่อจากนี้เจ้าแค่ดูอย่างเดียวก็พอ ข้อดีเพียงอย่างเดียวของเจ้าก็คือน้ำเสียงยามพูด หลังจากนี้ข้าค่อยอธิบายให้เจ้าฟังอย่างละเอียด”
เผยเฉียนหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง สีหน้าซับซ้อน เอ่ยเสียงเบาว่า “แบบที่ร้ายกาจที่สุดก็คือคนๆ เดียวสามารถเหมางานทั้งหมดมาทำเองได้ นั่นต่างหากจึงจะเป็นคนที่มีความสามารถสูงสุดในยุทธภพ ไม่ว่าไปอยู่ที่ไหนก็ไม่หิวตาย แล้วยังหาเงินก้อนใหญ่มาได้ด้วย แต่คนแบบนี้อยู่ในยุทธภพก็มีกฎเกณฑ์ข้อห้ามเยอะเหมือนกัน ยกตัวอย่างเช่นจะไม่หาเงินจนคนอื่นหมดตัวเด็ดขาด ตัวอย่างก็เช่นว่าเดิมทีในกระเป๋าเงินของคนที่ถูกหลอกมีเงินอยู่สิบตำลึงเงิน สุดท้ายจะต้องเหลือเงินไว้ให้คนผู้นี้หนึ่งถึงสองตำลึง นอกจากจะเป็นกฎเกณฑ์ของพวกผู้อาวุโสแล้วก็ยังซ่อนความรู้ใหญ่ไว้ด้วย เพราะหากเหลือทางถอยให้คนอื่น คนที่ถูกหลอกก็มักจะไม่ค่อยจดจำความแค้นเท่าใดนัก ไม่ต้องผูกปมแค้นต่อกัน แต่คนแบบนี้มีอยู่น้อยมากๆ ข้าแค่เคยได้ยินคนอื่นเล่าให้ฟังเท่านั้น ไม่เคยเห็นมาก่อน”
หลี่ไหวทอดถอนใจ “เผยเฉียน การค้าด้วยวิชาลับในยุทธภพเหล่านี้ เจ้าเข้าใจเยอะมากจริงๆ เลยนะ”
อยู่บนภูเขาลั่วพั่ว เผยเฉียนไม่ได้เป็นเช่นนี้
พอมาอยู่ในยุทธภพ ดูเหมือนว่าเผยเฉียนจะเป็นดั่งปลาที่ได้น้ำ ไม่ว่ากฎเกณฑ์หรือวิธีการแบบไหนก็ล้วนเข้าใจทั้งหมด
เผยเฉียนเงียบไปนาน “ไม่มีอะไรหรอก ก็แค่ตอนเด็กชอบเรื่องสนุกเลยเคยเห็นมาบ้างเท่านั้น อีกอย่างเจ้าอย่าเข้าใจผิด ตอนที่ข้าท่องยุทธภพอยู่ข้างกายอาจารย์พ่อไม่เคยไปดูเรื่องพวกนี้ แล้วก็ยิ่งไม่เคยทำด้วย”
ปีนั้นอยู่ในยุทธภพขนาดเล็กของเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยน ลำพังอาศัยแค่หาเงินหาข้าวกินจากงานมงคล ย่อมมีชีวิตอยู่รอดต่อไปไม่ได้
ภายหลังติดตามอาจารย์พ่อ นางก็เริ่มไม่ต้องกังวลกับเรื่องการกินการอยู่ ถึงขั้นสามารถลองจินตนาการดูได้ว่ามื้อของวันพรุ่งนี้หรือมื้อของวันมะรืนจะกินอะไรอร่อยๆ ดี ต่อให้อาจารย์พ่อไม่ตอบตกลง แต่ถึงอย่างไรในกระเป๋าอาจารย์พ่อก็มีเงิน อีกทั้งยังเป็นเงินที่สะอาดด้วย
เผยเฉียนเอ่ยกับหลี่ไหวว่า “จำเอาไว้ว่ายันต์สองแผ่นนี้ พวกเรายืนกรานขายราคาหนึ่งเหรียญเงินร้อนน้อยเท่านั้น บอกไปว่าเป็นยันต์สมบัติพิทักษ์ขุนเขาที่สืบทอดจากบรรพบุรุษของสำนักเจ้า เป็นสมบัติอาคมด้านการโจมตีอันดับหนึ่ง! หลังจากที่อาจารย์ของเจ้าตายไปก็ได้มอบไว้ให้กับลูกศิษย์หนึ่งเดียวอย่างเจ้า เพราะเจ้ามีเรื่องเร่งด่วนต้องรีบใช้เงินจึงไปเสี่ยงดวงที่ตลาดด่านไน่เหอของชายหาดโครงกระดูก ไม่อย่างนั้นให้ตายอย่างไรก็ไม่ยอมเอามาขายเป็นแน่ ใครมาต่อรองราคากับพวกเรา เจ้าไม่ต้องสนใจ เอาแต่ส่ายหน้าอย่างเดียวพอ อย่างมากสุดก็บอกไปว่าไม่ขาย ขายไม่ได้จริงๆ ส่วนที่ล้างพู่กันกระเบื้องอันนั้นก็ไม่ขายเดี่ยว หากซื้อยันต์ไป เดิมทีก็มีค่าไม่ถึงหนึ่งเหรียญเงินเกล็ดหิมะอยู่แล้ว ดังนั้นสามารถแถมไปให้ได้ ไม่เก็บเงิน”
