ตอน บทที่ 698.2 ถึงขนาดนั้นแหละ จาก กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง
บทที่ 698.2 ถึงขนาดนั้นแหละ คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายกำลังภายใน กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! ที่เขียนโดย Internet เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย
เฉินผิงอันพยักหน้า ยกมือขึ้นโบกเบาๆ “ดูท่าพี่เฝ่ยหรานคงพอจะมีความรู้อยู่บ้าง ถูกต้องแล้ว ถูกเจ้าจับได้ซะแล้ว บนโลกนี้มีคำโคลงรวมตัวอักษร แล้วก็มีกลอนรวมประโยค บทกลอนเซียนท่องเที่ยวบทนี้ของข้าก็เหมือนวิชาอสนีกลางฝ่ามือของข้าที่ถูกรวบรวมมา”
เฝ่ยหรานขี่กระบี่จากไปไกล
เฉินผิงอันฟุบตัวอยู่บนหัวกำแพงเมือง เปิดอ่านบันทึกขุนเขาสายน้ำเล่มนั้นต่ออีกครั้ง คราวนั้นพอโยนมันทิ้งจากหัวกำแพงเมืองไปแล้ว เขาก็รู้สึกเสียใจภายหลังทันที ต้องรีบร่ายวิชาหดย่อพื้นที่ไปยังขีดตัวอักษรใหญ่บนผนังกำแพง คว้าเอาหนังสือที่ปลิวไปตามลมเล่มนั้นกลับมา หนังสือทั้งเล่มถูกเขาเปิดอ่านจนจำได้หมด ต่อให้ท่องมาจากด้านหลังก็ยังไม่เป็นปัญหาสำหรับเฉินผิงอัน
เพราะว่าวัตถุจื่อชื่อถือเป็นของนอกกายสำหรับกำแพงเมืองปราณกระบี่ครึ่งหนึ่งนี้ ดังนั้นขอแค่เฉินผิงอันกล้าหยิบออกมา ต่อให้อยู่ตรงหัวกำแพงเมืองอีกฝั่งหนึ่งที่ห่างจากหลงจวินมากที่สุด ก็ยังจะชักนำกระบี่ของอีกฝ่ายมาได้อยู่ดี ดังนั้นเฉินผิงอันจึงไม่มีกระดาษและพู่กัน คิดจะเขียนข้อสรุปคำอธิบายไว้บนหนังสือจึงได้แต่ใช้ปราณกระบี่เล็กบางกลุ่มหนึ่งต่างพู่กัน แล้ว ‘เขียนตัวอักษร’ ลงบนจุดที่ว่างเปล่าเบาๆ ต่อให้ไม่มีตบะขอบเขตหยกดิบอะไร แต่ด้วยความสามารถในการมองเห็นของเฉินผิงอัน ตัวอักษรเหล่านั้นก็ล้วนมองเห็นได้อย่างชัดเจน
ทุกครั้งที่เปิดอ่านหน้าหนึ่ง ก็จะต้องเปลี่ยนสถานที่ไปอ่านจุดอื่น ไม่ก็ไปนั่งอยู่ในตัวอักษรใหญ่บนผนัง บ้างก็เดินไปบนหัวกำแพงเมือง หรือไม่ก็เดินกลับหัวอยู่บนทางเดินม้า มีบางครั้งจะทะยานลมไปตรงม่านฟ้าเหนือหัวกำแพงเมืองในเสี้ยววินาที เพียงแต่ว่าทุกวันนี้ม่านฟ้าไม่สูงเลยจริงๆ ห่างจากหัวกำแพงเมืองมาแค่ห้าร้อยจั้งเท่านั้น หากขยับขึ้นไปด้านบน พอหลงจวินปล่อยกระบี่ออกมาแล้ว ปราณกระบี่ที่กระบี่บินทิ้งไว้ก็จะสามารถทำร้ายร่างกายของเฉินผิงอันได้อย่างแท้จริง
