บทที่ 696.3 สุ้ยสุ้ยผิงอัน – ตอนที่ต้องอ่านของ กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!
ตอนนี้ของ กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายกำลังภายในทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง บทที่ 696.3 สุ้ยสุ้ยผิงอัน จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที
เซียนกระบี่ใหญ่ผู้เฝ้าประตูจางลู่ยังคงนั่งกอดกระบี่งีบหลับอยู่ตรงนั้น จุดจบของสำนักอวี่หลงแห่งใต้หล้าไพศาล เขาได้เห็นกับตาตัวเองมาแล้ว รู้สึกว่ายังอยู่ไกลเกินกว่าคำว่าพอนัก
เขาจางลู่ไม่มีทางปล่อยกระบี่ส่งผู้ฝึกตนของใต้หล้าไพศาล แต่เขาก็ไม่มีทางช่วยส่งกระบี่ให้แก่ใต้หล้าไพศาลเด็ดขาด
เขาแค่รอดูเรื่องสนุก ถึงอย่างไรใต้หล้าไพศาลก็ชอบดูงิ้วสนุกๆ ยิ่งกว่าเขาอยู่แล้ว
อดีตอิ่นกวานเซียวสวิ้นที่ทรยศกำแพงเมืองปราณกระบี่ และยังมีเซียนกระบี่สองท่านของสายอิ่นกวานเก่าอย่างลั่วซาน จู๋อานได้เดินทางไปร่วมกับปีศาจใหญ่บนบัลลังก์สองตนอย่างเฟยเฟยและหยางจื่อที่ทำหน้าที่รับผิดชอบคอยเปิดทาง เดิมทีจะต้องขึ้นฝั่งที่ใบถงทวีปด้วยกัน แต่พวกปีศาจใหญ่ที่เหลืออีกสามตนซึ่งมีหย่างจื่อ เฟยเฟย และเหย้าเจี่ยที่แฝงตัวไปด้วยเป็นหนึ่งในนั้นกลับเปลี่ยนใจกะทันหัน ไปยังน่านน้ำมหาสมุทรที่กว้างใหญ่ไพศาลซึ่งอยู่ระหว่างแจกันสมบัติทวีปกับอุตรกุรุทวีปแทน มีเพียงเซียวสวิ้นเพียงคนเดียวที่ฝ่าปราการขุนเขาสายน้ำของหนึ่งทวีป แล้วฝ่าค่ายกลใหญ่ร่มใบถงของสำนักใบถงซ้ำอีก ในฐานะผู้ฝึกกระบี่ นางกลับยังคงจะไปถามกระบี่กับจั่วโย่ว
จั่วโย่วกลายร่างเป็นแสงกระบี่เส้นหนึ่งที่พุ่งไปนอกมหาสมุทร เซียวสวิ้นไม่มีความสนใจอะไรในสำนักใบถง จึงทิ้งพวกมดฝูงนั้นเอาไว้ไม่สนใจ ถ่มน้ำลายลงพื้นหนึ่งทีแล้วหมุนตัวติดตามจั่วโย่วไป
แม้ว่าเซียวสวิ้นจะฝ่าปราการค่ายกลใหญ่สองแห่งเข้าไปในอาณาเขตของสำนักใบถงได้ แต่เห็นได้ชัดว่านางยังคงถูกมหามรรคาของฟ้าดินกดกำราบเอาไว้มาก นี่ทำให้นางไม่พอใจอย่างยิ่ง ดังนั้นการที่จั่วโย่วเป็นฝ่ายออกมาจากพื้นดินของใบถงทวีปด้วยตัวเอง เซียวสวิ้นที่ตามมาด้านหลังจึงเอ่ยประโยคหนึ่งกับเขาบนสนามรบอย่างที่หาได้ยาก “จั่วโย่ว ปีนั้นโดนไปหมัดหนึ่ง รักษาบาดแผลหายแล้วหรือยัง? หากถูกข้าฆ่าตายก็อย่ามาโทษว่าข้าฉวยโอกาสจากเจ้าล่ะ”
จั่วโย่วคร้านจะพูดกับนาง ถึงอย่างไรเหตุผลก็ล้วนอยู่บนกระบี่
ฝ่ายเซียวสวิ้นก็ยิ่งทำตัวป่าเถื่อนมาจนเคยชิน ในเมื่อเจ้าจั่วโย่วมีปราณกระบี่มากจนเป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้าไพศาล ถ้าอย่างนั้นเจ้าปล่อยมาเท่าไรข้าก็จะซัดให้แหลกมากเท่านั้น
ผู้ฝึกตนของสำนักใบถงแต่ละคนแหงนหน้ามองจุดที่เงาร่างทั้งสองหายตัวไป คนส่วนใหญ่ยังอกสั่นขวัญผวาไม่คลาย ไม่รู้ว่าแม่นางน้อยมัดผมแกละคนนั้นเป็นเทพเซียนจากฝ่ายใดกันแน่ หรือจะเป็นปีศาจใหญ่บนบัลลังก์คนหนึ่ง?