หลี่ไหวชำเลืองตามองยันต์สองแผ่นแล้วเดาะลิ้นเอ่ยว่า “ยันต์ผุๆ สองแผ่นนี้เปิดราคาตั้งหนึ่งเหรียญเงินร้อนน้อยเลยหรือ? ต่อให้เป็นคนโง่ก็ยังไม่ซื้อกระมัง? ยังมีที่ล้างพู่กันอันนี้อีก พวกเราซื้อมาตั้งสิบเหรียญเงินเกล็ดหิมะเชียวนะ”
เผยเฉียนคอยมองประเมินนักท่องเที่ยวที่อยู่รอบด้านตลอดเวลา ได้ยินประโยคนี้ก็หัวเราะเสียงหยันเอ่ยว่า “เจ้าเทียบกับคนโง่สักคนยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ที่ล้างพู่กันอันนี้ร้านซวีเฮิ่นเปิดราคาไว้ที่สิบเหรียญเงินเกล็ดหิมะ ต่อให้พวกเราถูกหลอก ถึงอย่างไรก็ต้องมีราคาสี่ห้าเหรียญเงินเกล็ดหิมะแน่นอน ข้าจงใจพูดว่ามันไม่มีค่าแม้แต่เหรียญเงินเกล็ดหิมะเดียว เพราะอะไร? ก็เพื่อแสดงให้เห็นว่าพวกเราเป็นคนหลอกง่าย มีที่ล้างพู่กันอันนี้ให้คนรู้สึกว่าเก็บตกของดีได้ ประเด็นสำคัญคือยังช่วยขับให้ยันต์ทั้งสองแผ่นมีมูลค่ามากขึ้น เว้นเสียจากว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญที่แท้จริง คนอื่นก็มีแต่จะยิ่งไม่กล้าแน่ใจในระดับขั้นของยันต์นี้ ถึงเวลานั้นต้องมีคนจงใจแสดงท่าทีรังเกียจ แต่ก็ย้อนกลับมาอีกครั้ง พอถึงตอนนั้นพวกเราก็ยังไม่ขายเหมือนเดิม พอถึงครั้งที่สามข้าก็จะเริ่มโน้มน้าวเจ้า เจ้าก็ทำท่าลังเลแล้วพึมพำประโยคอย่างเช่นว่าขอโทษอาจารย์อะไรทำนองนั้น”
หลี่ไหวกล่าวอย่างอัดอั้น “ทำไมถึงเป็นอาจารย์ของข้าที่ตาย แต่เจ้ากลับได้แสดงเป็นคนบ้านเดียวกับข้าล่ะ?”
เผยเฉียนหยิบไม้เท้าเดินป่าขึ้นมาอย่างเดือดดาล ทำเอาหลี่ไหวตกใจตะเกียกตะกายวิ่งหนีไปไกล รอกระทั่งหลี่ไหวย้อนกลับมานั่งที่เดิมด้วยท่าทางระมัดระวัง เผยเฉียนจึงเอ่ยอย่างโมโหไม่หาย “เจ้านี่มันโง่จริงๆ ข้ามีอาจารย์จริงๆ แล้วเจ้าหลี่ไหวล่ะมีไหม?!”
“อีกอย่างตอนนี้เจ้ายังพูดภาษาทางการของอุตรกุรุทวีปได้ไม่คล่อง ดังนั้นจึงเหมาะกับการ ‘แสร้ง’ เป็นคนในพื้นที่ที่จากบ้านเกิดไปตั้งแต่เด็กพอดี คนที่อายุขนาดนี้แล้วสามารถนั่งเรือข้ามฟากของชายหาดโครงกระดูกจากแจกันสมบัติทวีปกลับมายังบ้านเกิด บนร่างมีสมบัติอยู่ชิ้นสองชิ้นก็เป็นเรื่องปกติมากไม่ใช่หรือ? อย่างมากสุดการค้าเงินเกล็ดหิมะแค่ไม่กี่สิบเหรียญก็ยังไม่ถึงขั้นทำให้เทพเซียนบนภูเขาคิดเอาชีวิตหวังชิงทรัพย์สิน หากมีจริงๆ ก็ไม่ต้องกลัว เพราะถึงอย่างไรที่นี่ก็เป็นถิ่นของสำนักพีหมา หากเป็นคนในยุทธภพแล้วข้าสู้พวกเขาไม่ได้จริงๆ พวกเราก็หนีเท่านั้นแหละ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!