ก่อนที่เผยเฉียนจะออกจากนครปี้ฮว่ามาถามหมัดกับเทพลำคลองเซวีย
บนซากปรักจวนเซียนในภาพวาดฝาผนังของนครปี้ฮว่า เยี่ยนซู่บรรพจารย์ผู้คุมกฎบอกให้ผังหลันซีลูกศิษย์ผู้สืบทอดเพียงหนึ่งเดียวของตนฝึกกระบี่ต่อไป หากอยากจะหยุดพักผ่อนสักครู่ก็ได้เหมือนกัน ส่วนเยี่ยนซู่เปิดตราผนึกย้อนกลับมาที่ศาลบรรพจารย์บนภูเขามู่อี จากนั้นก็ทะยานลมมายังศาลาแขวนกระบี่ที่อยู่กึ่งกลางภูเขา คารวะบรรพจารย์น่าหลันจากสำนักเบื้องบนของสำนักพีหมาที่มาจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง อย่าเห็นว่าบรรพจารย์น่าหลันมองดูเหมือนใกล้ชิดกับคนได้ง่าย ในฐานะบรรพจารย์ผู้คุมกฎของสำนักเบื้องบน เขาเข้มงวดอย่างยิ่ง เคยจัดการเอาชีวิตผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนกับมือของตัวเองมาก่อน
บรรพจารย์ผู้คุมกฎท่านหนึ่งที่มาจากสำนักเบื้องบน อายุมากแล้ว ความอาวุโสก็สูงมาก คือศิษย์น้องของเจ้าสำนักเบื้องบน บรรพจารย์ทั้งไม่ส่งกระบี่บินแจ้งข่าวมาก่อน แล้วก็ไม่ได้ตรงไปที่ศาลบรรพจารย์บนยอดเขา แน่นอนว่าเยี่ยนซู่ต้องอดกระวนกระวายใจไม่ได้
ภูเขามู่อีที่มองไปทางใดก็มีแต่สีเขียวชอุ่ม ตรงกึ่งกลางภูเขามีเมฆขาวล้อมวนอยู่ตลอดทั้งปี ประหนึ่งเจ๋อเซียนสวมชุดเขียวรัดเข็มขัดหยกสีขาว
ตอนที่เยี่ยนซู่มาถึงศาลาแขวนกระบี่ บรรพจารย์น่าหลันกำลังดื่มสุราร่วมกับเหวยอวี่ซง ผู้เฒ่าเมามายหัวเราะเสียงดังไม่หยุด โบกมือสะเปะสะปะวุ่นวายปัดให้เมฆขาวนอกศาลาแตกกระจาย
เยี่ยนซู่ถอนหายใจโล่งอก ขอแค่บรรพจารย์น่าหลันดื่มเหล้าก็ค่อนข้างพูดได้ง่ายแล้ว ถือว่าเหวยอวี่ซงสร้างคุณความชอบครั้งหนึ่ง
บุรุษและสตรีอายุน้อยที่สะพายกระบี่คู่นั้นเป็นฝ่ายหันมาคารวะเยี่ยนซู่ก่อน เยี่ยนซู่ถึงกับหนังตาสั่นระริก
ได้ยินชื่อเสียงและเลื่อมใสมานาน บุรุษนามสุ้ยย่วน สตรีนามเฉิงซิน เป็นคู่รักกัน ล้วนเป็นขอบเขตก่อกำเนิด แม้ว่าตอนนี้ยังไม่เลื่อนสู่ห้าขอบเขตบน แต่ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะได้เป็นว่าที่เจ้าของหน่วยอู๋ฉางแห่งศาลบรรพจารย์ของสำนักเบื้องบน
ผู้ที่เดินบนเส้นทางอู๋ฉางบนโลกมนุษย์ นอกจากพวกวิชานอกรีตบางอย่างที่ไม่พูดถึงแล้ว ล้วนมาจากสำนักเบื้องบนสำนักพีหมาของตนทั้งสิ้น (เดินบนเส้นทางอู๋ฉาง หรือโจ่วอู๋ฉาง เป็นความเชื่อสมัยโบราณที่ว่าคนมีชีวิตสามารถไปทำงานในโลกคนตายได้)
