เผยเฉียนชำเลืองตามองหลี่ไหว “มีอะไรให้น่าดีใจนักหนา?”
เผยเฉียนกับหลี่ไหวเดินไปที่ทางเข้านครปี้ฮว่าด้วยกัน นางเอ่ยเตือนหลี่ไหวว่า “เงินนอกรีตบางอย่าง แท้จริงแล้วล้วนอาศัยการเดิมพันด้วยชีวิตไปหามา แต่คนคนหนึ่งต่อให้โชคดีแค่ไหน ทว่าจะเอาชนะสวรรค์ได้สักกี่ครั้งกัน? แน่นอนว่าหากเป็นช่วงเวลาที่มีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้แล้วจริงๆ ก็ไม่มัวมาสนใจอะไรอีกแล้ว แต่พวกเราเป็นผ้าห่อบุญก็ไม่ถือว่าเป็นพวกนอกรีต แล้วก็ไม่หาเงินที่ทำให้คนอื่นหมดตัวด้วย หลี่ไหวอาศัยความสามารถถูกร้านสวีเฮิ่นหลอกขายแผ่นไม้แผ่นหนึ่งมา ข้าเผยเฉียนก็จะอาศัยความสามารถทวงคืนเงินร้อนน้อยเหรียญหนึ่งกลับมา”
หลี่ไหวยกมือเกาหัวทันที สมุดบัญชีเล่มเล็กของหัวหน้าสาขาปรากฏตัวในยุทธภพอีกแล้วแหะ
หลี่ไหวเริ่มเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “คิดราคาไว้เรียบร้อยแล้วหรือยัง?”
“คิดแล้ว หนึ่งเหรียญเงินฝนธัญพืช”
หลี่ไหวอึ้งงันเป็นไก่ไม้ พวกเราทำการค้าเช่นนี้ออกจะจิตใจชั่วร้ายไปหน่อยหรือไม่?
เผยเฉียนกล่าว “ไม่ใช่ร้านผ้าห่อบุญอย่างก่อนหน้านี้แล้ว ถ้าอย่างนั้นก็สามารถต่อราคาสูงเทียมฟ้ากันได้แล้ว ผู้เฒ่าคนนั้นนิสัยเป็นอย่างไรแค่ดูที่ชายหญิงเด็กรุ่นหลังสองคนที่อยู่ข้างกายเขาก็เข้าใจได้ชัดเจนแล้ว ก่อนหน้านี้ข้ากับผู้เฒ่าหั่นราคากัน ทั้งชายและหญิงคู่นั้นต่างก็รู้สึกว่า…น่าสนใจ สายตาของพวกเขาล้วนเที่ยงตรง มนุษย์เรานั้นแบ่งแยกกันเป็นกลุ่ม ดังนั้นผู้เฒ่าจึงไม่ใช่คนเลวร้ายอย่างแน่นอน หากเป็นพวกที่มีกลอุบายจิตใจดำมืดจริงๆ ก็คงได้แต่โทษที่ข้าเผยเฉียนสายตาไม่ดี โทษที่พวกเราสองคนไม่ควรมาเป็นร้านผ้าห่อบุญที่นครปี้ฮว่าแห่งนี้ ไม่ควรมาท่องยุทธภพในอุตรกุรุทวีปแห่งนี้”
หลี่ไหวยิ้มเอ่ย “ข้าไม่โทษเรื่องไร้สาระพวกนี้หรอก”
เผยเฉียนพยักหน้า “ดังนั้นข้าถึงได้พาเจ้าออกมาท่องยุทธภพด้วยกันอย่างไรล่ะ”