หลังจากที่ชายเคราดกถามกระบี่กับเฉินฉุนอันที่ทักษินาตยทวีปไปแล้ว ก็ยังไม่มีสงครามเปิดฉากขึ้นชั่วคราว กองทัพใหญ่เผ่าปีศาจของใต้หล้าเปลี่ยวร้างเพียงแค่ย้ายภูเขาพลิกมหาสมุทร ทุ่มขุนเขาจำนวนนับไม่ถ้วนของใต้หล้าเปลี่ยวร้างลงสู่มหาสมุทรใหญ่เพื่อปูเป็นเส้นทาง จัดทัพอยู่บนทะเล คุมเชิงกับนาตยทวีปที่ห่างไปพันลี้อยู่ไกลๆ บางครั้งก็มีผู้ฝึกตนใหญ่แห่งใต้หล้าไพศาลที่มาให้การช่วยเหลือสกุลเฉินผู้รอบรู้ ใช้เวทอภินิหารกระแทกโจมตีลงบนมหาสมุทร ก็จะมีปีศาจใหญ่ออกจากกองทัพมาต้านทานเวทคาถาอันน่าครั่นคร้ามเหล่านั้น แต่ก็เพียงแค่นี้เท่านั้น ในบรรดาคนที่ลงมืออยู่ในทักษินาตยทวีปก็มีบรรพบุรุษตระกูลไหวที่อยู่อันดับล่างสุดของสิบคนแห่งทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางรวมอยู่ด้วย
ส่วนฝูเหยาทวีปก็มีเซียนกระบี่ผู้เฒ่าโจวเสินจือที่อันดับรายชื่ออยู่เบื้องหน้าบรรพบุรุษตระกูลไหว เขาเฝ้าพิทักษ์ถ้ำซานสุ่ยที่ในศาลบรรพจารย์ไม่มีภาพเหมือนของบรรพบุรุษแขวนไว้แล้วด้วยตัวเอง
ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง หลิวเสียทวีป ธวัลทวีป วิญญูชนอริยะปราชญ์ของสำนักศึกษาและสถานศึกษาทุกคนในสามทวีปต่างก็แยกย้ายกันไปเยือนหรดีฝูเหยาทวีป อาคเนย์เกราะทองทวีปและทักษินาตยทวีปแล้ว
ถ้ำซานสุ่ยที่เหลือแต่ชื่อของฝูเหยาทวีป ผู้เฒ่าร่างกำยำคนหนึ่งยืนอยู่นอกศาลบรรพจารย์บนยอดเขา
ข้างกายคือบุรุษหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา ฉีถิงจี้แห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่
นอกจากนี้ยังมีคนรุ่นเยาว์อีกหลายคน คนหนึ่งในนั้นคือคนหนุ่มชุดขาวที่เนื้อหนังมังสาทัดเทียมได้กับเซียนกระบี่ฉี ผู้ฝึกยุทธขอบเขตยอดเขาคนหนึ่งที่อายุประมาณสามสิบปี เฉาสือ
และยังมีอีกสามคนที่สนิทคุ้นเคยกับเฉาสือเป็นอย่างดี หลิวโยวโจวแห่งธวัลทวีป ไหวเฉียนแห่งทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง และผู้ฝึกยุทธหญิงอวี้เจวี้ยนฟู
ไหวเฉียนคล้ายเพิ่งหายจากอาการป่วยหนัก สีหน้าซีดขาว แต่ไม่ได้ดูอ่อนระโหยโรยแรง