บรรพจารย์น่าหลันไม่พาลูกศิษย์ผู้สืบทอดเดินทางไกลข้ามทวีป แต่กลับพาบุคคลที่ตอแยได้ยากสองคนนี้มาเยือนสำนักเบื้องล่าง เดิมทีนี่ก็เป็นการเตือนอย่างหนึ่ง
หลังจากเยี่ยนซู่นั่งลงแล้ว เหวยอวี่ซงก็พูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “บรรพจารย์น่าหลันมาเพื่อซักไซ้เอาความผิด รู้สึกว่าพวกเรามีความเกี่ยวพันกับสกุลซ่งต้าหลีมากเกินไป”
สตรีที่มีนามว่าเฉิงซินหยิบตำราเล่มหนึ่งออกจากชายแขนเสื้อมามอบให้เยี่ยนซู่ ยิ้มเอ่ยว่า “ผู้คุมกฎเยี่ยนเชิญอ่านตำราเล่มนี้ก่อน
เยี่ยนซู่ไม่เข้าใจ แต่ยามที่ตำราเข้ามาอยู่ในมือก็รู้ถึงระดับขั้นของมัน ไม่ใช่ตำราตระกูลเซียนอะไร สีหน้าของเหวยอวี่ซงมีแววกลัดกลุ้ม เยี่ยนซู่จึงเริ่มเปิดตำราอ่าน
ส่วนบรรพจารย์น่าหลันนั้นดื่มเหล้ากับเด็กรุ่นหลังของสำนักเบื้องล่างอย่างเหวยอวี่ซงต่ออีกครั้ง ก่อนหน้านี้ผู้ฝึกตนเฒ่าเกือบจะซื้อที่ล้างพู่กันกระเบื้องเคลือบเซียนนั่งแพมาจากนครปี้ฮว่า ด้านล่างของที่ล้างพู่กันกระเบื้องอันนั้นแกะสลักด้วยถ้อยคำที่ไม่สอดคล้องกับกฎเกณฑ์ เป็นเพียงบทกลอนที่ไม่เคยพบว่ามีการบันทึกไว้ที่ไหน ‘นั่งแพไปรับแขกเทพเซียน เคยไปถึงข้างสามดวงดาว’
ผู้ฝึกตนเฒ่าเห็นแล้วก็ชอบ เพราะว่าดูของเป็น ยิ่งเห็นแล้วถูกชะตา หาใช่ว่าที่ล้างพู่กันกระเบื้องนั้นเป็นวัตถุตระกูลเซียนที่ดีอะไรมากมาย หรือเป็นสมบัติอาคมที่ร้ายกาจอะไรนัก มันมีค่าแค่สองสามเหรียญเงินร้อนน้อยเท่านั้น แต่ผู้ฝึกตนเฒ่ากลับยินดีจะซื้อไว้ด้วยเงินฝนธัญพืชหนึ่งเหรียญ เพราะกลอนประโยคนี้ไม่ได้เผยแพร่ไปทั่วทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ทว่าผู้ฝึกตนเฒ่ากลับรู้จักพอดี ไม่เพียงรู้จัก ยังเคยเห็นคนที่แต่งกลอนกับตา และได้ยินเขาแต่งกลอนบทนี้กับหู
ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางและเทพเซียนบนยอดเขาที่สนิทสนมกับบรรพจารย์น่าหลันล้วนรู้ดีว่าผู้เฒ่าชอบบทกวี นอกจากกลอนชิงสือ กลอนเซียนท่องเที่ยวแล้ว ก็ยังชอบกลอนผีฝูจี ประเภทหนึ่งเป็นเรื่องกล่าวขานที่ดีงามคล้ายคลึงกับผีฮั่นหลิน ผู้ที่เขียนบทกลอนส่วนใหญ่จะเป็นหออักษร อีกประเภทหนึ่งคือผีเฒ่าของราชวงศ์ก่อน ชอบอยู่ท่ามกลางบทกลอน เกี่ยวพันกับคนโบราณในตำราและเจ้าสำนักที่แต่งบทกวีในแต่ละยุคแต่ละสมัย ขอแค่ผู้เฒ่าเคยเห็นและเคยได้ยินมาก็มักจะจดบันทึกเอาไว้