ไม่รู้ว่าเหตุใด หลงจวินถึงได้ไม่สนใจหนังสือที่เป็นของนอกกายเช่นเดียวกับวัตถุจื่อชื่อเล่มนี้ ปล่อยให้เฉินผิงอันอ่านหนังสือแก้เบื่อได้ตามใจ ไม่เคยปล่อยแสงกระบี่เข้าใส่
เฉินผิงอันจึงทำพิธีกรรมในเปลือกหอย (เปรียบเปรยว่าทำเรื่องใหญ่ในสถานที่คับแคบ) แอบทำเรื่องเล็กๆ อย่างหนึ่ง นั่นคือเอาตัวอักษรทุกตัวตั้งแต่ในหนังสือไปจนถึงนอกหนังสือมาหลอมเล็กอย่างระมัดระวังก่อน จากนั้นก็เก็บเอาไว้ในชายแขนเสื้อ ดังนั้นวันนี้เมื่อเฉินผิงอันเปิดตำราเล่มนี้อ่านอีกครั้ง อันที่จริงตัวอักษรที่ใช้ในชีวิตประจำวันสองพันกว่าตัวบนหน้าหนังสือล้วนถูกดึงออกไปหมดแล้ว เป็นเหตุให้เนื้อหาในหน้าหนังสือมีจุดที่ว่างเปล่าค่อนข้างเยอะ ขาดๆ หายๆ คล้ายเจ้าตัวน้อยแต่ละตัวที่ถูกบีบให้ต้องย้ายบ้าน ถูกเฉินผิงอันลากคอเสื้อจึงร้องไห้สะอึกสะอื้นออกเดินทางจากบ้านเกิดไปเยือนสถานที่ห่างไกล
ตัวอักษรอ่านยากบางตัวที่เหลือโดดเดี่ยวเพียงลำพัง ส่วนใหญ่มักจะปรากฏตัวกันอยู่เป็นคู่ ตอนนี้ยังไม่ได้ถูกเฉินผิงอันไล่ให้ย้ายบ้าน
น่าเสียดายที่ไม่อาจรวบรวมเป็นแซ่ร้อยตระกูลเล่มหนึ่งได้ แล้วก็ไม่สามารถนำมารวมกันเป็นบทความพันตัวอักษรบทหนึ่งได้
การหลอมเล็กให้ตัวอักษรเช่นนี้ แน่นอนว่าไม่ได้มีประโยชน์ที่แท้จริงอะไร
ต่อให้ตัวอักษรสามแสนตัวในบันทึกทั้งเล่มจะถูกเฉินผิงอันหลอมเล็กทั้งหมด เป็นเหตุให้หนังสือทั้งเล่มเหลือเพียงกระดาษขาว ก็หนีไม่พ้นว่าในจักรวาลชายแขนเสื้อมีเจ้าตัวน้อยคร่ำครึที่ไร้ชีวิตชีวาโผล่มาเพิ่มเท่านั้น ถึงอย่างไรเฉินผิงอันก็เลียนแบบเผยเฉียนกับหลี่ไหวที่จะให้พูดว่าพวกมันคือกองทัพม้าสามแสนนายใต้บังคับบัญชาตัวเองไม่ได้ แต่พอเบื่อมากเข้าจริงๆ เฉินผิงอันก็จะเอาตัวอักษรที่ผ่านการหลอมเล็กมาแล้วพวกนั้นมาจัดเรียงเป็นขบวนรบ สะบัดออกมาจากชายแขนเสื้อให้หล่นลงบนหัวกำแพงเมือง แบ่งออกเป็นสองฝั่ง ตัวอักษรไม่มาก ‘ทหารม้า’ จึงมีน้อย ทุกครั้งอย่างมากสุดก็แค่ยี่สิบสามสิบตัวเท่านั้น อีกทั้งยังเป็นตัวอักษรที่ใช้ในชีวิตประจำวันซึ่งปรากฏอยู่ในหน้าหนังสืออีกหลายจุดด้วย หลีกเลี่ยงไม่ให้วันใดน้ำเข้าสมองหลงจวินแล้วปล่อยกระบี่มาทำลายทุกอย่างของเขาพังหมด