น่าหลันไฉ่ฮ่วนผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดคนหนึ่งที่บอกว่าตนมาจากเรือนชุนฟานภูเขาห้อยหัว ทุกวันนี้คือเจ้าของถ้ำซานสุ่ยในนาม เพียงแต่ว่าตอนนี้กลับไปทำการค้ากับราชวงศ์ในโลกมนุษย์แห่งหนึ่ง นางทำหน้าที่เป็นคนดูแลตระกูลน่าหลันของกำแพงเมืองปราณกระบี่มานานหลายปี จึงสะสมทรัพย์สินส่วนตัวเอาไว้ได้ไม่น้อย คฤหาสน์หลบร้อนและสายอิ่นกวานไม่ได้มีข้อห้ามกับการกระทำของนางหลังจากเข้ามาอยู่ใต้หล้าไพศาลมากนัก แล้วนับประสาอะไรกับที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ก็ไม่เหลืออยู่แล้ว จะเอาอะไรมาพูดถึงสายอิ่นกวาน แต่น่าหลันไฉ่ฮ่วนก็ยังไม่กล้าทำเกินขอบเขต ไม่กล้าหาเงินเทพเซียนที่ผิดมโนธรรม เพราะถึงอย่างไรทักษินาตยทวีปก็ยังมีลู่จือ ดูเหมือนว่าฝ่ายหลังจะมีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวกับอิ่นกวานหนุ่มด้วย
โจวเสินจือที่เพิ่งขี่กระบี่มาถึงฝูเหยาทวีปได้ไม่นานถามว่า “ศิษย์หลานของข้าได้ทิ้งคำสั่งเสียอะไรไว้หรือไม่?”
ฉีถิงจี้ส่ายหน้า “ไม่”
โจวเซินจือเอ่ย “ทำตัวไม่เอาไหนไร้ค่ามาแล้วชีวิตหนึ่ง กว่าจะสร้างวีรกรรมครั้งหนึ่งได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ขู่เซี่ยก็น่าจะพูดอะไรเพื่อตัวเองบ้าง ได้ยินมาว่าที่กำแพงเมืองปราณกระบี่มีร้านเหล้าที่หลอกเอาเงินคนอยู่ร้านหนึ่ง บนผนังแขวนป้ายสงบสุขเอาไว้ ขู่เซี่ยไม่ได้เขียนอะไรไว้สักสองสามประโยคเลยหรือ?”
อวี้เจวี้ยนฟูส่ายหน้า “ไม่มี”
โจวเสินจือเสียดายเล็กน้อย “หากรู้ว่าจะเป็นอย่างนี้แต่แรก ปีนั้นควรจะเอ่ยเกลี้ยกล่อมเขาสักคำ ในเมื่อชอบสตรีผู้นั้นจริงๆ ก็ควรจะอยู่ที่นั่นไปเลย ถึงอย่างไรปีนั้นที่กลับมาทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ข้าก็ไม่มีทางมองเขาสูงขึ้น ศิษย์น้องคนนั้นของข้าเป็นพวกดื้อรั้น ลูกศิษย์ที่สอนออกมาก็ดื้อดึงไม่ต่างกัน ปวดหัวจริงๆ”
อวี้เจวี้ยนฟูกล่าวเสียงหนัก “ท่านปู่โจว อันที่จริงผู้อาวุโสขู่เซี่ยไม่เคยเป็นคนไร้ค่า!”