แต่บรรพจารย์น่าหลันรู้สึกว่าจุดที่น่าสนใจที่สุดของกลอนบทนี้ไม่ได้อยู่ที่เนื้อหาของมัน แต่อยู่ที่ชื่อ เป็นชื่อที่ยาวมาก ถึงขั้นยังมีตัวอักษรมากกว่าเนื้อหาเสียอีก ‘ปลายปีหยวนเป่า ยามทิวาเมาสุรายืนพิงประตูชุนหมิงหลับไป ฝันว่านั่งแพล่องธารดาราไปพร้อมชิงถงเทียนจวิน สะดุ้งตื่นจากฝัน แรงบันดาลใจบังเกิด จึงแต่งบทกวี’
ปีนั้นผู้เฒ่ายังเป็นแค่เด็กหนุ่ม มีครั้งหนึ่งติดตามอาจารย์ลงจากภูเขา จากนั้นก็ได้ไปเจอกับบัณฑิตตกอับนามว่า ‘ป๋ายเหย่’ ที่ร่อนเร่พเนจรอยู่ในราชวงศ์โลกมนุษย์ อาจารย์เลี้ยงเหล้าเขา บัณฑิตจึงใช้บทกวีจ่ายเป็นเงินค่าเหล้า ตอนนั้นเด็กหนุ่มได้ยินชื่อกลอนที่ยาวมากๆ แล้ว เดิมนึกว่าบทกลอนนั้นจะเป็นกลอนบทยาวที่มีหลายร้อยตัวอักษร คิดไม่ถึงว่าขนาดรวมประโยคว่า ‘นั่งแพไปรับแขกเทพเซียน เคยไปถึงข้างสามดวงดาว’ แล้วก็ยังมีแค่ยี่สิบแปดตัวอักษรเท่านั้น เด็กหนุ่มจึงอดถามไม่ได้ว่า ไม่มีแล้วหรือ? บัณฑิตผู้นั้นกลับหัวเราะเสียงดังแล้วเดินออกจากประตูไป
บรรพจารย์น่าหลันวางกาเหล้าลง ถามว่า “อ่านจบหรือยัง?”
เยี่ยนซู่สีหน้าเขียวคล้ำ เอ่ยเสียงทุ้มหนักว่า “บรรพจารย์น่าหลันก็เชื่อเนื้อหาในตำรานี่ด้วยหรือ?”
บรรพจารย์น่าหลันหลุดหัวเราะพรืด
เหวยอวี่ซงกล่าว “บรรพจารย์น่าหลันอยากจะยืนยันเรื่องหนึ่งให้แน่ใจว่า เหตุใดหนังสือแบบนี้ถึงได้ค่อยๆ แพร่หลายในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง เป็นเหตุให้แค่ขึ้นเรือข้ามทวีปก็สามารถหาซื้อมาได้ ในตำราเขียนอะไร อาจจะสำคัญ หรืออาจจะไม่สำคัญ แต่สรุปแล้วเป็นใคร แล้วเพราะเหตุใดถึงเขียนตำราเล่มนี้ ทำไมสำนักพีหมาของพวกเราถึงได้เกี่ยวพันกับเฉินผิงอันที่กล่าวถึงในตำรา นี่คือเรื่องเดียวที่บรรพจารย์น่าหลันต้องการจะรู้”
บรรพจารย์น่าหลันปัดเมฆขาวที่อยู่ระหว่างภูเขาให้แหลกละเอียด ส่วนเยี่ยนซู่นั้นบีบตำราในมือจนแหลกยับ จากนั้นก็โยนทิ้งไปนอกศาลาแขวนกระบี่อย่างไม่ใส่ใจ ให้เยี่ยนซู่เป็นผู้คุมกฎเขายังทำได้ แต่จะให้ไปถกเถียงหลักการเหตุผลกับคนอื่น เขาไม่เชี่ยวชาญ ดังนั้นจึงรู้สึกอัดอั้นอย่างถึงที่สุด ถึงกับขอเหล้ากาหนึ่งมาจากเหวยอวี่ซง
