กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 696

ปีนั้นนางถูกนายท่านป๋ายเจ๋อท่านนี้เก็บกลับมาบ้านก็ได้ถามอย่างใคร่รู้ว่าเหตุใดในหอพิทักษ์เมืองถึงต้องแขวนภาพเหมือนของปรมาจารย์มหาปราชญ์ เพราะจะดีจะชั่วนางก็รู้ดีว่า ต่อให้เป็นหลี่เซิ่งที่เป็นผู้ตั้งกฎเกณฑ์ของมารยาทพิธีการในใต้หล้าก็ยังปฏิบัติต่อนายท่านของตนอย่างมีมารยาท เรียกอย่างนอบน้อมว่า ‘อาจารย์’ (เซียนเซิง) ส่วนนายท่านอย่างมากสุดก็แค่เรียกอีกฝ่ายว่า ‘อาจารย์น้อย’ เท่านั้น อีกอย่างนายท่านป๋ายเจ๋อเองก็ไม่เคยทำสีหน้าดีๆ อะไรให้กับรองเจ้าลัทธิศาลบุ๋นหรือผู้อำนวยการสถานศึกษาเห็น ต่อให้มีครั้งหนึ่งที่หย่าเซิ่งเดินทางมาเยือนด้วยตัวเองก็ยังได้แต่หยุดเท้าอยู่นอกธรณีประตูเท่านั้น

ในความเป็นจริงแล้ว ‘สยบป๋ายเจ๋อ’ แห่งนี้แตกต่างจากหอพิทักษ์เมืองอีกแปดแห่งที่เหลือที่สยบโชคชะตาอย่างสิ้นเชิง คิดว่าที่นี่เป็นแค่ของตกแต่งอย่างหนึ่งเท่านั้นจริงๆ หรือไร เดิมทีสยบป๋ายเจ๋อไม่จำเป็นต้องแขวนกรอบป้ายด้วยซ้ำ เพียงแต่ว่านายท่านลงมือเขียนด้วยตัวเอง และนายท่านก็เคยบอกให้ฟังถึงสาเหตุว่าการที่ทำเช่นนี้ ก็หนีไม่พ้นเพื่อไม่ให้พวกอริยะปราชญ์ของสำนักศึกษาสถานศึกษาทั้งหลายเข้าประตูมา ต่อให้จะมีหน้ามาสร้างความรำคาญให้เขาป๋ายเจ๋อก็ไม่มีหน้าเข้ามานั่งในห้อง

มีข้อยกเว้นเพียงอย่างเดียว

ซิ่วไฉเฒ่า

ตอนนั้นระหว่างทางที่ไปรับหนังสือ ชิงอิงพลาดเจอกับเหวินเซิ่งที่กำลังเป็นดั่ง ‘ดวงตะวันกลางนภา’ ในปีนั้นไป

ภายหลังนางถึงได้ยินคนจิ๋วกลิ่นหอมหนังสือที่พักพิงอยู่ในคานห้องเล่าให้ฟังว่า ซิ่วไฉเฒ่าผู้นั้นไม่เพียงเดินตุปัดตุเป๋เข้ามาในห้อง ยังบอกว่านายท่านใหญ่ป๋ายเจ้าไม่พิถีพิถันเอาเสียเลย มาพึ่งพิงอยู่ใต้ชายคาผู้อื่น ไม่รู้จักให้ความเคารพเจ้าของก็แล้วไปเถิด ไม่ว่าอย่างไรก็น่าจะไว้หน้ากันให้พอเป็นพิธีบ้างสิ พอภาพนี้แขวนลงไปก็สามารถลดทอนปัญหายุ่งยากไปได้ไม่น้อย ไม่แขวนก็เสียเปล่า จากนั้นซิ่วไฉเฒ่าก็เอาภาพเหมือนของปรมาจารย์มหาปราชญ์มาแขวนลงไปเองโดยพลการ โชคดีที่นายท่านป๋ายเจ๋อไม่ได้ปลดลงมาแล้วโยนไปนอกประตู มันเลยแขวนอยู่อย่างนั้นเรื่อยมาก