โจวเสินจือรีบคลี่ยิ้มทันใด พยักหน้าเอ่ยว่า “ถึงอย่างไรก็เป็นศิษย์หลานของข้า ไม่มีทางไร้ค่าไปได้มากเท่าไรแน่ เพียงแต่ว่าอาจารย์ลุงอย่างข้าเงื่อนไขสูงไปเท่านั้น คำพูดประโยคนี้มีเพียงข้าคนเดียวเท่านั้นที่พูดได้ คนนอกกล้าเอ่ยส่งเดชหรือ? แน่นอนว่าต้องไม่กล้า”
ครั้งนี้หลิวโยวโจวแอบคนในตระกูลเดินทางมายังฝูเหยาทวีป ทั้งรอบคอบระมัดระวัง แล้วก็ทั้งลิงโลดอย่างถึงที่สุด ครั้งนี้แอบท่านพ่อท่านแม่ออกมาจากบ้านก็จริง ทว่าของที่ควรพกมาด้วยกลับไม่ลดน้อยเลยสักชิ้น วัตถุจื่อชื่อสามชิ้นบรรจุข้าวของไว้เต็มไปหมด เขาอยากจะมอบสมบัติให้ทุกคนที่พบหน้าเลยด้วยซ้ำ คนอื่นปลอดภัย เขาก็จะปลอดภัย น่าเสียดายที่พี่น้องคนดีอย่างเฉาสือและสหายอย่างไหวเฉวียนไม่ยอมรับเอาไว้ พี่หญิงอวี้ก็เป็นผู้ฝึกยุทธเต็มตัว ติดที่หน้าตาจึงไม่อาจปฏิเสธ แต่นางแค่รับเอาเสื้อเกราะจิงเหว่ยไปสวมไว้เป็นพิธีเท่านั้น ไม่อย่างนั้นหากพูดถึงพวกชุดคลุมอาคมที่อยู่ในวัตถุจื่อชื่อ หลิวโยวโจวก็ยังอีกอยู่หลายชิ้นที่ระดับขั้นไม่เลว
หลิวโจวโยวเหลือบตามองไหวเฉียนอย่างระมัดระวัง แล้วค่อยมองอวี้เจวี้ยนฟู รู้สึกว่าบรรยากาศแปลกๆ
ก่อนหน้านี้อวี้เจวี้ยนฟูกลับจากกำแพงเมืองปราณกระบี่มายังใต้หล้าไพศาลก็ได้ฝ่าทะลุขอบเขตไปอีกขั้น เลื่อนเป็นขอบเขตเดินทางไกลแล้ว
แต่หลังจากที่ไหวเฉียนกลับมาจากอุตรกุรุทวีปก็ไม่รู้ว่าทำไมขอบเขตถึงถดถอยไปเยอะมาก ไม่ได้ฝ่าทะลุขอบเขต แต่หยุดค้างอยู่ที่ขอบเขตชมมหาสมุทรมาโดยตลอด
อวี้เจวี้ยนฟูกะพริบตาปริบๆ เอ่ยว่า “ข้าไม่ชอบเฉินผิงอันเสียหน่อย ข้าแพ้เขาที่กำแพงเมืองปราณกระบี่สามครั้งรวด แน่นอนว่าก็อยากหาโอกาสเอาคืน เจ้าคิดอะไรกัน ไม่เหมือนเฉาสือเลยนะ”
เฉาสือกล่าว “ข้าอยากถามเจ้าว่ารอให้วันหน้าเฉินผิงอันกลับมาที่ใต้หล้าไพศาลแล้ว เจ้าอยากจะถามหมัดเขาหรือไม่ต่างหาก”
อวี้เจวี้ยนฟูหัวเราะร่า “ทุกวันนี้เฉาสือพูดมากจังเลยนะ ไม่ค่อยเหมือนเมื่อก่อนเลย”
เฉาสือเอ่ย “ข้าจะเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตสิบอยู่ที่นี่”
อวี้เจวี้ยนฟูพยักหน้ารับ “ตั้งตารอคอย”
……
หลังจากโอสถทองแตกสลายติดกันสิบสองครั้ง ในที่สุดก็ได้เลื่อนเป็นขอบเขตยอดเขา