บรรพจารย์น่าหลันเอ่ยเนิบช้าว่า “จู๋เฉวียนใสซื่อเกินไป ยามคิดเรื่องราวต่างๆ มักจะชอบคิดเรื่องซับซ้อนให้เรียบง่าย เหวยอวี่ซงอยากหาเงินมากเกินไป ใจคิดแต่อยากจะเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ชักหน้าไม่ถึงหลังของสำนักพีหมา ถือเป็นคนที่ในดวงตามีแต่เงินปีนออกมาไม่ได้ เยี่ยนซู่พวกเจ้าสองคนที่เป็นบรรพจารย์ของสำนักพีหมาก็เอาแต่ต่อยตีด่าคนไม่สนใจเรื่องอื่น หากข้าไม่มาเยือนด้วยตัวเอง ไม่มาเห็นกับตาตัวเองก็คงไม่วางใจ”
เยี่ยนซู่กระดกเหล้าเข้าปากแรงๆ คำหนึ่ง เอ่ยอย่างอัดอั้นว่า “บรรพจารย์น่าหลันคงไม่ได้มาแค่มองดูชายหาดโครงกระดูกแวบสองแวบกระมัง ถึงอย่างไรหากสำนักเบื้องบนต้องการจะระบายโทสะเพราะเรื่องนี้ก็ต้องหาแพะรับบาปให้ได้ เป็นเรื่องง่ายดายนัก เรื่องนี้ข้าเยี่ยนซู่จะเป็นคนแบกรับไว้เองก็แล้วกัน ไม่เกี่ยวกับข้องจู๋เฉวียนและเหวยอวี่ซง”
บรรพจารย์น่าหลันเอ่ย “ก่อนจะมา ทางสำนักเบื้องบนมีข้อสรุปแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็จะต้องตัดขาดการค้านี้กับภูเขาพีอวิ๋นและสกุลซ่งต้าหลีให้ได้ ส่วนเหตุใดข้าถึงต้องมาที่นี่ แน่นอนว่าเพราะศาลบรรพจารย์ของสำนักเบื้องบนค่อนข้างจะโมโห พวกเจ้าก็น่าจะรู้ชัดเจนดีว่าสำนักพีหมาก็ดี สำนักเบื้องบนของแผ่นดินกลางก็ช่าง ยังไม่ต้องพูดถึงว่าความจริงเป็นอย่างไร พูดถึงแค่คนประเภทที่กล่าวถึงในหนังสือที่เต็มไปด้วยกลอุบาย เอาแต่อาศัยชะตาชีวิตที่ดี แสร้งทำเป็นฝึกฝนจิตใจ แต่แท้จริงแล้วดีแต่ฝึกฝนกำลัง บนเส้นทางการฝึกตนก็เอาแต่รับไม่มีให้ แต่ไหนแต่ไรมาทางสำนักก็ชิงชังคนแบบนี้เป็นที่สุด ยอมเชื่อว่ามีดีกว่าไม่มี แล้วนับประสาอะไรกับที่ตำราเล่มนี้แพร่หลายไปเร็วขนาดนี้ ทางสำนักเบื้องบนย่อมไม่ยินดีปล่อยให้ตลอดทั้งสำนักพีหมาตกลงไปในหลุมอาจมเพียงเพราะเงินเทพเซียน”
บรรพจารย์น่าหลันเอ่ยกับเยี่ยนซู่ว่า “ต่อให้จู๋เฉวียนจะไม่สนใจอะไรแค่ไหนก็ยังเป็นเจ้าสำนักของสำนักหนึ่ง พูดประโยคที่ไม่น่าฟังสักหน่อย เจ้าเยี่ยนซู่คิดจะรับความผิดไว้แทน อาศัยอะไร? อีกอย่างนิสัยของเจ้าเฉวียนเอ๋อร์น้อยนั่น ก็ยังไม่ถึงคราวที่เจ้าจะได้เป็นคนดีหรอก”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!