ซิ่วไฉเฒ่าที่ถูกป๋ายเหย่ใช้หนึ่งกระบี่ส่งออกมาจากใต้หล้าแห่งที่ห้าหันตัวกลับมาอย่างขุ่นเคือง สะบัดม้วนภาพในมือ “นี่ข้าก็กลัวว่าตาเฒ่าที่ห้อยเด่เพียงลำพังบนผนังออกจะโดดเดี่ยวไปหน่อยไม่ใช่หรือไร แขวนภาพหลี่เซิ่งกับเหล่าซาน ตาเฒ่าก็อาจจะไม่ดีใจเสมอไป คนอื่นไม่รู้ แต่นายท่านใหญ่ป๋ายเจ้ายังไม่รู้อีกหรือว่าตาเฒ่านั้นโปรดปรานข้าเป็นที่สุด…”

ป๋ายเจ๋อยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “มียางอายหน่อยเถอะ”

ซิ่วไฉเฒ่าทั้งเจ็บแค้นทั้งเศร้าระทมสุดขีด กระทืบเท้าเอ่ยว่า “ฟ้าดินกว้างใหญ่ ก็มีแค่ที่นี่ของเจ้าเท่านั้นที่สามารถวางตำราสองสามเล่มของข้า แขวนภาพเหมือนของข้าเอาไว้ได้ เจ้าจะใจดำปฏิเสธได้ลงคือเชียวหรือ? มันเกะกะตาเจ้านักหรือไร?”

“เกะกะมากเลยล่ะ”

ป๋ายเจ๋อพยักหน้า จากนั้นก็เอ่ยว่า “ศาลบรรพจารย์ภูเขาลั่วพั่วของลูกศิษย์คนสุดท้ายของเจ้าก็ไม่ได้แขวนภาพเหมือนของเจ้าไว้แล้วหรอกหรือ?”

ดวงตาของซิ่วไฉเฒ่าเป็นประกายวาบ เขารอคำนี้อยู่เชียว พูดคุยกันแบบนี้สิถึงจะน่าสนุก เจ้าหนอนหนังสือป๋ายเหย่พูดนั้นคุยกันค่อนข้างยากจริงๆ เขาวางม้วนภาพลงบนโต๊ะอย่างไม่ใส่ใจ เดินไปทางห้องหนังสือของป๋ายเจ๋อที่อยู่ด้านข้าง “นั่งๆๆ นั่งลงคุยกัน จะเกรงใจไปไย มาๆๆ จะคุยเรื่องลูกศิษย์คนสุดท้ายของข้าให้เจ้าฟัง ปีนั้นเจ้าเองก็เคยพบเขาแล้ว แล้วยังอาศัยคำมงคลของเจ้า น้ำใจควันธูปครั้งนี้ไม่น้อยเลย พวกเราสองพี่น้องจึงต้องเรียกว่าเป็นครอบครัวที่สนิทลึกซึ้งกันยิ่งขึ้นไปอีก…”

แล้วซิ่วไฉเฒ่าก็หันไปยิ้มกล่าวกับชิงอิง “เจ้าคงเป็นแม่นางชิงอิงกระมัง รูปโฉมงดงามจริงๆ วันหน้ารบกวนแม่นางเอาภาพเหมือนของข้าไปแขวนให้ที จำไว้ว่าต้องแขวนในตำแหน่งต่ำหน่อย ตาเฒ่าย่อมไม่ถือสาแน่นอน เพราะข้าก็นับว่ามีมารยาทมากแล้ว นายท่านใหญ่ป๋าย เจ้าดูสิพอข้ามีเวลาว่าง แม้แต่ศาลบุ๋นยังไม่ไปเยือน กลับมานั่งเล่นที่บ้านเจ้าก่อน เจ้าเองหากมีเวลาว่างก็ไปนั่งเล่นที่ภูเขาลั่วพั่วบ้างสิ ออกจากบ้านครานี้ใครกล้าขัดขวางนายท่านใหญ่ป๋ายอย่างเจ้า ข้าจะเอาเรื่องเขาเอง จะแอบไปที่ศาลบุ๋นกระโดดตบเขาสักฉาด รับรองว่านายท่านใหญ่ป๋ายต้องได้รับความยุติธรรมแน่นอน! ใช่แล้ว หากข้าจำไม่ผิดล่ะก็ แม่หนูหน่วนซู่กับเจ้าลูกกระต่ายหลิงจวินบนภูเขาลั่วพั่ว ปีนั้นเจ้าเองก็เคยได้เจอแล้วเหมือนกัน ช่างเป็นเด็กสองคนที่น่ารักยิ่งนัก คนหนึ่งจิตใจงดงามบริสุทธิ์ อีกคนหนึ่งใจจืดใจดำ ผู้อาวุโสคนใดเห็นแล้วจะไม่ชอบบ้างเล่า”