เฉินผิงอันจะให้เจ้าตัวน้อยที่เหมือนสวมชุดสีดำเหล่านั้นหล่นลงบนหัวกำแพงเมือง เรือนกายส่ายไปส่ายมา ฝีเท้าเนิบช้า เหมือนเด็กเกเรสองกลุ่มในหมู่ชาวบ้านร้านตลาดที่มะรุมมะตุ้มตีกันด้วยเรี่ยวแรงไม่มาก
วันนี้เฉินผิงอันรู้สึกกระตือรือร้นในการหลอมตัวอักษรมาก เอาคำว่า ‘เฉินผิงอัน’ ในตำรามาหลอมพร้อมกันให้เสร็จรวดเดียว หลอมไปมากถึงหลายร้อยตัวอักษร แล้วเอาตัวอักษรที่หลอมเล็กได้หนึ่งพันห้าร้อยตัวมาหลอมรวมกันเป็นตัวอักษรเดียว
จากนั้นเฉินผิงอันก็สะบัดตัวอักษรสองตัวออกมาจากชายแขนเสื้ออย่างระมัดระวัง
แล้วค่อยสั่งพวก ‘เฉินผิงอัน’ ออกมา พวกมันรวมตัวอยู่ด้วยกันอย่างหนาแน่น ทุกสามตัวอักษรจะยืนเคียงไหล่กัน จึงกลายเป็นเฉินผิงอันคนหนึ่ง
ดังนั้นจึงมีตัวอักษรสองตัว ตัวหนึ่งคือหนิง ตัวหนึ่งคือเหยา
คือหนิงเหยา
คล้ายว่ามีนางคนเดียวที่กำลังคุมเชิงกับพวกเฉินผิงอันที่ไม่ใช่เฉินผิงอัน (เฉินผิงอันสองชื่อนี้เขียนคนละแบบ อ่านเหมือนกัน)
จากนั้น ‘หนิงเหยา’ ก็เดินออกไปข้างหน้าหนึ่งก้าว เฉินผิงอันห้าร้อยตัวก็เริ่มร่างสายโงนเงน สุดท้ายคล้ายเมาเหล้าจึงยืนไม่ไหว พากันล้มกองอยู่บนพื้น
เฉินผิงอันนั่งยองอยู่บนหัวกำแพงเมือง เอามือสองข้างสอดกันไว้ในชายแขนเสื้อ เห็นภาพนี้แล้วก็คลี่ยิ้มกว้างสดใส
ชุดคลุมสีแดงสดแผ่ปูอยู่บนพื้น
อิ่นกวานหนุ่มในวันนี้ไม่รู้สึกเหงามากมายเหมือนเดิมแล้ว
และก็เป็นครั้งแรกที่เขาไม่รู้สึกว่าแม่น้ำแห่งกาลเวลาไหลรินช้าเกินไป
บนหัวกำแพงเมืองอีกฝั่งหนึ่ง หลงจวินเรียกกระบี่หนึ่งออกมา และกระบี่นี้ไม่ได้หยุดแค่พอสมควรเหมือนอย่างที่เคย แต่พลังอำนาจยิ่งใหญ่อย่างมาก
ต่อให้แสงกระบี่นั้นจะพุ่งมาบนหัวกำแพงเมืองที่ตนอยู่ได้หลายสิบลี้ในชั่วเสี้ยววินาที
ปณิธานกระบี่เข้มข้นมาก ปราณกระบี่ยาวมาก ทิ้งเส้นยาวตั้งแต่หน้าผาจุดที่หลงจวินเรียกกระบี่ลามมาถึงตรงนี้
เฉินผิงอันก็ยังแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น
รอกระทั่งแสงกระบี่พุ่งมาได้ครึ่งทาง เฉินผิงอันถึงลุกขึ้นยืนแล้วเริ่มใช้ขอบเขตเก้าของผู้ฝึกยุทธมาถามหมัดกับกระบี่