หลี่ไหวกุมสองหมัด เบี่ยงตัวเดินหันข้าง “ขอบคุณท่านหัวหน้าสาขาที่ถ่ายทอดความรู้ให้”
เผยเฉียนเอ่ย “ไสหัวไปเลย”
หลี่ไหวหัวเราะแล้วเอ่ยคำหนึ่งว่ารับทราบ ก่อนจะเดินเคียงไหล่ไปกับเผยเฉียน
เผยเฉียนกล่าว “น้ำในยุทธภพลึก หากมีวันใดพบเจอกับอันตรายจริงๆ แล้วข้าบอกให้เจ้าจากไปเพียงลำพัง เจ้าห้ามลังเลเด็ดขาด”
หลี่ไหวเงียบไม่ต่อคำ
เผยเฉียนเคยบอกว่านางคือผู้ฝึกยุทธขอบเขตหก หลี่ไหวรู้สึกว่ายังดี ปีนั้นในขณะที่เดินทางไกลไปด้วยกัน อายุของอวี๋ลู่ในเวลานั้นเมื่อเทียบกับอายุของเผยเฉียนตอนนี้แล้วยังน้อยกว่า ดูเหมือนว่าเขาเองก็เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตหกมานานแล้ว ไปถึงสำนักศึกษาได้ไม่นานเท่าไร ครานั้นที่ทะเลาะกับคนอื่นเพื่อตน อวี๋ลู่ก็ได้เลื่อนเป็นขอบเขตเจ็ด ภายหลังศึกษาต่ออยู่ในสำนักศึกษานานหลายปี บางครั้งก็ติดตามพวกอาจารย์ออกเดินทางไกลบ้าง แต่ก็ไม่มีโอกาสได้ไปคบค้าสมาคมกับคนในยุทธภพ ดังนั้นหลี่ไหวจึงไม่ค่อยมีความคิดอะไรต่อขอบเขตหก ขอบเขตเจ็ดอะไรนี่สักเท่าไร บวกกับที่ตัวเผยเฉียนเองก็บอกแล้วว่าผู้ฝึกยุทธขอบเขตหกนี้ของนางไม่เคยเข่นฆ่ากับคนอื่นอย่างแท้จริงมาก่อน โอกาสที่ได้ประลองฝีมือกับคนวัยเดียวกันมีไม่มาก ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยไว้ก่อนจึงต้องหักลบสักหน่อย ยามอยู่ในยุทธภพแล้วเผชิญหน้ากับศัตรู เผยเฉียนจึงคิดว่าตัวเองมีขอบเขตแค่ขอบเขตห้าเท่านั้น
หลี่ไหวกล่าวอย่างอัดอั้น “ไม่มีทาง เจิ้งต้าเฟิงมักจะบอกว่าข้ามีโชควาสนา หากเดินบนถนนแล้วไม่เหยียบขี้หมาก็ยังไม่เรียกว่าออกจากบ้านด้วยซ้ำ ดังนั้นพวกเราออกมาท่องยุทธภพครั้งนี้ ต้องไม่มีทางโชคร้ายไปอย่างไรแน่”
หลี่ไหวพลันคลี่ยิ้มกว้าง เขย่าหีบไม้ไผ่ด้านหลัง “เห็นไหมล่ะ ที่ล้างพู่กันกระเบื้องเคลือบในหีบของข้าอันนั้นก็เป็นตัวพิสูจน์ที่ดีไม่ใช่หรือ?”
เผยเฉียนถาม “ทุกครั้งที่ออกจากบ้านแล้วเหยียบขี้หมา เจ้าดีใจนักหรือ?”