เดิมทีชิงอิงยังเลื่อมใสเหวินเซิ่งที่สูญเสียสถานะผู้ที่ได้รับการบูชาในศาลบุ๋นผู้นี้อย่างมาก วันนี้ได้พบอีกฝ่ายกับตัวเอง นางก็ไม่เลื่อมใสอีกฝ่ายแม้แต่น้อยแล้ว

เหวินเซิ่งที่บอกกันว่าคารมคมคายจนใครก็สู้ไม่ได้ ความรู้หยั่งรากลงในโลกมนุษย์อย่างมั่นคงอะไรนั่น วันนี้มองดูแล้วกลับเป็นแค่คนหน้าไม่อายชัดๆ นับตั้งแต่ซิ่วไฉเฒ่าแอบเข้ามาในห้องลับหลังนายท่าน กระทั่งถึงตอนนี้ที่พูดจาเหลวไหลส่งเดช มีประโยคใดบ้างที่สอดคล้องกับสถานะของอริยะ มีประโยคใดบ้างที่มีภาพบรรยากาศของความยิ่งใหญ่เที่ยงตรงดั่งปากอมคำสั่งสวรรค์?

ปีนั้นหย่าเซิ่งผู้นั้นมาเยือน ต่อให้ไม่ได้พูดมาก แต่กลับทำให้ส่วนลึกในใจของชิงอิงเกิดความรู้สึกเหมือนอีกฝ่ายเป็นภูเขาสูงที่ตนได้แต่แหงนหน้ามอง

ซิ่วไฉเฒ่านั่งลงบนเก้าอี้เพียงตัวเดียวที่มีอยู่ด้านหลังโต๊ะ ในเมื่อแต่ไหนแต่ไรมาหอพิทักษ์เมืองแห่งนี้ไม่เคยต้องรับรองแขก ย่อมไม่ต้องการเก้าอี้ที่เกินความจำเป็น

ป๋ายเจ๋อเองก็ไม่ถือสาที่ซิ่วไฉเฒ่าเป็นแขกที่ทำตัวเหมือนเจ้าบ้าน เขายืนพูดว่า “มีธุระอะไรก็ว่ามา ไม่มีธุระก็ไม่ไปส่งแล้ว”

ซิ่วไฉเฒ่าขยับก้น เอ่ยอย่างปลงอนิจจังว่า “นานแล้วที่ไม่ได้นั่งสบายๆ แบบนี้”

ป๋ายเจ๋อกล่าว “ถูกข้าโยนออกไปจากที่นี่ ศักดิ์ศรีที่เหลืออยู่ไม่มากของเจ้าก็ถือว่าหมดสิ้นอย่างสิ้นเชิงแล้ว”

ซิ่วไฉเฒ่าพลันตบโต๊ะดังป้าบ “บัณฑิตมากมายขนาดนั้น ขนาดจะเล่าเรียนหนังสือยังทำไม่ได้ ชีวิตก็ไม่เหลืออยู่แล้ว จะเอาหน้าตาศักดิ์ศรีไปทำอะไรกัน?! เจ้าป๋ายเจ๋อไม่รู้สึกผิดต่อตำราอริยะปราชญ์ในห้องนี้บ้างหรือ? หา?!”

ชิงอิงตกใจสะดุ้งโหยง

ป๋ายเจ๋อขมวดคิ้วกล่าว “จะเตือนเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย พูดคุยเรื่องวันวานนั้นได้ ข้ายังพอจะอดทนกับเจ้าได้ แต่หากคิดจะพูดถึงคุณธรรมยิ่งใหญ่อะไรกับข้าก็อย่าดีกว่า ควันธูปน้อยนิดที่ส่ายไหวระหว่างเจ้าและข้านั้นมิอาจต้านรับลมปากใหญ่โตขนาดนี้ของเจ้าได้”

ซิ่วไฉเฒ่าเปลี่ยนสีหน้าทันที ขยับก้นยกขึ้นลอยพ้นจากเก้าอี้เล็กน้อยแสดงถึงการขอขมาและความจริงใจ ไม่ลืมใช้ชายแขนเสื้อเช็ดโต๊ะตรงที่ตัวเองตบลงไปก่อนหน้านี้ด้วย เขาหัวเราะฮ่าๆ พลางเอ่ยว่า “เมื่อครู่นี้แค่ใช้น้ำเสีงของเหล่าซานกับรองเจ้าลัทธิทั้งสองพูดกับเจ้าเท่านั้น วางใจเถอะ วางใจเถอะ ข้าไม่พูดเรื่องสายบุ๋นของใต้หล้า เรื่องกิจการใหญ่พันปีอะไรกับเจ้าหรอก ข้ามาพูดคุยเรื่องวันวาน แค่พูดคุยเรื่องวันวานเท่านั้น แม่นางชิงอิง ไปหาเก้าอี้สักตัวมาให้นายท่านใหญ่ป๋ายของพวกเราที ไม่อย่างนั้นให้ข้านั่งพูดอยู่อย่างนี้ มโนธรรมในใจย่อมไม่สงบ”