เรือนกายแหลกสลายครั้งแล้วครั้งเล่า แล้วก็มารวมตัวกันใหม่อีกครั้งตรงหน้าแสงกระบี่ที่พุ่งเข้าหาตัวอักษรเล็กครั้งแล้วครั้งเล่า ก่อนจะออกหมัดอีกครั้ง
สุดท้ายเฉินผิงอันใช้ขอบเขตยอดเขาของผู้ฝึกยุทธ ใช้สองมือเปล่าต่อยให้แสงกระบี่เส้นนั้นแหลกสลายไปอย่างสิ้นเชิง อีกทั้งยังมาที่ริมหน้าผา กระทืบสองเท้าลงบนพื้นหนักๆ ร่ายกายธรรมเซียนกระบี่ขอบเขตหยกดิบที่ใหญ่โตดุจขุนเขารวมรวบปราณวิญญาณฟ้าดินรอบด้านมาทำเป็นกระบี่ สองมือถือกระบี่ฟันเข้าใส่ชุดคลุมสีเทาที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของหน้าผา
กายธรรมใหญ่ยักษ์ที่มีดวงตาทั้งคู่เป็นสีทองพูดกลั้วหัวเราะเสียงดังกังวาน “ช่วยเพิ่มปณิธานหมัดให้แก่ข้า ขอบคุณหลงจวิน!”
หลงจวินโบกมือ ผลักหญิงสาวที่กำลังบำรุงปณิธานกระบี่ สร้างความมั่นคงให้จิตกระบี่อยู่ด้านข้างถอยห่างออกไปร้อยกว่าจั้ง ตัวเองมาหยุดอยู่ตรงริมหน้าผา ไม่เห็นว่าเรียกกระบี่ออกมา แล้วก็ไม่เห็นทีท่าว่าจะลงมือ
กระบี่ยาวในมือของกายธรรมฝั่งตรงข้ามปริแตกไปแล้ว กายธรรมก็ล้มครืนตามกันไปด้วย
กายธรรมเซียนกระบี่กลับปรากฏตัวอีกครั้ง กระบี่ยาวก็ฟันเข้าแสกหน้าหลงจวินอีกครั้ง
เวลาหนึ่งก้านธูปเต็มๆ หลงจวินยืนนิ่งไม่ขยับ กระบี่ยาวของกายธรรมล้วนไม่อาจเข้าใกล้ชุดสีเทานั้นได้
ย่อมต้องมีปราณกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนจากฟ้าดินที่มาคุมเชิงรับมือกับคนหนุ่มผู้นั้นเอง
สุดท้ายเมื่อกายธรรมปริแตก ในที่สุดเฉินผิงอันก็หยุดการออกกระบี่ที่ไร้ความหมาย พุ่งตัววูบกลับไปตำแหน่งเดิม เก็บเอาตัวอักษรที่ผ่านการหลอมเล็กเหล่านั้นมา
หลิวป๋ายมายืนอยู่ข้างกายหลงจวินริมหน้าผาอย่างกล้าๆ กลัวๆ ถามเสียงเบาว่า “ปณิธานหมัดของเขาเพิ่มขึ้นหนึ่งส่วนแล้วจริงหรือ?”
เฉินผิงอันกลับนั่งลงบนหน้าผา หลุบตาลงมองกระแสกองทัพใหญ่ของเผ่าปีศาจใต้ฝ่าเท้าที่อยู่ห่างไปไกล จากนั้นก็ถอนสายตากลับ ทิ้งตัวนอนหงายไปด้านหลัง ใช้ดาบแคบพิฆาตต่างหมอน พึมพำกับตัวเองว่า “อดจินตนาการยามถึงบ้านไม่ได้ เด็กน้อยจับชายเสื้อของข้า ยิ้มรอจนข้าผมขาวโพลน”
หลงจวินยิ้มกล่าว “ข้าไม่มีความกลัดกลุ้มนี้ เจ้าเองก็ยิ่งไม่อาจกลับคืนบ้านเกิดได้”
เฉินผิงอันร้องเอ๊ะหนึ่งที รีบลุกขึ้นนั่ง ถามอย่างสงสัย “ทำไมเจ้าฟังภาษาคนรู้เรื่องด้วยเล่า?”