หลี่ไหวไร้คำพูดตอบโต้
ก่อนที่หลี่ไหวจะกัดฟัน เอ่ยเบาๆ ว่า “เผยเฉียน พวกเรามาตกลงกันดีไหม ที่ล้างพู่กันกระเบื้องเคลือบอันนั้น พวกเราไม่ขายแล้วได้หรือไม่ ข้าอยากเอาไปมอบให้พี่สาวข้า นางเป็นลูกศิษย์ฝ่ายนอกที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่อของเซียนซือผู้เฒ่าบนยอดเขาสิงโต อันที่จริงก็คือต้องไปเป็นสาวใช้ให้คนอื่น แค่ท่านแม่กับพี่สาวข้าไม่สะดวกจะพูดก็เท่านั้น บ้านข้ายากจน ปีนั้นพี่สาวข้าต้องไม่มีของขวัญกราบอาจารย์ที่เข้าท่าเข้าทีอะไรแน่นอน อันที่จริงพี่สาวดีกับข้ามาก ส่วนท่านแม่ก็ลำเอียงเข้าข้างข้ามาตั้งแต่เด็ก พี่สาวข้าไม่เคยโกรธเลยสักครั้ง…”
หลี่ไหวเตรียมใจไว้แล้วว่าจะต้องถูกเผยเฉียนทุบตี
คิดไม่ถึงว่าเผยเฉียนจะเอ่ยว่า “ก็ได้ๆ แน่นอนว่าต้องได้อยู่แล้ว เดิมทีที่ล้างพู่กันชิ้นนั้นก็เป็นของของเจ้าอยู่แล้ว ต่อให้ขายได้ราคาหนึ่งเหรียญเงินฝนธัญพืช ข้าก็ไม่มีทางเอามาแม้แต่เหรียญทองแดงเดียว เจ้าเต็มใจแบบนั้น ข้าจะขวางเจ้าทำไม”
หลี่ไหวรู้สึกรับมือไม่ทันอยู่บ้าง กำลังจะเอ่ยปากพูด เผยเฉียนก็กลอกตามองบนใส่ “ไสหัวไป”
หลี่ไหวยิ้มเอ่ย “ได้เลย”
หลี่ไหวเงียบไปครู่หนึ่งก่อนถามว่า “ทำไมล่ะ?”
เผยเฉียนนึกถึงเรื่องเล็กๆ เรื่องหนึ่งที่จวนปี้โหยวลำคลองม่ายเหอตอนที่ตัวเองยังเด็ก
เรื่องบางอย่าง ของบางอย่าง เดิมทีก็ไม่ควรเป็นเรื่องของเงินๆ ทองๆ
เผยเฉียนไม่ได้เอ่ยอะไรกับหลี่ไหว
แล้วก็จริงดังคาด เผยเฉียนกับหลี่ไหวรอที่หน้าประตูนครปี้ฮว่าพักเดียว ผู้เฒ่าคนนั้นก็มาหา
เผยเฉียนกุมหมัดเอ่ย “ผู้อาวุโส ขออภัยจริงๆ ที่ล้างพู่กันอันนั้นเราไม่ขายแล้วจริงๆ”
ผู้ฝึกตนเฒ่ามองแม่นางน้อยที่มีดวงตาใสกระจ่าง แม้ว่าจะแปลกใจ แต่ผู้เฒ่าก็ยังพยักหน้ารับ ใช้เสียงในใจยิ้มเอ่ยว่า “แม่นางน้อย ยันต์นั้นมีราคาหรือไม่ เจ้าและข้าล้วนรู้กันดีอยู่แก่ใจ แต่ที่ล้างพู่กันเซียนนั่งแพชิ้นนั้นมีมูลค่าถึงสองสามเหรียญเงินร้อนน้อยจริงๆ ความมหัศจรรย์ของมันไม่ได้อยู่ที่เป็นเครื่องกระเบื้อง แต่อยู่บนตัวอักษรที่สลักไว้ตรงก้นเครื่องกระเบื้องที่มีค่ามาก วันหน้าหากเจ้ากับสหายเป็นร้านผ้าห่อบุญอีกก็อย่าขายในราคาต่ำเด็ดขาด แน่นอนว่าต้องระวังคนที่มีเจตนาชั่วร้ายด้วย ทางที่ดีที่สุดควรขายของสิ่งนี้ให้กับภูเขาใหญ่ๆ อย่างนครปี้ฮว่า ถ้ำสวรรค์วังมังกร หรือไม่ก็สวนน้ำค้างวสันต์ หากหักค่าใช้จ่ายของเรือข้ามฟากตระกูลเซียนแล้วก็ยังได้กำไรอยู่ดี”
เผยเฉียนลังเลเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มถามว่า “สามารถถามนามและสำนักของท่านผู้อาวุโสได้หรือไม่? วันหน้าหากมีโอกาส พวกเราอยากไปเยี่ยมเยือน”
นักพรตเฒ่าโบกมือยิ้มเอ่ยสัพยอก “พบเจอกันโดยบังเอิญในยุทธภพ อย่าได้ถามชื่อแซ่ หากมีวาสนาย่อมได้พบกันใหม่ แล้วนับประสาอะไรกับที่แม่นางน้อยอย่างเจ้าก็เดาสถานะคนต่างทวีปของข้าออกตั้งนานแล้วไม่ใช่หรือ? ดังนั้นคำพูดเกรงใจนี้เอ่ยอย่างไม่ค่อยจริงใจเท่าไรกระมัง”
เผยเฉียนมองผู้เฒ่า พลันกุมหมัด รวมเสียงให้เป็นเส้นเอ่ยเสียงหนักกับผู้เฒ่าว่า “ผู้ฝึกยุทธเผยเฉียน ขอลาผู้อาวุโสมา ณ ที่นี้!”
ผู้เฒ่าอึ้งตะลึง ก่อนจะยิ้มอย่างอารมณ์ดี “ดี!”
หลี่ไหวมองเผยเฉียนที่เหมือนคนแปลกหน้าในเวลานี้แล้วก็พลันรู้สึกอิจฉาและรู้สึกเลื่อมใสอยู่ไม่น้อย
ผู้ฝึกตนเฒ่าพาลูกศิษย์สองคนขึ้นภูเขาบรรพบุรุษของสำนักพีหมา ไปหยุดพักที่ศาลาแขวนกระบี่ซึ่งอยู่กึ่งกลางภูเขาชั่วคราว
ผู้ฝึกตนเฒ่ายิ้มเอ่ย “อยากถามก็ถามเถอะ”
สตรีถามว่า “อาจารย์ เด็กสาวคนนั้นเป็นผู้ฝึกยุทธเต็มตัวหรือ? ขอบเขตที่เท่าไรแล้ว?”
ผู้เฒ่าคิดแล้วก็ลูบหนวดยิ้ม ทอดสายตามองแม่น้ำเหยาเย่ที่อยู่ห่างจากตีนเขาไปไม่ไกล เอ่ยแค่สองคำที่ไม่ตรงกับคำถามว่า “มิน่าเล่า ก็จริงนะ”
เหวยอวี่ซงมาที่ศาลาแขวนกระบี่ด้วยตัวเอง กุมหมัดยิ้มเอ่ย “ยินดีต้อนรับท่านบรรพบุรุษน่าหลันแห่งสำนักเบื้องบน เจ้าสำนักอยู่ที่เมืองชิงหลู เยี่ยนซู่อยู่ที่ซากปรักตระกูลเซียนของภาพเทพหญิง กำลังชี้แนะเวทกระบี่ให้กับผังหลันซีลูกศิษย์ผู้สืบทอด มาไม่ได้ อีกท่านหนึ่งนั้น คาดว่าขอแค่ได้ยินว่าบรรพจารย์น่าหลันมาเยือน ต่อให้มาถึงตีนเขาแล้วก็คงเลี้ยวหัวกลับออกเดินทางไกลทันที”
ผู้เฒ่ายิ้มเอ่ย “ไม่เป็นไรหรอก ขอแค่เจ้าไม่พูดเรื่องเงินกับข้าก็พอ เพราะข้าไม่มี”
เหวยอวี่ซงร้องอ้อหนึ่งที “ถ้าอย่างนั้นข้าไปล่ะ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!