ป๋ายเจ๋อโบกมือบอกเป็นนัยให้ชิงอิงออกไปจากห้อง

ชิงอิงไม่กล้าแสดงอารมณ์ออกมาทางสีหน้ามากนัก นางยอบตัวคารวะซิ่วไฉเฒ่าตามกฎเกณฑ์แล้วเดินเยื้องย่างจากไป

ใบหน้าของซิ่วไฉเฒ่ามีรอยยิ้มมองส่งสตรีจากไป จากนั้นก็เปิดตำราเล่มหนึ่งแล้วพูดสะท้อนใจเสียงเบาว่า “ในใจอาจไม่ได้เห็นด้วยกับเรื่องมารยาทพิธีการเสมอไป แต่ยังคงทำอะไรตามกฎเกณฑ์ หลี่เซิ่งไม่มีอะไรดีไปมากกว่านี้แล้ว”

ป๋ายเจ๋อเอ่ย “ความอดทนมีขีดจำกัด จงถนอมไว้ให้ดี”

ซิ่วไฉเฒ่าเปิดหน้าหนังสือไม่หยุด วางเล่มหนึ่งลงแล้วก็หยิบเล่มถัดไปขึ้นมา ยืดคอยาวชำเลืองตามองคำอธิบายบนหน้ากระดาษว่างเปล่าในตำราที่ป๋ายเจ๋อเขียนเอาไว้ แล้วพยักหน้าเอ่ยว่า “มุ่งศึกษาหลักพระธรรม อธิบายถ้อยคำภาษาโบราณ เรียนรู้เรื่องความหมายและเสียง ลำพังเพียงแค่การถ่ายทอดก็แบ่งออกเป็นหลายช่องทางทั้งเล็กใหญ่ ในนอก เสริมรวม ความรู้ดีๆ มีมากเกินไป ชีวิตคนสั้นเกินไป ง่ายที่จะทำให้บัณฑิตรุ่นหลังเหมือนตกอยู่ท่ามกลางเมฆหมอกจริงๆ โดยเฉพาะเมื่อตำรามีมากเข้า จากการค้นหาเสี่ยงอันตรายถึงจะได้เข้าไปในภูเขาเงินภูเขาทอง บางครั้งได้รับผลเก็บเกี่ยวกลับมาก็จะยิ่งทะนุถนอมเห็นค่าเป็นเท่าทวี ไปถึงบ้านสมบัติอัญมณีมีมากมายนับไม่ถ้วน ค่อยๆ โยนทิ้งเหมือนรองเท้าคู่เก่า บวกกับที่หลักการเหตุผลของอริยะปราชญ์เอาแต่โน้มน้าวให้คนสละผลประโยชน์ สอนวิธีใช้ชีวิตให้กับคน แต่กลับไม่สอนวิชาที่จะทำให้คนมีชีวิตอย่างสงบสุข ยากที่จะผสมผสานกลมกลืนเข้าด้วยกันได้อย่างแท้จริง ถึงท้ายที่สุดแล้วก็ไม่อาจดีได้”

ป๋ายเจ๋อถอนหายใจ “เจ้าตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่าจะไม่ยอมจากไปใช่ไหม?”

ซิ่งไฉเฒ่าวางตำราลง มือทั้งสองจัดกองหนังสือให้ทับซ้อนกันอย่างเป็นระเบียบ พูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “กลียุคบังเกิด ผู้กล้าปรากฏ”

สีหน้าของป๋ายเจ๋อเริ่มมีโทสะ

ซิ่วไฉเฒ่ายิ้มกล่าว “บัณฑิตมีเรื่องที่ต้องลำบากใจมากมาย ถึงขั้นยังต้องทำเรื่องที่ผิดต่อเจตนารมณ์ของตัวเอง ขออาจารย์ป๋ายโปรดให้อภัยด้วย”

ป๋ายเจ๋อเอ่ย “ข้าให้อภัยมากแล้ว”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!