หลงจวินไม่ถือสา ย้อนถามว่า “รู้หรือไม่ว่าเหตุใดถึงไม่สกัดกั้นการมองเห็นของที่แห่งนี้?”
เฉินผิงอันพยักหน้า “ก็เหมือนกับหิมะใหญ่สองครั้งที่ทยอยกันตกมาก่อนหน้านี้ จากคนประหยัดกลายเป็นคนฟุ่มเฟือยได้ง่าย แต่จากคนฟุ่มเฟือยจะเป็นคนประหยัดกลับยาก อันที่จริงข้ารอเจ้ามานานมากแล้ว”
หลงจวินพูดกลั้วหัวเราะเสียงดัง “งั้นก็รอต่อไปเถอะ อย่างมากสุดครึ่งปี ไม่เพียงแต่แม้ดวงตะวันจันทราก็ล้วนมองเห็นอย่างชัดเจน อีกไม่นานการออกหมัดออกกระบี่ของเจ้า ข้าก็จะไม่ขัดขวางแล้ว พอเป็นแบบนี้อันที่จริงเจ้าน่าสังเวชยิ่งกว่าเฉินชิงตูเสียอีก”
ที่แท้เฉินผิงอันก็ไม่สามารถมองเห็นชุดคลุมสีเทาของหลงจวินได้อีกแล้ว ในความเป็นจริงแล้วภาพเหตุการณ์ทั้งหมดของหัวกำแพงเมืองฝั่งตรงข้ามล้วนเลือนหายไปจากการมองเห็นของเขา
ก้มหน้ามองไป เผ่าปีศาจที่พากันกรูไปยังใต้หล้าไพศาลก็มองไม่เห็นแล้วเหมือนกัน
เฉินผิงอันหันหน้าไปมอง จุดที่ห่างไปไกลมีหิมะหล่นลงมาช้าๆ ยังพอจะมองเห็นได้อย่างเลือนราง
ต่อให้วันหน้าจะมองไม่เห็นแล้ว แต่จะเป็นอะไรไปเล่า
ความกลัดกลุ้มเล็กๆ ใหญ่แค่เมล็ดข้าวสาร
แล้วนับประสาอะไรกับที่พบเจอกันในยุทธภพคุยโวโอ้อวดกัน พบเจอกันอีกครั้งในยุทธภพเอ่ยคำว่าลำบากแล้ว เส้นทางยุทธภพยาวไกล ต้องมีสักวันที่ได้พบกันใหม่ ต้องมีคนพูดว่าอาจารย์พ่อท่านลำบากแล้ว อาจารย์ท่านลำบากแล้ว อาจารย์อาน้อยลำบากแล้ว เฉินผิงอันลำบากแล้ว
เฉินผิงอันทะยานร่างจากไป ชายแขนเสื้อใหญ่โบกสะบัด พูดกลั้วหัวเราะเสียงดังว่า “เจ้าโง่หรือไง ลำบากกะผีอะไรกัน”
เฝ่ยหรานกับหลีเจินมาปรากฏตัวอยู่ข้างกายหลงจวิน หลีเจินถาม “เขาเป็นบ้าไปแล้วจริงๆ หรือเปล่า?”
หลงจวินย้อนถาม “ถามตัวเจ้าเองหรือ?”
เฝ่ยหรานยิ้มเอ่ย “เฉาสือผู้นั้นถึงขนาดเอาชนะเขาได้สามครั้งติดเชียวหรือ?”
หลงจวินพยักหน้า “ถึงขนาดนั้นแหละ
——
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!