ทว่าหลังจากเลื่อนเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตเก้าแล้ว เรื่องที่โอสถทองแตกกลับมีประโยชน์ต่อวิถีวรยุทธน้อยนิดอย่างยิ่ง แต่กระนั้นก็พอมีประโยชน์อยู่บ้าง ดังนั้นเฉินผิงอันจึงทำให้โอสถทองปริแตกอีกครั้ง
หลังผ่านไปสามครั้งก็เปลี่ยนมาเป็นไร้ประโยชน์อย่างสิ้นเชิง ไม่อาจช่วยขัดเกลาวิถีวรยุทธได้อีกแล้ว เฉินผิงอันถึงได้หยุดมือ แล้วเริ่มทำการสร้างโอสถเป็นครั้งสุดท้าย
ครั้งสุดท้ายที่หลีเจินปรากฏตัวได้ทิ้งบันทึกขุนเขาสายน้ำเล่มหนึ่งที่จัดพิมพ์อย่างประณีตงดงามไว้ตรงหน้าผาแถบนี้ หลังจากนั้นมาเขาก็ไปอยู่ที่ปลายของกำแพงเมืองปราณกระบี่อีกฝั่งหนึ่ง ไม่ได้ปรากฏตัวอีก
หลังจากเฉินผิงอันสร้างโอสถได้ก็อยู่ว่างไม่มีอะไรทำ เขานั่งขัดสมาธิ เอาดาบวางไว้บนหัวเข่าแล้วเริ่มเปิดอ่านเรื่องราวขุนเขาสายน้ำที่ใส่ร้ายป้ายสีตัวเองเล่มนั้น อ่านแล้วก็หลุดหัวเราะอย่างอดไม่ไหว กู้ช่านชื่อนี้ถึงอย่างไรก็สู้อักษรช่านที่มีความหมายว่าหยกงามแวววาวของชื่อกู้ช่านไม่ได้ ส่วนขนบธรรมเนียมพื้นบ้านที่เขียนไว้ในบทนำกลับเขียนได้ดีมากจริงๆ ทำให้เขาคิดถึงเรื่องราวมากมายในอดีต น่าเสียดายที่เรื่องบางอย่างไม่ได้เขียนเอาไว้ แล้วก็โชคดีที่ไม่ได้เขียน เฉินผิงอันโยนบันทึกการเดินทางเล่มนั้นทิ้งไปนอกหัวกำแพงเมือง มันส่ายไหวไปตามสายลม สุดท้ายไม่รู้ว่าไปหล่นอยู่ตรงไหน
สองมือของเฉินผิงอันกดอยู่บนดาบแคบพิฆาต ทอดสายตามองพื้นดินกว้างใหญ่ไพศาลทางทิศใต้ สิ่งที่เขียนไว้ในตำราล้วนไม่ใช่เรื่องที่เขาสนใจอย่างแท้จริง หากพวกเขากล้าเขียนเรื่องบางอย่างลงไปจริงๆ วันหน้าได้พบเจอกันก็คงพูดคุยกันดีๆ ได้ยากแล้ว
ยกตัวอย่างเช่นในหนังสือไม่ได้เขียนบอกว่าในตรอกเล็ก เด็กชายคนหนึ่งเคยเอ่ยประโยค ‘อันเล็กอร่อยกว่า’ ด้วยท่าทางสดใสมีความสุข
ผู้ฝึกยุทธขอบเขตเก้าชุดแดงลุกขึ้นยืน หลังจากเรือนกายมั่นคงแล้วก็ไม่ได้มีสภาพจะคนก็ไม่ใช่คน ผีก็ไม่ใช่ผีอีกต่อไป เฉินผิงอันสาวเท้าเดินเนิบช้า ใช้ดาบแคบเคาะไหล่เบาๆ ยิ้มอ่อนพึมพำว่า “สุ้ยสุ้ยผิง สุ้ยสุ้ยอัน สุ้ยสุ้ยผิงอัน สุ้ยสุ้ยผิงอัน…” (แตกเพื่อความปลอดภัย สงบสุขปลอดภัยตลอดชีวิต)
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!